โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


ต้นแบบของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


  • ความเป็นมา

สภาเผยแผ่พาณิชย์เป็นหน่วยงานที่ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๓ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ซึ่งถ้าหากจะเปรียบเทียบกับหน่วยงานที่มีลักษณะอย่างเดียวกันในปัจจุบันแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่าหน้าที่และบทบาทของสภาเผยแผ่พาณิชย์นั้น ใกล้เคียงกับ "สภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ" ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นเมื่อเริ่มใช้แผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ ๑ หรือที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" ในขณะนี้นั่นเอง

บทบาทด้านการ "เผยแผ่พาณิชย์"ของสภาเผยแผ่พาณิชย์นั้น เป็นบทบาทที่ครอบคลุมกว้างขวาง มิใช่เพียงแต่ส่งเสริมการค้าดังที่คนรุ่นหลังซึ่งดูแต่ชื่ออาจจะเข้าใจเช่นนั้น โดยแท้จริงแล้วสภาเผยแผ่พาณิชย์ถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ทั้งในด้านการวางแผน การจัดการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดการขยายการผลิต ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ทำการคาดคะเนตลาดสินค้าต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งประสานงานให้การขยายตลาดสินค้าของไทยเป็นไปได้อย่างประสบผล ตลอดจนชี้ช่องทางการลงทุนในด้านต่างๆ ที่น่าจะเป็นไปได้แก่เอกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศด้วย

แม้ว่าการดำเนินงานของสภาเผยแผ่พาณิชย์ จะประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจ แต่ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางการคลัง ในช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาถึงต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้สภาเผยแผ่พาณิชย์ถูกยุบเลิกไปอย่างน่าเสียดาย ผลงานของสภาฯ นี้แม้ว่าจะมีความสำคัญ แต่เนื่องจากมีบทบาทอยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ จึงถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา จนแทบจะไม่มีผู้ใดเคยคิดว่า ก่อนที่จะมีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติถึงกว่า ๓๐ ปีนั้น ประเทศไทยได้เคยมีหน่วยงานวางแผน และประสานงานระหว่างกระทรวงทบวงกรมสำคัญทางเศรษฐกิจมาก่อนแล้ว

  • การก่อตั้ง

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมุ่งหมายจะให้สภาเผยแผ่พาณิชย์ทำหน้าที่วางแผน และเป็นหน่วยงานกลางเพื่อประสานงานระหว่างกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศให้เป็นไปโดยราบรื่น ซึ่งจุดมุ่งหมายของการก่อตั้งอาจเห็นได้ชัดแจ้งจากข้อความต่อไปนี้

"กุศโลบายของรัฐบาลในการสร้างทางรถไฟและทางหลวง...ได้ตั้งต้นเปิดตาของผู้ที่ใฝ่ใจในความเจริญของบ้านเมืองทั้งไทยและเทศ ให้เห็นว่าประเทศสยามมีช่องทางที่จะเจริญได้ใหญ่โตเพียงไร และมีความจำเป็นเพียงไรที่จะต้องวางแผนทางการไว้ให้เรียบร้อยในเรื่องนี้ ด้วยความมุ่งหมายดังกล่าวนั้นและด้วยประสงค์ที่จะสหกิจการทั้งปวงของกระทรวงทบวงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ในการบำรุง ให้กลมเกลียวกัน พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖ จึงได้ทรงพระราชดำริโดยพระปรีชาญาณอันสุขุม ให้สถาปนากระทรวงพาณิชย์และสภาเผยแผ่พาณิชย์ขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๔๖๓ ซึ่งสภาฯ นี้ประกอบด้วยกรรมการคือ เสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ เสนาบดีกระทรวงเกษตรฯ เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ ผู้บัญชาการรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมทดน้ำ และมีที่ปรึกษา ๓ นายคือ ที่ปรึกษาราชการกระทรวงพระคลังฯ ที่ปรึกษาราชการกระทรวงเกษตรฯ และที่ปรึกษาราชการกระทรวงพาณิชย์ ประจำอยู่ด้วยสำหรับปรึกษากิจการทั้งปวงบรรดากฎหมายและแผนการทั้งหลาย ซึ่งเกี่ยวกับการพาณิชย์หรือการบำรุงพระราชอาณาเขตนั้น ให้เสนอต่อสภานี้ก่อนเมื่อสภาฯ พิจารณาวินิจฉัยแล้ว จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อไป"

