พระสังฆราชกำลังตกอยู่ในอันตราย

ภายใต้กรงเล็บเจ้าแม่กาลีซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจก

กราบเรียนพ่อแม่พี่น้องชาวพุทธที่เคารพรักทุกท่าน ประเด็นที่เป็นข่าวร้อนในวงการพระพุทธศาสนาบ้านเราในขณะนี้ ไม่ต้องบอกทุกคนก็คงทราบคือ "กรณีพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย" กระผมใคร่ขอกราบเรียนความจริงอันน่า ตื่นตระหนกให้พี่น้องขาวพุทธไทย ได้ทราบว่า พระลิขิตดังกล่าวเป็นของปลอม และ สมเด็จพระสังฆราช กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยมีหลักฐานดังนี้

กรณีพระลิขิตปลอม

1. พระลิขิตดังกล่าว มีเนื้อหาที่ขัดต่อกกฏหมาย ไม่สามารถปฏิบัติตามได้

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 มาตรา 8 ได้ระบุถึงอำนาจสมเด็จพระสังฆราชไว้ว่า "สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่ง สกลมมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์ และ ทรงตราพระบัญชา สมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และ กฏมหาเถรสมาคม"

แต่ในเอกสารอันบังอาจอ้างว่าเป็น "พระลิขิต ในบรรทัดที่ 5 มีข้อความว่า "ต้องมอบสมบัติที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระ ให้แก่วัดทันที" ในทางกฎหมาย ข้อความนี้ ขัดต่อ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งได้ระบุไว้ว่า

มาตรา 48 ""สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิ และการจำกัด สิทธิ เช่นว่านี้ ย่อมเป็นไปตามที่กฏหมายบัญญัติ"

นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังได้ให้การรับรองสิทธิ์ในทรัพย์สินของพระภิกษุ ไว้ตามมาตรา 1623 มีใจความว่า

"ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณะเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณะภาพ ให้ตกเป็นสมบัติของวัด ที่เป็นภูมิลำเนาของ พระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่ พระภิกษุนั้น จะได้จำหน่าย ไปในระหว่างมีชีวิต หรือ โดยพินัยกรรม" และ ไม่มีประมวลกฎหมายใดในประเทศไทย ทั้งในอดีต ถึงปัจจุบันกำหนดโทษว่า พระภิกษุระหว่าง อยู่ในสมณะเพศ มีทรัพย์สินส่วนตัวไม่ได้ ถือเป็นความผิด ต้องโอนให้วัดหมด มีแต่รับรองสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ฉะนั้น เมื่อมีข้อความอันเป็นการบังคับให้มอบทรัพย์สิน ปรากฏในเอกสาร จึงระบุได้ชัดว่า ข้อความในเอกสารอันบังอาจอ้างว่า เป็น "พระลิขิต" ขัดต่อ รัฐธรรมนูญ และ กฎหมาย โดยชัดแจ้ง หากเป็นพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช จริง เหตุใดเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีหน้าที่ ตรวจตรา โดยตรงจึงปล่อยให้ผ่านออก สู่สาธารณชนทั้งที่ผิดพลาด

2. ในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนั้น จะเห็นว่า ส่วนเนื้อความเป็นตัวอักษรพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ส่วนตราตำแหน่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และวันที่ชื่อวัด เป็นตัวอักษรพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นไปได้อย่างไร ทำไมเอกสารฉบับเดียวกัน จึงพิมพ์ด้วย เครื่องพิมพ์ดีดส่วนหนึ่ง พิมพ์ด้วย คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่ง ( จะเกิดขึ้นได้โดยการใช้เครื่อง SCAN ลายเซ็นสมเด็จพระสังฆราช ตัวอักษรส่วน พระนาม สมเด็จพระสังฆราชจึงติดมาด้วย)

