คำสาบเงือก
ตอนที่ 6
ปริศนา 'ประตู'
ตึกบริษัท sevenseas เป็นตึกสูงสามสิบห้าชั้น
มีพนักงานบริษัทกว่าสามพันคน ชั้นบนสุดของตึกเป็นห้องประชุมระดับผู้บริหารและห้องของประธานกรรมการบริหารของบริษัท
ชลทิศยืนมองดูวิวผ่านกระจกใสที่เป็นผนังของชั้นที่สามสิบห้า ด้านหลังของเขามีพนักงานขนย้ายข้าวของเดินกันให้วุ่น
ทนายทิมอนยืนเช็ดเหงื่ออยู่ข้างๆ
"ผนังด้านนี้จะต้องเพิ่มบาร์เครื่องดื่มเข้าไปด้วย" เสียงผู้หญิงสาวคนหนึ่งชี้ไปที่มุมห้องทำงาน
อีกมือหนึ่งถือแบบแปลนอยู่ "ส่วนโต๊ะกับพวกตู้หนังสือพวกนี้ก็เปลี่ยนให้หมด
เอาไปขายที่ไหนก็ตามใจ ส่วนของใหม่ก็ให้เอามาวางไว้แถวนั้น"
เธอชี้พร้อมกับเดินวนไปวนมาจนชลทิศเวียนหัว
"นี่คุณ...โต๊ะตัวนั้นคุณเอลตันชอบมากด้วย...จะย้ายออกจริงๆหรือ
ราคาแพงมากเลยนะครับ แถมห้องทำงานจะต้องมีบาร์ไปทำไม" ทนายทิมอนถามทำหน้าเสียดาย
หญิงสาวคนนั้นพ่นลมออกทางจมูก ยกมือขึ้นกอดอก
"โต๊ะตัวนั้นดีแต่ใหญ่เทอะทะ...ถึงจะดูหรูก็เถอะ แต่มันเหมาะกับพวกคนแก่คิดมากมากกว่าไม่เหมาะกับคนหนุ่มทันสมัยอย่างคุณเฟอดินานหรอก
ถ้าคุณอยากได้ก็ขนไปเลยก็แล้วกัน" ประกายตาของเธอแวววาว เมื่อกล่าวถึงประธานบริษัทคนไหม่
เฟอดินาน กิลกาเมซ ทายาทคนเดียวของบริษัทเดินเรือทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก
"Gilgamesh transport" เขาได้เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัท sevenseas
ของนายเอลตัน ซิลเวอร์สโตนไปเรียบร้อยแล้ว ตระกูลกิลกาเมซนั้นเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลทางการเงินสูง
ความร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก มีกิจการใหญ่โตอื่นๆอีกมากมาย
หัวหน้าของตระกูลคือนาย เวอร์นอน กิลกาเมซ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลานชาย
"เอารูปที่ติดผนังนั่นออกด้วย รูปประธานบริษัทตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นรูปคุณเฟอดินานแล้วนะ"
เธอชี้นิ้วไปที่รูปครึ่งตัวของนายเอลตันที่ติดอยู่ตรงผนังด้านข้าง
พนักงานระดับสูงของบริษัทได้แต่ยืนกัดฟันกรอดๆ ตระกูลกิลกาเมซได้เข้ามาแทรกแทรงผลประโยชน์ของบริษัท
sevenseas มานานแล้ว ด้วยอำนาจเงินที่มากกว่าทำให้เขากวาดซื้อหุ้นของบริษัท
sevenseas ได้จนเกือบครึ่ง และยิ่งในช่วงที่นายเอลตันหายตัวไป บริษัทกิลกาเมซจึงฉวยโอกาสซื้อหุ้นที่ราคาตกลงและเทคโอเวอร์บริษัทไปเรียบร้อย
แกรก...รูปเก่าถูกถอดออกมาและรูปใหม่ถูกติดเข้าไปแทนที่ ถึงแม้ชลทิศไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะสนใจความเป็นไปของบริษัทแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองรูปบิดาที่ถูกปลดลงมา
