โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก ผู้ติดเชื้อส่วนน้อยจะกลายเป็นผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร 
อาจมีไข้ต่ำๆ ในวันแรกๆ จุกแน่นท้อง ปวดท้อง ตัวเหลือง 
ตาเหลือง (ดีซ่าน) ปัสสาวะสีเข้ม ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรค
และมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น แต่ 10-20% ของผู้ป่วยจะมีเชื้อไวรัสในเลือดและตับ โดยอาจมีอาการของตับอักเสบเรื้อรัง หรืออาจไม่มีอาการ 
 บุคคลทั้ง 2 กลุ่มนี้ สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อไปได้ 
เราเรียกบุคคลทั้ง 2 กลุ่มนี้ว่า เป็น "พาหะ" หรือตับอักเสบเรื้อรัง ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้เป็นพาหะเฉลี่ย 6% ของประชากร
หรือประมาณ 3 ล้าน 6 แสนคน ขณะที่ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน 
เคยมีผู้เป็นพาหะสูงถึง 10% ของประชากร ประมาณ 10% ของผู้เป็นพาหะ จะกลับเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังได้อีก และบางรายอาจตายด้วยโรคตับแข็ง 
ตับวาย ท้องมาน อาจเสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ ผู้เป็นพาหะมีโอกาสเกิดเป็นโรคมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติถึง 100 เท่า 
เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับถึง 80% ของผู้ป่วยทั้งหมด โอกาสการเกิดมะเร็งจะมีมากหากผู้ป่วยติดเชื้อนี้ตั้งแต่วัยเด็ก 
เช่น ติดจากมารดาตอนแรกเกิด 
 
โรคไวรัสตับอักเสบ บี ติดต่อได้อย่างไร  
 โรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่งของผู้ป่วยตับอักเสบระยะปัจจุบันหรือระยะเรื้อรังหรือผู้เป็นพาหะ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในลักษณะต่างๆ กัน เรียกว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
โรคไวรัสตับอักเสบ บี ได้แก่ 
- การรับถ่ายเลือด หรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่ 
 - การใช้เข็มฉีดยาที่มีเชื้อปนเปื้อน การเจาะหู การสัก การทำฟัน ที่ใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่โดยไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง 
 - การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อ เช่น แปรงสีฟัน 
มีดโกน ที่ตัดเล็บ เพราะอาจปนเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้ออยู่ 
 - การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่ 
 - การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง ของผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่ โดยผ่านเข้าทางบาดแผลโดยไม่รู้ตัว เช่น การกอดรัดฟัดเหวี่ยง 
หรือกัดกันเล่นๆ ของเด็ก 
 - การถ่ายทอดเชื้อจากมารดาที่เป็นพาหะหรือเป็นโรคอยู่ไปยังลูก 
ระหว่างอยู่ในครรภ์ หรือระหว่างคลอด  
  
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี  
 พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น และรับวัคซีน 
ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากวัคซีนนี้มากที่สุดคือ 
เด็กแรกเกิด เพราะจะช่วยป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด 
ซึ่งควรฉีดครั้งแรกโดยเร็วที่สุด หรือภายใน 24 ชม. หลังคลอด 
ครั้งที่สองอายุ 1-2 เดือน และครั้งที่สามอายุ 6-7 เดือน 
สำหรับในกลุ่มอายุอื่น ฉีด 3 ครั้งเช่นกัน โดยฉีดครั้งที่สอง
ห่างจากครั้งแรก 1-2 เดือน และครั้งที่สามห่างจากครั้งที่สอง 5-6 เดือน 
  |