3. ตัวเลขที่ใช้ในเอกสารนี้ เป็นตัวเลขอารบิค ผิดธรรมเนียมสงฆ์ไทย ซึ่งจะใช้ตัวเลขไทยตลอด ในการศึกษาทางคณะสงฆ์ตั้งแต่ชั้นนักธรรมตรี โท เอก และเปรียญธรรม ทุกประโยค จะต้องใช้ตัวเลขไทย ทั้งหมด ห้ามมิให้ใช้ตัวเลขอารบิคโดยเด็ดขาด ดังนั้นงานของการคณะสงฆ์ไทย จึงเป็นธรรมเนียม ที่จะต้องใช้ตัวเลขไทยเท่านั้น เพราะ คุ้นเคย ใช้มาตลอดตั้งแต่เป็นสามเณรแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่สมเด็จพระสังฆราชจะใช้ตัวเลขอารบิคในพระลิขิต ซึ่งข้อสงเกตุนี้ นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา ก็ได้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว โปรดดูจากบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน ได้

4. เนื้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตที่ว่า "ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจาก ความเป็น สมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการ อย่างเด็ดขาด" นั้น ขัดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติไว้เลยว่า พระภิกษุต้องยก สมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ใครไม่ทำต้องอาบัติปาราชิก เรื่องนี้มีเขียนอยู่ในหลักสูตร นักธรรมชั้นตรี ที่พระบวชใหม่พรรษา 1 ก็ ต้องเรียนและ รู้แล้ว จึ้งเป็นไปไม่ได้ที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงภูมิ ความรู้ อย่างยิ่ง จะไม่มีทางเขียนออกมาเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ไม่ใช่พระ รู้พระธรรมวินัยแบบงู ๆ ปลาๆ จับแพะชนแกะ เขียนขึ้นมา ปลอมเป็นของสมเด็จพระสังฆราชแน่นอน

5. ผิดสังเกตบ้างไหม ว่า ปกตินักการเมือง ข้าราชการ จะกลัวสื่อมวลชนค่อนข้างมาก เพราะถ้าถูกเขียนข่าวด่า คะแนนเสียงก็ตก ข้าราชการเก้าอี้ก็ไม่มั่นคง แต่ทำไมครั้งนี้ ทั้งที่สื่อมวลชนเกือบทุกฉบับ พาดหัวตัวใหญ่สุด ทีวีทุกช่อง วิทยุมากมาย โหมกระหน่ำข่าวกันอย่างสนั่นหวั่นไหวเป็นประวัติการณ์ แต่ นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ และ อธิบดีกรมการศาสนา นายพิภพ กาญจนะ กลับกล้าออกมา ชี้ถูกชี้ผิด ทวนกระแสสื่อมวลชน แม้จะถูกด่ายับเยิน ก็ยังรักษาท่าทีไว้อย่างมั่นคง

จริง ๆ เป็น เพราะว่า ผู้ใหญ่ระดับบนที่รับผิดชอบทั้งหมด ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และ พระมหาเถระผู้ใหญ่ ในมหาเถรสมาคม ต่างรู้ความจริงกันหมด แล้วว่า นั้นไม่ใช่ พระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราช เขียนขึ้น แต่เจ้าแม่กาลีซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจก คือคนเขียนร่างทำขึ้นมา แอบอ้างพระนามสมเด็จ พระสังฆราช แต่ทุกคนเหมือนถูก น้ำท่วม ปาก พูดไม่ออก เพราะกลัวกระทบ พระเกียรติสมเด็จพระสังฆราช นายอาคมถึงขนาดอดไม่อยู่ ให้สัมภาษณ์แพลม ออกมาในวันที่ 30 เม.ย. ว่า คงไม่ใช่พระลิขิต พระสังฆราช ไม่รู้หลุดออกมาจากห้องกระจกหรือเปล่า