"ผมขอรูปของพ่อไว้นะครับ" ชลทิศเอ่ยปากประโยคแรก สาวนักออกแบบคนนั้นยักไหล่หันมาพูดแบบไม่สนใจ
"ใครจะเอาก็เอาไปสิ...ชั้นก็บอกแล้วว่าของพวกนี้เอาไปทิ้งไหนก็ได้"
ความโกรธแล่นเข้ามาเป็นริ้วๆ ถึงแม้เขาจะไม่สนิทสนมกับบิดา แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดแบบนี้
ชลทิศเงยหน้าขึ้นไปมองรูปที่ยกไปติดแทน สายตาเขาสะดุดกับใบหน้าของคนในรูป
ชายหนุ่มหน้าสี่เหลี่ยมผมยาวสีน้ำตาลทองเคลียไหล่ อายุไม่น่าจะเกินสามสิบ
สวมชุดสีเขียวเข้มคล้ายกับชุดเครื่องแบบทหาร ยกมือกอดอกอยู่ ดูจากรูปก็น่าจะเป็นคนประเภทหยิ่งทะนงไม่น้อย
"ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นคุณเฟอดินานมาก่อน" ชลทิศพึมพำพร้อมขมวดคิ้ว
เขาเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อนแน่ๆ สาวที่ยืนข้างๆหันมามองเขาด้วยสายตาคล้ายกับเยาะเย้ยนิดๆ
"ต๊าย...ใครต่อใครเขาก็บอกว่าคุ้นหน้ากันทั้งนั้นแหละจ๊าาา...ก็คุณเฟอดินานน่ะขึ้นปกทั้งหนังสือพิมพ์ทั้งนิตยสารตั้งหลายฉบับ
เรียกว่าเป็นหนุ่มเนื้อหอมที่สุดของช่วงนี้เลยก็ว่าได้...ใครไม่รู้จักก็ต้องเรียกว่าเชยที่สุดแล้ว
ทั้งหล่อทั้งรวย" สาวนักออกแบบยืนพูดอย่างชื่นชมพร้อมทั้งมองชลทิศอย่างดูถูก
เธอรีบสะบัดหน้าหันไปทำงานของเธอต่อ ชลทิศกำมือจนเส้นเลือดขึ้น
"คุณหนูอลัสเตอร์ครับ..ผมว่ากลับบ้านก่อนจะดีไหมครับ..เรื่องทางบริษัทนี่ผมจัดการให้เองครับ"
ทนายทิมอนดันหลังชลทิศให้เดินไปที่ลิฟท์ส่วนตัวของผู้บริหาร
เสียงกริ่งของลิฟท์ดังขึ้นพร้อมกับไฟบอกชั้น ชลทิศกับทนายทิมอนเดินเข้าไป
"ผมได้ยินพวกผู้บริหารเขาพูดกันว่าพวกตระกูลกิลกาเมซนี่ไม่ใช่คนดี...ที่ร่ำรวยได้ก็เอาแต่โกงกินเขามา..."
ชลทิศพูดเสียงเบา
"ในวงธุรกิจไม่มีดีมีเลวหรอกครับ...เราต้องโจมตีจุดอ่อนของเขา
รู้เขารู้เราถึงจะร่ำรวยขึ้นมาได้..." ร่างสูงที่ยืนข้างๆอธิบาย
"คุณหนูเกลียดพวกตระกูลกิลกาเมซที่เข้ามาแทรกแทรงนี่หรือเปล่าครับ"
ทนายทิมอนถามเสียงแปลกๆ
"ผมเองก็พึ่งรู้จักชื่อตระกูลนี้ได้แค่เพียงอาทิตย์เดียว..ผมคงตัดสินใจไม่ถูกหรอกว่าเกลียดหรือเปล่า..แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ชอบก็แล้วกัน"
ชลทิศเงยหน้ามองทนายทิมอนแวบหนึ่ง เขาเองไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ชอบ...เขากับบิดาแทบไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกันเลย..สมบัติที่เขามีเขาก็ยกให้ลุงอาทิตย์ไปเกือบหมด..ถ้าให้เขาเปรียบเทียบระหว่างบิดากับลุงอาทิตย์แล้วละก็
เขามีความผูกพันกับครอบครัวทางฝ่ายมารดามากกว่าอยู่แล้ว กับบิดาที่เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียวเขาจึงแทบจะไม่เคยคิดที่จะช่วยฟื้นฟูบริษัทขึ้นมา
จุดประสงค์หลักของเขาคือการไขปริศนาคำสาปเงือกต่างหากล่ะ!!
