|
| |
มนุษสรวยหรือไม่สรวย
?
|
ครั้งหนึ่งองค์พระทินกร |
พบพระศศิธร |
|
ณ กลางระหว่างเวหา |
|
|
สุริยะตรัสว่าดูรา |
จันทรอนุชา |
|
เจ้าเคยประพาศสากล |
|
|
แลลงไปเห็นฝูงชน |
อันอยู่ภูวดล |
|
น้องเห็นว่าเปนฉันใด |
|
|
ศศิธรจึงทูลเฉลยใข |
ว่าข้าดูไป |
|
ในภพะพื้นชมพู |
|
|
เห็นพวกเผ่าพันธุ์มนู |
แสนน่าเอ็นดู |
|
ล้วนแต่หน้าแฉล้มแจ่มใส |
|
|
ต่างตนพร้อมพริ้มยิ้มละไม |
ข้าคิดว่าใจ |
|
คงดี บ่ มีมัวหมอง |
|
|
อาทิตย์ได้ฟังนั่งหัว |
เย้ยจันทร์ว่าตัว |
|
สิโง่เสียเต็มประดา |
|
|
พี่เองเคยเล็งสายตา |
ลงไปดูหน้า |
|
มนุษ ณ แดนชมพู |
|
|
ไม่เห็นผู้ใดกล้าดู |
หน้าพี่อันผู้ |
|
รังสีจำรัสชัชวาล |
|
|
เห็นแต่ก้มหัวตัวกราน |
หรือแฝงกิ่งก้าน |
|
แห่งพฤกษะใหญ่ใบหนา |
|
|
หรือเข้าแฝงอยู่คูหา |
หรือในชายคา |
|
หรือมีสิ่งถือบังเงา |
|
|
บางคนที่เห็นหน้าเขา |
ก็เห็นหน้าเง้า |
|
ขมวดแต่คิ้วหลิ่วตา |
|
|
เห็นชัดถนัดได้ว่า |
มนุษนั้นหน้า |
|
บ่ มีที่งามสักคน |
|
|
อีกทั้งใจชั่วมัวมล |
จึ่งชอบแฝงตน |
|
มิกล้าจะออกกลางแปลง |
|
|
พระจันทร์ครั้นฟังจึ่งแถลง |
ถ้อยคำร่ำแย้ง |
|
ว่าข้า บ่
เห็นเช่นนั้น |
|
|
สุริยะศศิธรเถียงกัน |
และฝูงเทวัน |
|
มิได้ประนอมยอมสมาน |
|
|
ก็ต่างเข้าช่วยเปนการ |
เถียงกันอลหม่าน |
|
จนก้องสนั่นเวหา |
|
|
ต่างมีมานะเจรจา |
สองเหล่าเทวา |
|
ผู้เปนพรรคพวกบริพาร |
|
|
ครานั้นพระนารทาจารย์ |
ล่องหนดลผ่าน |
|
ฟากฟ้ามาที่เถียงกัน |
|
|
จึ่งแวะเข้าถามความพลัน |
ฟังคำสูรย์จันทร์ |
|
แล้วเธอก็กล่าวปราไสย |
|
|
ดูราทั้งสองเทพไท |
มาเถียงกันไย |
|
ให้เกิดเปนเรื่องเคืองแค้น |
|
|
สองเธอไม่ส่องดินแดน |
สัตว์ทั้งโลกแสน |
|
จะโศกจะเศร้ากมล |
|
|
เพราะว่าทั่วหล้าสากล |
พึ่งแสงสุริยน |
|
และจันทร์จำรัสรัสมี |
|
|
เมื่อไม่ปรองดองสองศรี |
จะยากไยมี |
|
ขอเชิญทั้งสองเสด็จจร |
|
|
ไปเฝ้าพระเทพบิดร |
ทูลเทพบวร |
|
ให้เธอนั้นโปรดวินิจฉัย |
|
|
สูรย์จันทร์ฟังระบอบชอบใจ |
จึ่งชวนกันไป |
|
เฝ้าองค์พระเทพบิดร |
|
|
ฝ่ายองค์พระทรงธรร |
มะมหันต์มหิศร |
|
เปนเทวะบิดร |
สุรนาถะพรหมาน |
|
ฟังคำพระอาทิตย์ |
และพระจันทะไขขาน |
|
ยิ้มแฉ่งแถลงสาร |
คติสอนพระบุตรา |
|
สองลูกวิวาทกัน |
บ มิถูกนะลูกยา |
|
สองทรงสุฤทธา |
บ มิตรองคดีความ |
|
อันองค์พระพรหมสร้าง |
นรชาติไว้งาม |
|
เหมือนรูปพระเจ้าสาม |
แล บ่
เพี้ยนซึ่งเทวา |
|
แต่จิตแหละผิดกัน |
ผิวะทรงสุธรรมา |
|
ท่วงทีและหน้าตา |
ก็แสดงแถลงใจ |
|
หากใครนะก้าวร้าว |
และ บ่ เกรงหทัยใคร |
|
พบเขาก็เขาไซร้ |
บ มิอยากจะพบพาล |
|
อาทิตย์สิส่องแสง |
สุระร้อนและแรงราญ |
|
เขาอื่น บ่ กล้าทาน |
ระวิส่องประภาสุม |
|
หน้านิ่มและคิ้วขมวด |
และก็รวดระเร็วซุ่ม |
|
เพื่อพ้นประภารุม |
ระวิร้อนระอาใจ |
|
ส่วนเจ้าศะศิธร |
บมิส่องประภาไป |
|
ราญชนนิกรให้ |
ระอุร้อนและรำคาญ |
|
พิศจันทร์สิใจเย็น |
กลเห็นมะธูหวาน |
|
ชวนจิตนิกรบาน |
นรยิ้มละไมงาม |
|
อันคำบิดากล่าว |
ผิวะเปรียบกระแสรความ |
|
ก็พ้องและต้องตาม |
คติโลกนะลูกยา |
|
ใครอยากจะเห็นเพื่อน |
นรยิ้มและยวนตา |
|
แผ่เมตตะจิตกา |
รุณะก่อนแหละจึ่งควร |
|
ใจดีก็เขารัก |
และนิยมกมลยวน |
|
เราสรวลก็เห็นสรวล |
นะฉะนี้แหละธรรมดา |
|
อวดอิทธิอำนาจ |
นรย่อมระอานา |
|
พ่อกล่าววะจีภา |
ษิตะแจ้งจงรำพึง |
ดุสิตสมิต
เล่มที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๑๖ หน้า ๑๗๗ -
๑๗๙ |