สมเด็จพระสังฆราช หลักจากทรงตรากตรำงานหนักเพื่อพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน ขณะนี้พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 85 พรรษาแล้ว ทรงพระชราภาพ มาก สุขภาพ และ ความจำไม่ค่อยดี 4-5 ปีมานี้ ในการประชุมมหาเถรสมาคม แต่ละครั้ง พระองค์จะเพียงเจ้าไปเปิดประชุม แล้วก็จะไปพักผ่อน ในห้องที่เขา จัดไว้ให้ รอจนประชุมใกล้เลิก จึงกลับเข้าไปฟังสรุปการประชุม แล้วเสด็จกลับ ไม่เคยตรัสอะไร เลยมาหลายปีแล้ว เพราะสุขภาพไม่เอื้อ ให้สมเด็จ พระพุฒาจารย์ แห่งวัดสระเกศ คือ ผู้ดำเนินการประชุม แทนมาตลอด ความจริงนี้ กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูป เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา รมช.อาคม รู้ดี ใครรู้จักท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไปสอบถามเป็นการส่วนตัว ก็จะรู้ความจริง ทั้งหมด ทุกคนจึงทราบว่า พระลิขิต สมเด็จพระสังฆราช ครั้งนี้ ไม่ใช่พระองค์ เขียนเอง แน่นอน มีคนแอบอ้างทำขึ้น แต่ทุกคนก็เคารพรักในพระสังฆราช พยายามหาทางออก ที่นุ่มนวล เพื่อปกป้องพระเกียรติ ไม่แฉความจริงนี้ออกมา แต่กลับทำให้นางกาลีแห่งห้องกระจก เหิมเกริมหนักยิ่งขึ้น ด่ากราดทุกคนอย่างไม่ไว้หน้า ถือดีว่าคุมพระสังฆราช อยู่ในอุ้งมือ

ซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจก บังอาจอาศัยการที่สมเด็จพระสังฆราชทรงพระชราภาพ เข้าควบคุม แอบอ้างพระนามมาใช้เพื่อประโยชน์ตน และยังมีการห้ามแขก ที่ไปเข้าเฝ้า พระสังฆราช ทูลถามเรื่องต่าง ๆ จากพระองค์ เพราะกลัวความลับจะแตก บอกให้รับพร รับน้ำมนต์ได้เท่านั้น กิจกรรมต่าง ๆ ของสมเด็จ พระสังฆราช ซูสีไทเฮาแห่ง ห้อง กระจก จะเป็นผู้กำหนดทั้งหมด ว่าจะให้ไปหรือไม่ให้ไปที่ใด ให้ทำอะไร

เปิดความลับห้องกระจก ซูสีไทเฮาคือใคร

ถามว่า นางกาลีแห่งห้องกระจกนี้ คือใคร ทำไมจึงได้บังอาจกระทำการจาบจ้วง ร้ายกาจเพียงนี้

หัวหน้าใหญ่แห่งห้องกระจก คือ มล. จิตติ นพวงศ์ เป็นหลานของสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์) เจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศ ทรงดำรง ตำแหน่งพระสังฆราช ในระหว่างปี พ.ศ. 2489-2501 ได้อาศัยความเป็นญาติกับพระสังฆราชของตน เข้ามามีบทบาทในกิจการงาน ของวัดบวรนิเวศ และได้วางแผน สืบทอด อำนาจของตน ต่อจากยุคสมเด็จพระสังฆราชชื่น โดยได้สนับสนุน สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ตั้งแต่ยังเป็น พระธรรมดา จนมีสมณศักดิ์สูงขึ้น และดำรงตำแหน่ง เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด จึงได้รับความเกรงใจมาก และกลุ่มศิษย์ห้องกระจกนี้ ได้ใช้ความ เกรงใจนี้ เป็นประโยชน์เข้าครอบงำงานต่าง ๆ ของวัดบวรนิเวศ หนักยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พระภิกษุรูปใด บังอาจไม่เชื่อฟังก็จะถูกย้ายวัด ถูกลงโทษ มีอันเป็นไป ต่างๆ โดยทันที เป็นที่หวาดกลัวแก่พระภิกษุ สามเณรวัดบวรนิเวศ เป็นอย่างยิ่ง