"ครับ..ทิมอนพูดครับ" เสียงทนายทิมอนดังขึ้นมาด้านหลังปลุกชลทิศให้ตื่นจากภวังค์
"..ว่าอะไรนะครับ!!" ทนายทิมอนตะโกนออกมาลั่นลิฟต์ เพราะเป็นที่แคบๆเสียงจึงดังเป็นพิเศษ
ชลทิศมองด้วยความประหลาดใจ
"ที่อ่าวตรงนั้นหรือครับ...กี่วันแล้วครับ...แน่ใจว่าใช่นะครับ"
เขาเริ่มพูดเสียงค่อยลง เหลือบสายตามองชลทิศเป็นระยะ...
ในที่สุดทนายทิมอนกดปุ่มปิดมือถือ เขาถอนหายใจ สีหน้ากังวล พร้อมกันนั้นลิฟต์ได้ส่งเสียงเตือนว่าลงมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว
ทั้งสองคนก้าวออกมา ทนายทิมอนหยุดยืนเฉยๆอยู่หน้าลิฟท์ ทำให้ชลทิศที่เดินนำหน้าหันกลับมามอง
"เกิดอะไรขึ้นครับ...โทรศัพท์เมื่อกี้..." ชลทิศยกคิ้วถามด้วยความสงสัย
"เอ่อ.." ทนายทิมอนอึกอักเหมือนพูดไม่ออก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจโพล่งออกมา
"เมื่อกี้คนรู้จักของผมโทรมาครับ บอกว่าพบศพคุณเอลตันและคุณดีน่าลอยมาติดชายหาดทางนอกเมือง..ท่าทางจะเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว"
ราวกับฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา ชลทิศยืนตัวแข็ง
"คุณแน่ใจแล้วนะ...." เขาแทบจำเสียงตัวเองที่ลอดริมฝีปากไม่ได้..
"ครับ.." ทนายทิมอนพยักหน้าน้อยๆ "ทางตำรวจเขาส่งศพไปให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจร่อยรอยฟันกับกระโหลกและหาหลักฐานเรียบร้อยแล้ว"
"แล้วพี่ชายของผมละ.." ชลทิศถามต่อ
"ยังไม่มีใครพบตัวครับ...พี่ชายของคุณยังหายสาบสูญอยู่ แต่ทางตำรวจก็ลองพยายามส่งตำรวจน้ำค้นหาในทะเลรอบๆแถวนั้นเช่นเดียวกัน"
นายทิมอนตอบไหล่เด็กชายอย่างเบามือเป็นการปลอบ

ชลทิศยืนกำมือแน่นข้างร่างที่ไร้ชีวิต ร่างที่เขาเห็นบวมเป่งเน่าอืดและเริ่มส่งกลิ่นออกมา
นี่คือบิดาและพี่สาวของเขา
ดีน่าที่เคยเห็นในรูปสวยราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชั้นดี แต่ตอนนี้มันแตกสลายเสียแล้ว
เขาเริ่มพะอืดพะอมกับสิ่งที่เห็นจึงเบือนหน้าหนี
นายตำรวจที่ยืนรอบๆคนหนึ่งยกผ้าขาวขึ้นมาคลุมซากศพ ไม่ใช่ชลทิศคนเดียวที่รู้สึกอยากจะอาเจียน
สจ๊วตพ่อบ้านที่ตามมาด้วยก็ทำเสียงครืดๆอยู่ในลำคอเหมือนกัน หลังที่โค้งอยู่แล้วเหมือนจะงุ้มลงไปกว่าเดิม
