โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
การเกิดปัญหาขาดดุลการคลังติดต่อกันหลายปีในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้มักเข้าใจกันว่ามีสาเหตุเนื่องจากการใช้จ่ายที่สูงจนเกินเหตุ และปัญหานี้ได้ลุกลามจนนำไปสู่การเกิดเศรษฐกิจตกต่ำในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ความจริงนั้นปัญหาการขาดดุลการคลังดังกล่าวนี้ มีสาเหตุมาจากการที่รายได้ต้องลดลงไปอย่างผิดปกติเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้ที่ขาดหายไปเพราะการยกเลิกบ่อนการพนัน หวย ก.ข. และการจำกัดการค้าฝิ่นลงอย่างต่อเนื่อง มิใช่เนื่องจากรายจ่ายเพิ่มขึ้นจนเกินเหตุ และแท้จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเน้นให้ใช้จ่ายเงินแผ่นดินโดยประหยัดเสมอมา ส่วนการเกิดเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ก็เป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกซึ่งเป็นสาเหตุจากภายนอกที่ไม่อาจเลี่ยงได้ต่างหาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังด้านการใช้จ่ายมาตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ และทรงพยายามที่จะควบคุมการใช้จ่ายเงินแผ่นดินให้เป็นไปอย่างประหยัด จะเห็นได้จากการที่นับแต่ปีแรกแห่งรัชสมัยเป็นต้นมา ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ลดเงินส่วนพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นเงินสำหรับใช้จ่ายส่วนพระมหากษัตริย์ลง เงินพระคลังข้างที่นี้ตามพระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ ร.ศ. 109 มาตรา 1 กำหนดไว้ว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ลดเงิน พระคลังข้างที่ลงถึง 1.5 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2454 ซึ่งนับเป็นเงินจำนวนมหาศาลในยุคนั้น โดยคงไว้เพียง 7 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ตามพระราชบัญญัติสำหรับพระคลังข้างที่นั้น ทรงสามารถแบ่งเงินแผ่นดินไปเพื่อใช้จ่ายในกิจการส่วนพระองค์ได้ถึง 9.2 ล้านบาทในปีนั้น หรือถ้าจะจ่ายเท่ากับปี พ.ศ. 2453 ที่ผ่านมา ก็ยังเป็นเงินถึง 8.5 ล้านบาท การปรับลดเงินพระคลังข้างที่ลงนี้ปรากฏในคำกราบบังคมทูลของเสนาบดีกระทรวงพระคลังเรื่องงบประมาณประจำปี พ.ศ.2454 ความว่า
นอกจากลดเงินสำหรับพระคลังข้างที่ลงแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงวางเกณฑ์สำหรับการจัดสรรเงินแผ่นดินเป็นของพระคลังข้างที่เสียใหม่ โดยให้เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 5 แสนบาท ไม่ว่ารายได้ของแผ่นดินจะเพิ่มเท่าใด และยังกำหนดเพดานไว้เพียง 9 ล้านบาทซึ่งถ้าเงินส่วนพระคลังข้างที่เพิ่มจนถึงเพดานนี้แล้ว ก็จะไม่มีการเพิ่มเงินให้อีกต่อไป การเพิ่มในอัตราปีละ 5 แสนบาทนี้จึงหมายความว่าต้องใช้เวลา 5 ปีจึงจะเพิ่มถึงเพดานที่กำหนด แม้แนวพระบรมราโชบายที่มอบหมายให้กับกระทรวงพระคลังจะประหยัดลงถึงเพียงนี้แล้ว แต่เมื่อดูจากงบประมาณรายจ่ายก็จะเห็นว่า ในความเป็นจริงนั้นยิ่งประหยัดไปกว่านั้นเสียอีก (ดูตารางประกอบ) เนื่องจากทรงห่วงใยว่าบางปีทางราชการต้องใช้จ่ายมากกว่าปกติ ก็ให้ลดเงินส่วนที่ต้องเพิ่มตามกำหนดให้แก่พระคลังข้างที่นั้นลงเสียบ้าง หรือบางปีก็ไม่เพิ่มเลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปี พ.ศ. 2455 เงินซึ่งจะต้องเพิ่มขึ้น 5 แสนบาทนั้นก็เพิ่มเพียง 4 แสนบาท และในปี พ.ศ. 2456 เพิ่มเพียง 3 แสน 5 หมื่นบาท ในปี พ.ศ. 2457-2458 นั้นไม่เพิ่มเลย ปี พ.ศ. 2459 เพิ่ม 2 แสน 5 หมื่นบาท ในปี พ.ศ.2460 - 2462 ไม่เพิ่มเลย ด้วยเหตุผลดังที่ปรากฏในคำกราบบังคมทูลของเสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ เรื่องงบประมาณรายได้รายจ่ายประจำปีความว่า
งบประมาณที่จัดสรรให้แก่พระคลังข้างที่จึงได้เริ่มเพิ่มตามกำหนดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2463 ทำให้ถึงระดับเพดานที่กำหนดในปี พ.ศ. 2464 หรือใช้เวลาถึง 10 ปี ทั้งๆที่กำหนดไว้เพียง 5 ปีเท่านั้น |