พี่น้องชาวพุทธ ใครไปวัดบวรนิเวศ ในขณะนี้ จะเห็นมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ตั้งเด่นเป็นสง่า ให้ประชาชนกราบไหว้บูชา วัดบวรนิเวศ เป็นวัดหลวงที่เป็น เสาหลัก ของ ธรรมยุติกนิกาย อันพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงสถาปนาขึ้น และได้พยายามรักษาพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่ ปรากฏ และ เคยทรงเป็นเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศนี้หลายสิบปี ทรงพยายามทำให้เป็นแบบอย่าง แก่วัด ทั้งปวง สมเด็จพระสังฆราชปัจจุบัน ทรงมีพระปรีชา ญาณสูงส่ง เป็นประมุข แห่งคณะสงฆ์ไทย จะไป เคารพ บูชาเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็นผู้หญิงและไม่มีในพระพุทธศาสนาเถรวาทของเรา ได้อย่างไร พระองค์ ย่อมทรงประพฤติตน เคร่งครัดในพระไตรปิฏก ในพระธรรมวินัย เป็นแบบอย่างแก่ชาวพุทธไทย ไม่เชิดชูเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายโดยเด็ดขาด แล้วถามว่า รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม เข้ามาประดิษฐาน อยู่ในวัดบวรได้อย่างไร

คำตอบคือ ... (ใคร) ... แห่งห้องกระจกเป็นผู้นำเข้ามาประกาศศักดาถึงความยิ่งใหญ่ของตนว่า เป็นประดุจเจ้าแม่กวนอิม แห่งวัดบวรที่พระเณรทุกรูป ต้อง เคารพ

นอกจากนี้เรายังสังเกตเห็นว่า ปกติสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ทรงมีคุณธรรมสูง โปรดการประพฤติที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตามแนวทางที่รัชกาลที่ 4 องค์ประมุข ผู้สถาปนาธรรมยุติกนิกายได้วางไว้ ไม่โปรดการปลุกเสกต่างๆ แต่ทำไมระยะหลังนี้ จึงมีการนำเครื่องรางของขลัง สารพัดรูปแบบ เข้าไปให้ สมเด็จพระสังฆราชเจิมบ้าง รดน้ำพุทธมนต์บ้าง ปลุกเสกบ้าง กันอย่างถี่ยิบ

คำตอบมีง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไรเลย ก็เพราะซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจกต้องการเงิน ใครเอาเงินมาเซ่นให้ ก็พร้อมจะขายชาติ ศาสนา ขายวิญญาณ ให้ทันที ใครจะเอาวัตถุมงคล มาให้พระสังฆราชทำพิธี ก็จะต้องจ่ายให้กับซูสีไทเฮาห้องกระจกก่อน ตัวเลขไม่ถูกใจก็ไม่มีสิทธิ์ แต่ถ้าเงินถึงก็ได้ทุกอย่าง จะเป็น ตะกรุด เจ้าพ่อ เจ้าแม่ รูปปั้นเซียนอะไร ก็ได้หมด ตาลุกวาว กับเงินที่เขาเอามาเซ่น จึงได้ระดม ของขลังมาให้สมเด็จพระสังฆราชทำพิธีกันอย่างถี่ยิบ ไม่กลัว นรกจะกินหัว ลดฐานะพระองค์ลงเป็นเกจิอาจารย์ขลัง