"ฮือ..คุณท่าน...คุณหนู...ไม่น่าเลย...ทำไมต้องมาเจอจุดจบแบบนี้ด้วย"
ชายชราพูดเสียงสั่น ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาซับที่หางตา และก่อนที่ทุกคนจะทำอะไร
สจ๊วตก็วิ่งเข้าไปเขย่าไหล่ตำรวจนายหนึ่งอย่างแรง
"แล้วคุณหนูดีเร็กล่ะครับ...คุณหนูดีเร็กเป็นยังไงบ้าง"
เสียงตะโกนของสจ๊วตดังจนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว นายตำรวจคนนั้นพยายามดันร่างสจ๊วตออก
ชลทิศเองเข้าไปดึงด้านหลัง เห็นแกแก่ๆแบบนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าพ่อบ้านเขายังมีแรงเหลือเฟือ
"ยะ...ยังไม่มีใครรายงานว่าพบศพอื่นในละแวกใกล้เคียงเลยนะครับ
ถ้าคิดในแง่ดีไม่แน่ว่าคุณดีเร็กอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้"
นายตำรวจหนุ่มผมแดงคนหนึ่งพูดให้กำลังใจ ชลทิศฝืนยิ้มมุมปากได้นิดหนึ่ง
"ขอบคุณครับ..ผมจะขอรับศพไปทำพิธีได้เมื่อไหร่ครับ" เขาถามขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน
นายตำรวจหนุ่มคนนั้นหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหลบสายตา
"ผมคิดว่าพวกคุณต้องถามสารวัตรก่อนนะครับ เพราะนี่อาจจะเป็นคดีฆาตกรรมที่ซ่อนเงื่อนพอสมควร
คุณเอลตันเองก็มีฐานะทางสังคมไม่ใช่น้อย..." ตำรวจนายนั้นอธิบาย
สารวัตรขออนุญาตผ่าศพพิสูจน์หลักฐานในช่วงท้องของผู้ตายก่อนเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถนำศพกลับไปทำพิธีได้...
ทนายทิมอนกับชลทิศนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน ชลทิศเปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาใส่ชุดดำทั้งชุด
เขาไม่ทราบธรรมเนียมอะไรมากหรอก แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยก็ควรไว้ทุกข์ให้ผู้ตายโดยการแต่งชุดดำพอเป็นพิธี
"คุณหนูอลัสเตอร์ครับ..." ทนายทิมอนพูดขึ้นทำลายความเงียบในห้อง
"ผม...เอ่อ...เรื่องพินัยกรรมของคุณเอลตัน...คุณเอลตันเคยเขียนพินัยกรรมให้ผมเก็บไว้...ท่านยกทรัพย์สินทั้งหมดของท่านให้กับคุณดีน่าและดีเร็กเท่านั้น....ตอนนั้นคุณเอลตันยังไม่ทราบว่าคุณหนูอลัสเตอร์ยัง..."
ชลทิศหรี่ตาลงนิดหนึ่ง..ใช่สิ...บิดาจงใจฆ่าเขานี่...ยังจะมายกทรัพย์สมบัติให้ทำไม
"แต่คุณหนูดีน่าก็เสียชีวิตไปแล้วเหลือแต่คุณดีเร็กที่ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดียังไง....ซึ่งถ้าเกิดโศกนาฎกรรมขึ้นกับคุณหนูดีเร็กจริงๆละก็...คุณหนูอลัสเตอร์ก็สามารถยื่นฟ้องขอมรดกได้"
"ผมไม่ต้องการทรัพย์สมบัติของตระกูลซิลเวอร์สโตนหรอก"
เขาพูดเสียงเย็นชา "ต่อให้ตายกันหมดจริงๆก็ไม่ต้องมามอบอะไรให้ผม..ดีแล้วที่บริษัทถูกเทคโอเวอร์ไป..คฤหาสน์กับเงินที่เหลือติดบัญชีก็บริจาคไปให้หมด"
ความน้อยเนื้อต่ำใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง ขอบตาเขาเริ่มเป็นสีแดงเรื่อๆ
ทนายทิมอนเงยหน้าขึ้นไปสบตากับสจ๊วตที่ยืนถอนหายใจอยู่ด้านหลังก่อนจะขอตัวกลับบ้าน

ฟืนถูกโยนเข้าไปในเตาผิงแบบโบราณที่ก่อติดข้างฝา เสียงไม้ปะทุแตกดังเปรี๊ยะๆไม่ขาดระยะ
อากาศช่วงนี้ค่อนข้างหนาวแล้ว..ชลทิศยังนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ร่างกายเหมือนจะกลืนหายไปกับความมืด
ทำไม...ยิ่งผ่านไปนานเข้าสายใยที่จะคลี่คลายปริศนาคำสาปเงือกของเขายิ่งเบาบางลงทุกที..
"คุณหนูครับ..ดึกแล้วนะครับ ขึ้นไปนอนที่ห้องนอนดีกว่า"
สจ๊วตพูดอย่างเป็นห่วง เดินเข้าไปจับไหล่ชลทิศ
"พี่ดีเร็กเป็นคนยังไง" เสียงถามเบาๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยลอดจากริมฝีปากสีชมพู
"คุณดีเร็กหรือครับ... คุณหนูเป็นคนยิ้มง่าย เป็นที่รักของทุกคน
หน้าตาของคุณหนูจะคล้ายคุณท่านแต่ว่าหน้าสวยหวานเหมือนคุณผู้หญิง
คุณดีเร็กหน้าตาสวยกว่าคุณดีน่าอีกนะครับ...เป็นความสวยที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความแข็งแกร่งและความนุ่มนวล"
สจ๊วตพูดอย่างชื่นชมคุณหนูของเขา "คุณหนูอลัสเตอร์เองก็เชื้อไม่ทิ้งแถวเหมือนกันนะครับ..ผมแอบเห็นคุณตำรวจที่สถานีมองคุณหนูเหลียวหลังเลย"
สจ๊วตยังอดพูดเล่นเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียดไม่ได้ ชลทิศจ้องชายแก่อย่างประหลาดใจ
ไม่อยากจะเชื่อว่าสจ๊วตจะช่างสังเกตถึงปานนั้น เห็นเอาแต่คร่ำครวญร้องไห้อาลัยถึงคุณท่านตลอด..อาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคยก็ได้
สงสัยช่วงที่ดีน่าและดีเร็กอยู่บ้านนั้น สจ๊วตคงจะได้ต้อนรับแขกแทบไม่เคยซ้ำหน้าเลยก็ว่าได้
ชลทิศยิ้มออกมานิดหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน สจ๊วตยังยืนอ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ
"คุณหนูครับ..." สจ๊วตเริ่มพูดเสียงเครียดจนชลทิศรู้สึกได้
"ทนายทิมอนสั่งไม่ให้ผมบอกคุณหนู...แต่ว่า"
"อะไร!!" ชลทิศหันควับไปมอง
"คือ..ก่อนที่คุณผู้ชายและคุณหนูๆจะหายตัวไป คุณผู้ชายเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำงานนอนดึกแทบทุกคืน
จะว่าทำงานก็ไม่น่าจะใช่เพราะช่วงนั้นคุณดีน่าและดีเร็กบริหารงานแทนอยู่...แล้วหลังจากนั้นอีกไม่นานห้องทำงานของคุณเอลตันก็ถูกรื้อค้น
ผมยังจำสีหน้าตอนนั้นของคุณเอลตันได้เลยครับ"
ชลทิศตะลึงกับข่าวใหม่ที่ได้รับอย่างไม่คาดฝัน
"ขอผมเข้าไปในห้องทำงานของคุณพ่อหน่อย!!" เขาพูดเสียงเครียด
ทำไมข้อมูลสำคัญแบบนี้ทนายทิมอนถึงสั่งให้สจ๊วตเก็บเป็นความลับ แม้แต่ตอนที่บอกกับตำรวจก็ไม่เคยกล่าวถึง..ทั้งๆที่อาจจะเป็นข้อมูลสำคัญก็ได้
พ่อบ้านก้มลงหยิบกุญแจพวงใหญ่ออกมาจากเข็มขัดที่เอว ห้องส่วนใหญ่ของบ้านถูกล็อคกุญแจเนื่องจากไม่มีคนจะดูแลทำความสะอาด
เขาเดินนำหน้าชลทิศไปที่ห้องทำงานที่กล่าวถึง
ประตูไม้หนาหนักถูกผลักอย่างรีบร้อน คนเปิดเดินมองซ้ายขวาก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะทำงาน
ห้องทำงานของนายเอลตันนั้นเต็มไปด้วยหนังสือ จัดว่าเป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆเลยทีเดียว
ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเดินเรือ แผนที่ทางทะเล และหนังสือด้านการบริหาร
"สจ๊วตรู้บ้างไหมว่าพ่อทำอะไรบ้างก่อนที่จะหายตัวไป.."
ชลทิศถามพร้อมกับรื้อค้นหนังสือบนโต๊ะดู
สจ๊วตทำท่าครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดออกมา
"เอ...ช่วงนั้นผมพอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณท่านเชิญศาสตราจารย์จากมหาลัยดังๆมาหลายคน...บอกว่าจะมาวิจัยภาษาศาสตร์อะไรนี่แหละครับ.."
ชายแก่ยกมือกุมหน้า พร้อมกับพยักหน้าเบา "อืม...ก็คงประมาณนี้แหละครับ...นายท่านไม่ค่อยได้อนุญาตให้ผมหรือคนใช้เข้ามาห้องนี้บ่อยนัก...ส่วนใหญ่ก็แค่ทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง..ผมเองก็พยายามที่จะไม่ขยับเขยื้อนของอะไรที่เคยอยู่บนโต๊ะของคุณท่าน"
เศษกระดาษหลายแผ่นที่สอดอยู่ในหนังสือหล่นออกมาขณะที่ชลทิศเปิดหนังสือแบบไม่ได้ระวัง
ตัวอักษรที่เขียนอยู่ในแผ่นกระดาษทำให้ชลทิศชะงักไป
อักษรเงือก!!
ตัวอักษรพวกนี้ชลทิศจำได้ขึ้นใจเพราะเขาขอให้นาฟสอนเขาเอง เขาก้มหยิบเศษกระดาษขึ้นมา
มือเริ่มสั่นจนสังเกตได้
"พวกนั้นเป็นตัวอักษรใช่ไหมครับ...ผมว่าคุณท่านอาจจะกำลังศึกษาภาษาพวกนี้อยู่...."