กระผมเองเป็นศิษย์ วัดบวรตั้งแต่เล็ก เคารพในคุณธรรมของ สมเด็จพระสังฆราชอย่างยิ่ง พระองค์แม้ทรงเป็น สมเด็จพระราชาคณะแล้ว ก็ยังทรงมี พระเมตตา มาสอนเด็ก ๆ ในโรงเรียน พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ผมโตแล้วได้เคยบวชเรียนอยู่วัดบวรนิเวศ ได้รู้เห็นความเป็นไปทั้งหมด จนถึงปัจจุบัน ทนอัดอั้นตันใจมานาน ไม่กล้าพูดอะไร เพราะ กลัวกระทบ พระเกียรติพระองค์ แต่มาถึงตอนนี้ เห็นมีการแอบอ้างพระลิขิตกันถี่ยิบ เป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำการอย่างเหิมเกริม ไม่เกรงอำนาจบารมี สมเด็จ พระสังฆราชเลย จึงสุดจะทนต่อไป ตัดสินใจเปิดโปงความจริงทุกอย่าง กระผมคิดว่า การเปิดความจริง อย่างนี้ ให้ชาวพุทธทั้งประเทศทราบ ช่วยปกป้องพระสังฆราช เป็นการเทิดพระเกียรติ พระองค์ มากกว่าทนเงียบเฉย ลำพังตัวกระผมเอง ไม่มีกำลังอำนาจ อะไร จะไปต่อสู้กับพวกคนเหล่านี้ แต่หวังว่าการเปิดเผยความจริงนี้ จะทำให้ชาวพุทธเราที่มีกำลัง ขึ้นมา ช่วยปกป้อง สมเด็จพระสังฆราชจากอันตราย

นอกจากนี้ ซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจกนี้ ยังสร้างบ้านอยู่ในวัดบวรถึง 5 หลัง เอาญาติพี่น้องมาอยู่เป็นสีกามายึดที่วัดปลูกบ้านได้อย่างไร และยังใช้อิทธิพล เอาญาติ มาเป็นนาย ตำรวจ ติดตามสมเด็จพระสังฆราช แล้วไอ้นี่เป็นตัวแสบ ปลอมลายเซ็นพระสังฆราชทำหนังสือ ขอเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งให้พรรคพวก องค์พระสงฆราชท่านมีคุณธรรม ย่อมไม่ใช้เส้นสายบีบบังคับหน่วยราชการใด ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นหน่วยงานใดเคยได้รับจดหมายแบบนี้ ขอให้แฉออกมา เพื่อสอบสวนจิกหัวลากไอ้พวกเดนนรกนี้ ออกมาแผ่ ประจานให้ประชาชนทราบ พวกคนชั่วนี้ทำได้ผลบ่อยๆ จึงเหิมเกริมทำชั่วหนักมือขึ้น จนไปพลาด เรื่องการเงิน ถูกตำรวจสน. ชนะสงครามจับ ศิษย์ห้องกระจกถึงกับ บังอาจ หลู่พระเกียรติ นำองค์พระสังฆราช ไปสถานีตำรวจชนะสงคราม ตอนห้าทุ่ม เพื่อให้พระองค์ขอพระกันตัว นี้ออกมา ใครมีญาติหรือคนรู้จักทำงานโรงพักชนะสงคราม สอบ ถามความจริงเรื่องนี้กันได้ เขาปิดกันให้แซด ไปทั้งสถานี พวกนี้สมควร ลงนรกอเวจี ไม่ให้ผุดเกิดไหมครับ พ่อแม่พี่น้อง

บัดนี้ เจ้าแม่กาลีซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจกนี้ได้สยายกงเล็บออกไปคุมถึงวัดญาณสังวรารามแล้ว พระเณรองค์ไหนกล้าสบตา ขัดคำสั่งละก็ เตรียมหา วัดอยู่ใหม่ได้ โยมจะมา ทำบุญ พระจะสวดมนต์บทไหน

พวกนี้จะสั่งการหมด เคยมีโยมไปทักว่า ทำไมไม่เคารพพระ คำตอบที่ได้รับจากลูกสมุนคือ ให้กลับไปก่อนที่จะต้องตาย ใครรู้จักพระเณรวัดบวรฯ ซึ่งมีอยู่ หลายร้อยรูป ขอให้ แอบกระซิบถาม จะรู้ฤทธิ์ พวกชิงนรกมาเกิดแห่งห้องกระจกนี้ทุกคน