เขาออกความเห็น ชลทิศไม่ตอบคำ เขาพุ่งสมาธิไปที่ตัวอักขระเหล่านั้น
'อักขระพวกนี้มีอำนาจทุกตัว คนที่มีสายเลือดโบราณเท่านั้นถึงจะใช้คำสาปได้..ถ้าเป็นคนธรรมดาจะสามารถก็เพียงแค่ถอนคำสาปหรือแก้เคล็ดเท่านั้น
แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ใช้คำสาป เพราะถ้าใช้มันจะต้องแลกด้วยชีวิต'
คำพูดของนาฟดังขึ้นมาในหัว อักขระที่อยู่บนกระดาษใบนี้เป็นอักขระที่ใช้ในการสะกด
'ประตู' การสะกดนั้นต่างจากคำสาป..มันเป็นเพียงการใช้อำนาจของอักขระในแบบง่ายๆเท่านั้น
ตัวอักขระที่อยู่บนกระดาษถึงแม้จะเขียนแบบสะเปะสะปะไม่รู้หลัก แต่ก็เป็นอักขระในการสะกด
'ประตู' อย่างแน่นอน แสดงว่าพ่อของเขาคงจะพบ 'ประตู'ที่ถูกสะกดด้วยอักษรเงือกที่ไหนสักแห่งแน่
สาเหตุที่พ่อและพี่น้องของเขาถูกฆ่ามาจาก'ประตู'นี้หรือเปล่า!? และของอะไรที่ถูกเก็บไว้ด้านหลังของประตูนี้...
"คุณหนูอลัสเตอร์ครับ!" พ่อบ้านเข้ามาพูดเสียงดังข้างๆหู
ชลทิศสะดุ้งขึ้นมา เขาวางกระดาษลงบนโต๊ะทำงานยกมือขึ้นกุมหน้าผาก
"สจ๊วต..ลุงเคยเห็นอักขระแบบนี้ที่อื่นในบ้านอีกหรือเปล่า..แบบว่า..."
ชลทิศหยิบดินสอที่วางอยู่บนโต๊ะมาขีดเขียนเรียงตัวอักษรพวกนั้นใหม่ในแบบ
'ประตู' ที่เขาเคยเรียน สจ๊วตเดินเข้ามามอง เขาส่ายหัวเบาๆก่อนจะปฎิเสธว่าไม่เคยเห็นมาก่อน
ชลทิศได้แต่ถอนหายใจ...เขานิ่งไปสักพักก่อนจะพูดให้สจ๊วตขึ้นไปพักผ่อน

นาฬิกาเรือนใหญ่ของบ้านตีบอกเวลาตีสอง ชลทิศลากขาเดินขึ้นบันไดเพื่อไปห้องนอน
เขาเพลียเหลือเกินแต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้...เรื่องทุกเรื่องเข้ามาเวียนวนอยู่ในหัว
มีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด ห้องนอนของชลทิศติดกับห้องนอนของดีเร็ก
ชลทิศยืนหน้าประตูห้องพี่ชาย เขาทุบประตูห้องเบาๆ พี่ชายเขาจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ....ดีเร็กเคยมีทุกอย่างที่เขาอยากมี
ดีเร็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีพ่อที่รักลูก มีฐานะทางสังคม แถมยังมีเพื่อนอีกมากมาย
ทั้งๆมีสายเลือดเดียวกันครึ่งหนึ่งแท้ๆ ทำไมชีวิตเขาถึงแตกต่างกันนัก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชลทิศสะดุ้งขึ้นมา เพื่อน!! ใช่แล้ว เข้ารีบผลักประตูห้องดีเร็กออก
เดินเข้าไปค้นอัลบั้มรูปที่เขาเคยดู
เขาจำไม่ผิดแน่ ชายคนนั้น! เฟอดินาน กิลกาเมซ ไม่ใช่เขาจำสับสน ชายหนุ่มที่อยู่ในอัลบั้มรูปของดีเร็ก
แรกๆเขาเพียงแค่มองผ่านๆเพราะไม่รู้จัก..เขาดึงรูปออกมาวางเทียบๆกัน
ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองคนสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อน หรือว่าทั้งสองคนเป็นคนรักกัน...แต่ว่าเพศเดียวกันนี่นา