ขอเรียนความจริงให้พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทราบว่า งานนี้วัดพระธรรมกายนั้น เป็นแค่แพะเท่านั้น เป้าจริงๆ ของซูสีไทเฮานี้ก็คือ รักษาอำนาจและ ผลประโยชน์ ของตัวเอง เพราะเห็นว่า พระสังฆราชทรงพระชราภาพมากแล้ว ถ้าสิ้นพระชนม์ลง ผลประโยชน์ที่เคยได้เสพสุข มาตลอดก็จะหมด เพราะเห็น ชัดเจนว่า ตำแหน่งพระสังฆราชองค์ต่อไป จะต้องเป็นของพระมหาเถระฝ่ายมหานิกายแน่นอน เพราะมีสมเด็จที่มีอาวุโสสูง เรียงต่อกันรออยู่ถึง 3 รูป คือ สมเด็จวัดสระเกศ สมเด็จวัดชนะสงคราม และสมเด็จวัดปากน้ำ วิธีการเดียวที่จะรักษาผลประโยขน์ของตนไว้ได้ ก็ คือ ต้องทำลายสมเด็จทั้ง 3 องค์นี้ ลงไป เอาตำแหน่งสังฆราช มาอยู่กับธรรมยุตให้ได้ ตนจะได้รักษาอิทธิพลเอาไว้ได้

วิธีการทำลายก็ง่ายมากอย่าง ที่กำลังดำเนินการคือ ปลอมพระลิขิตพระสังฆราช เพื่อปลุกระแสมวลชนให้เข้าใจผิด เกลียดชังวัดพระธรรมกาย แล้วบีบให้ มหาเถรสมาคม พิพากษาตัดสินตามพระลิขิตที่ตนทำปลอมขึ้น พร้อมปล่อยข่าวทำลายดักไปก่อนว่า พระผู้ใหญ่มหานิกายรับเงินวัดธรรมกาย จึงอุ้มธัมมชโย บอกมีส่วยสงฆ์ มีการรับรถเบนซ์กัน ไม่กล้าลงโทษ เพราะกลัวถูกแฉว่าเคยรับส่วย ฯลฯ เพราะรู้แน่ว่า มติมหาเถรสมาคมต้องออกมา ไม่ตรงตามพระลิขิต ที่ตนร่างขึ้น แน่นอน เพราะมันผิดกฏหมาย ทำไม่ได้ แต่ประชาชนไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เมื่อมติออกมา ก็จะออกข่าวถล่มพระมหาเถระผู้ใหญ่ชั้นสมเด็จ รองสมเด็จ ของมหานิกาย ทีเดียวเป็น 10 รูป ยกชุดเลย เรียกว่า เด็ดยอดกันทั้งแผง กะตอนพระมหานิกายให้เดี้ยงคามือ

นับเป็นแผนอุบาทว์ชาติชั่วอย่างไม่เคยมีมาก่อน พระมหาเถระระดับสมเด็จ ว่าที่พระสังฆราช มีคุณธรรมสูงยิ่ง สร้างคุณงามความดี อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธ ศาสนา มาตลอด ปกครองพระเป็นหมื่นเป็นแสนรูป มันกล้าป้ายสีว่ารับส่วย อย่างไม่กลัวนรกกินหัว

ขอเรียนให้ทราบว่า เรื่องนี้พระธรรมยุตส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องด้วย ทุกคนปรารถนาความสามัคคีแห่งหมู่สงฆ์ทั้งนั้น เป็นเรื่องของพวกจัญไร กับสมัคร พรรคพวกไม่กี่คน ทำขึ้น

พวกศาสนาอื่น ตีปีกกับโอกาสดีเลิศ ที่มาถึงอย่างไม่คาดฝันนี้กันถ้วนหน้า อาศัยจังหวะที่เจ้าแม่กาลีซูสีไทเฮาแห่งห้องกระจก กำลังหน้ามืด ความโลภหลง บังตา เดินแผนทำลาย อย่างแยบยลเข้มแข็งนี้ สวมรอย เข้ามาทันที เงินตราไหลสะพัดไปตามสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ อย่างท่วมท้น อาศัยจังหวะที่สื่อต่าง ๆ กำลังจะตายเพราะปัญหาเศรษฐกิจ โยนเงินก้อนมาให้ แลกกับการเสนอข่าวทำลายพุทธ การจ่ายเงินเป็นไปแบบแยบยล ให้กับสื่อบางสื่อ คนบางคน เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวน ใส่เชื้อไฟไม่ให้มอด เพราะถ้าให้ ทุกคนเดี่ยวความลับจะแตก นักข่าวส่วนใหญ่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หลงเล่นข่าวไปตามกระแส ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ

ของให้พี่น้องชาวพุทธสังเกตได้ รายการวิทยุที่ให้ผู้ฟังโทรไปแสดงความเห็น จะมีคนโทรเข้าไปแสดงความเห็นเชิงชี้นำเป็นระยะ ๆ ตลอด เช่น เมื่อโจมตีวัด พระธรรมกาย จนเห็นว่าคนเชื่อมากแล้วก็จะบอกไม่ใช่วัดพระธรรมกายแย่ที่เดียวนะ วัดข้างบ้านแย่กว่าวัดพระธรรมกายอีก พระสงฆ์ เดี่ยวนี้เลวชั่วชาติ เชื่อถือไม่ได้ 90%เลิกใส่บาตรแล้ว เลิกนับถือพระแล้ว อะไรทำนองนี้

นี่คือแผนทำลายพระพุทธศาสนาอันลึกซึ้ง และได้ผลที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย น่าสลดใจที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว เพราะชาวพุทธส่วนใหญ่ ถนัดในทางด่ากัน เอง แต่ไม่กล้าว่าคนศาสนาอื่น ใครพูดก็จะบอกว่าอย่าไปมองเขาในแง่ร้าย คงไม่จริงมั้ง คนศาสนาอื่นเขาดี ๆ ทั้งนั้น มีแต่คนพุทธ พระสงฆ์ เท่านั้นที่เลว

นางกาลีแห่งห้องกระจกมันไม่ได้ตระหนักเลยว่า เพียงเพราะความโลภโกรธหลงที่บังตาเจ้า สิ่งที่มันกำลังทำอยู่อย่างเมามันในขณะนี้ เป็นการทำลาย พระพุทธศาสนาใน ประเทศไทย แบบรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัว ส่วนยอดก็คือ ทำลายสถาบันสมเด็จพระสังฆราช องค์พระประมุขของคณะสงฆ์ไทย ส่วนกลางคือ ทำลายมหาเถรสมาคม อันเป็นองค์กรสูงสุด ในการปกครองคณะสงฆ์ไทย ส่วนล่างคือ ทำลายวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นวัดที่มีศักยภาพ สามารถ ต้านทานการบุกของ ศาสนาอื่นอยู่ และพร้อมจะเผยแผ่ พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศทั่วโลก และผลการกระทำนี้ กำลังขยายผลออกไป เป็นการทำลาย ภาพพจน์ความศรัทธาต่อ คณะสงฆ์โดยรวมทั้งหมด มันไม่รู้หรอกว่า ขณะที่มันกำลังหลงระเริงกับ อำนาจศักดาที่ตนสามารถครอบงำชี้นำ สังคมไทยทำลาย ล้าง พระมหาเถระผู้ใหญ่ได้อย่างสนุกมือนั้น จริง ๆ แล้ว มันก็เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง บนเกม การทำลายพระพุทธศาสนาของต่างชาติเท่านั้น