ถึงตรงนี้ชลทิศก็หน้าซีด ใช่สิ! ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศตรงข้ามกันนี่ถึงจะมีเพศสัมพันธ์กันได้..ความเจ็บปวดที่แทบจะฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆยังจำติดอยู่ทุกอณูของร่างกายเขา

แสงแดดที่เข้ามาแยงตา พร้อมกับเสียงของสาวใช้ประจำบ้านดังขึ้นมาแบบประหลาดใจ
"ตายแล้ว! คุณหนูค่ะ ทำไมมานอนห้องนี้ ผ้าผ่อนก็ไม่ห่ม หน้าหนาวแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะคะ"
สาวใช้ร่างเล็กพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
ชลทิศงัวเงียตื่นขึ้นมา เมื่อคืนเขาฟุบหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้ มัวแต่มองรูปของพี่ชาย
เขาฝืนตัวลุกขึ้นยืน ปวดเมื่อยไปหมดอาจจะเพราะนอนไม่ถูกท่า เขายืดตัวอยู่สักพัก
ก่อนจะเริ่มเก็บรูปที่กระจายอยู่เต็มที่นอน บางรูปปลิวตกไปที่พื้น
สาวใช้ก้มลงเก็บตามหน้าที่
"รูปสวยจังนะคะ...นี่คงเป็นคุณดีเร็กใช่ไหมคะ" เธอถาม
ชลทิศมองหน้าสาวใช้แบบงงๆ
"เจสซี่ เจสซี่พูดอย่างกับไม่รู้จักพี่ดีเร็กอย่างนั้นแหละ"
เขาชี้ไปที่รูปคู่ของดีเร็กและเฟอดินาน เจสิก้าหรือเจสซี่เอียงคอยิ้มออก
"คุณดีเร็กนะพอรู้จักคะ..เพราะว่าโครงหน้าเธอยังเหมือนรูปที่ติดที่ผนัง
แต่เพื่อนของคุณดีเร็กหนูไม่รู้จักหรอกคะ...หนูเองพึ่งมาทำงานที่นี่ได้แค่สามเดือนเท่านั้น...คุณดีเร็กเองหนูก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริงๆเลย"
เธออธิบายให้ชลทิศฟัง
"อืม...แล้วคนใช้เก่าแก่ของที่นี่มีใครบ้างละ เจสซี่ไปเรียกให้ที
ผมอยากจะถามอะไรสักหน่อย" เขาเอ่ยปาก
"อืม...พูดถึงคนเก่าแก่..คงจะเหลือพ่อบ้านสจ๊วตคนเดียวละมั้งคะ
เพราะว่าคนอื่นในบ้านนี้ล้วนแล้วแต่เข้ามาทำงานพร้อมหนูทั้งนั้น..."
ชลทิศขมวดคิ้ว..อะไรกันไม่อยากจะเชื่อว่าคนใช้เก่าแก่จะลาออกหมดแบบนี้
เจสซี่สังเกตเห็นความกังวลของเจ้านายหนุ่มของเธอ
"แต่คุณหนูคะ..น้าของหนูเคยทำงานที่นี่มาก่อนคะ...เพียงแต่ว่าคุณหนูอย่าไปบอกใครนะคะว่าหนูเคยมีญาติทำงานที่นี่"
เธอกระซิบบอกชลทิศเบาๆ
"ทำไมล่ะ"
"ก็ตอนประกาศที่หนูสมัครงานมานะคะ...เห็นเขาบอกว่าไม่ต้องการรับญาติพี่น้องของคนรับใช้เก่าแก่...นี่ถ้าเขาเกิดทราบความจริงขึ้นมาหนูมิถูกไล่ออกหรือคะ"
"จริงเหรอ...เป็นประกาศที่ดูงี่เง่าจริงๆ..." ชลทิศอุทานด้วยความประหลาดใจ
"จริงๆนะคะ..เชื่อเถอะ..ตอนหนูเข้ามาสมัครงานที่นี่ทนายทิมอนยังเข้ามาสัมภาษณ์หนูเลยคะ"
ทิมอน...ทิมอนอีกแล้ว...เรื่องนี้ก็แปลก...ทำไมจะต้องเปลี่ยนคนใช้ด้วย...แบบนี้คนที่รู้เรื่องอะไรที่พอเป็นข้อมูลได้ก็ไม่มีเลยสิ!