ขอฝากความหวังไว้กับพี่น้องชาวพุทธ

ตื่นเถิดพี่น้องชาวพุทธ ขอให้ช่วยกันลุกขึ้นมาปกป้องสมเด็จพระสังฆราช โดยไล่พวกกาลีแห่งห้องกระจก พร้อมลูกสมุนทั้งแก๊งค์ ออกไปจากวัดบวรทันที อย่าให้เข้าใกล้สมเด็จ พระสังฆราชได้อีกต่อไป แล้วกราบบังคมทูลขอหมอหลวงผู้สามารถมาดูแล สุขภาพของสมเด็จพระสังฆราชอย่างใกล้ชิด ขอ ทหารราชองค์รักษ์ ผู้จงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มาถวายการอารักขาแก่พระองค์ มิให้ใครผู้ใดมาทำร้ายครอบงำ พระองค์ได้ จากนั้นก็ เร่งสอบสวน กระชากหน้ากากอีมหาวายร้าย ผู้แอบอ้างจัดทำหนังสือ พระลิขิต ดังกล่าว ออกมาให้ประชาชนได้ทราบโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องพระเกียรติ สมเด็จ พระสังฆราช

และของเรียกร้องให้รัฐบาล เสนอพระราชบัญญัติ ตรากฏหมาย ห้ามมิให้ผู้ใดดูหมิ่นเหยียดหยาม มหาเถรสมาคม องค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย ศาล ทางโลก ยังมีกฏหมาย ห้ามมิให้ใครหมิ่นประมาทศาลใครดูหมิ่นศาลต้องถูกจับติดคุก แล้วศาลสงฆ์ซึ่งประกอบด้วยพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นที่เคารพบูชา ยิ่งกว่า ทำไม เราปล่อยให้ผู้คนด่าว่า ดูหมิ่น เหยียดหยาม ได้อย่างตามใจชอบเช่นนี้

ตื่นนเถิดพี่น้องชาวไทยไทยชาวพุทธทุกคน ถ้าเรายังไม่รู้ตัว ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขาแล้ว พระพุทธศาสนาไหน ประเทศไทย จะถึงกาล เสื่อมทรุด อย่างไม่เคย เป็นมาก่อน เพราะอาจถึงขนาดเสื่อมสูญไป จากประเทศไทยเราก็ได้

และที่น่ากลัวอย่างยิ่งคือ ขณะนี้ได้มีขบวนการลึกลับกำลังเข้ามาอาศัยสถานการณ์นี้สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อาจจะหวังผลถึงขนาดเปลี่ยนแปลง การปกครองแผ่นดิน หรือไม่ ขอให้พี่น้องประชาชนจับตาดูอย่างใกล้ชิด มีการจัดทำใบปลิวร้าย จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง อันเป็นที่เคารพเทิดทูนของ ประชาชน ชาวไทย เพื่อหวังปลุกม๊อบ ให้เกิด การปะทะกันขึ้น ด้วยวิธีการเลียนแบบกรณี 6 ตุลา 19 นายวรัญชัย นักกวนเมืองรับจ้างมืออาชีพ กำลัง เคลี่อนไหวอย่างหนัก แต่นั้นเป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น มือม็อบตัวจริง กำลังเคลื่อนไหวจัดตั้งทัพม๊อบกันอย่างเข้มข้น โดยเอาม็อบรับจ้างเป็นแกนนำ แล้วใช้กระแสสื่อ ทุกชนิดทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวี โหมกระหน่ำ ปลุกระดม มวลชน ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มาร่วมสมทบ ตกเป็นเครื่องมือ ของขบวนการ อุบาทว์ทำลายชาติ วันที่ 10 พฤษภาคม นี้ เราจะได้เห็นความจริงนี้กันอย่างชัดเจน ขอพี่น้อง ชาวไทยผู้รักชาติ ใครพอมีกำลัง ความสามารถในด้านใด โปรดได้ช่วยกันหยุดยั้งขบวนการอุบาทว์นี้ลงให้ได้

ขอพระสยามเทวาธิราช ปกป้องชาติไทยด้วย

ศิษย์ วัดบวรฯ

(โปรดช่วยกันถ่ายเอกสาร, แฟกซ์ ส่งต่อๆ กันไปด้วย)