ในการเริ่มก่อตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์ขึ้นนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตั้งกรรมการตามตำแหน่งราชการดังนี้ พระเจ้าพี่ยาเธอกรมพระจันทบุรีนฤนาท เป็นสภานายก พระราชวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ เป็นอุปนายก ส่วนกรรมการสภาฯ นั้นประกอบด้วย

๑.พระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนกำแพงเพ็ชร์อรรคโยธิน ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงเพื่อช่วยดูแลเกี่ยวกับด้านการคมนาคมขนส่ง

๒.พระยาไชยยศสมบัติ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ เพื่อดูแลเกี่ยวกับเรื่องการเพาะปลูกอันเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจในขณะนั้น

๓.หม่อมเจ้าเณร รองเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อดูแลและจัดการด้านการเงินการคลังในการใช้จ่ายด้านการพัฒนาต่างๆ

๔.พระยาอินทรมนตรี อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อพิจารณาการตั้งและลดพิกัดอัตราภาษีอากรให้เหมาะสมกับการพาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจ ตลอดจนจัดการด้านสถิติข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจัดเก็บภาษีอากร

๕.พระยาสุพรรณสมบัติ ทำการแทนอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อดูแลเกี่ยวกับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ทั้งการค้าขาเข้าและการค้าขาออก

๖.นาย อาร์ ซี อาร์ วิลสัน เจ้ากรมทดน้ำ เพื่อดูแลและให้คำปรึกษาทั้งทางด้านการชลประทานและการขนส่งทางน้ำ

ทั้งนี้โดยมีที่ปรึกษาคือ นายวิลเลียมสัน ที่ปรึกษาราชการกระทรวงพระคลังฯ และนายเกรแฮม ที่ปรึกษาราชการกระทรวงเกษตรฯ

จะเห็นได้ว่ากรรมการของสภาเผยแผ่พาณิชย์นั้น ประกอบไปด้วยผู้แทนจากหลายฝ่าย โดยกรรมการล้วนมาจากหน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง และมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งสิ้น การตั้งคณะกรรมการในลักษณะเช่นนี้จึงมีความมุ่งหมายเพื่อให้มีการประชุมวางแผน และประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญรุดหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ ความมุ่งหมายดังกล่าวนี้จะเห็นได้ชัดเจนจากพระดำรัสของพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้รั้งตำแหน่งนายกสภาเผยแผ่พาณิชย์ ในการประชุมของสภาฯ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๙ ความว่า

"สภาฯ นี้มีคณะกรรมการคือ ผู้แทนของกรม กระทรวงต่างๆ ล้วนที่สำคัญเกี่ยวกับกิจการค้าขายของประเทศอยู่พร้อมเพรียง คือกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้แทนในการเพาะพืชผลของประเทศ กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม เป็นผู้แทนในทางบรรทุกส่งและสื่อสาส์นและการหาตลาด และนอกจากนั้นการหาเงินทองที่จะทำให้แผนการเผยแผ่ความเจริญซึ่งรัฐบาลคิดไว้สำเร็จได้ผลดี ก็มีกระทรวงพระคลังฯ เป็นผู้แทน ข้าพเจ้ากล้าดำริและกล่าวได้ว่า สภาฯ นี้เป็นสภาที่มีคณะผู้แทนต่างๆ อยู่ครบบริบูรณ์ กับมีเครื่องมือพร้อมแล้วที่จะยังแผนทางการของรัฐบาลเพื่อบำรุงการค้าขายให้สำเร็จประโยชน์ได้อย่างดี"

  • การดำเนินงาน

เนื่องจากสภาเผยแผ่พาณิชย์นี้เป็นหน่วยงานที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างไปจากกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ ระเบียบการบริหารจึงมีลักษณะเฉพาะโดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนที่มีหน้าที่ประชุมปรึกษา และกำหนดแนวทางให้หน่วยงานต่างๆ นำไปปฏิบัติ อันได้แก่ส่วนของกรรมการสภาฯ และอีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่ทำงานประจำตามระเบียบบริหารราชการปกติ มีการแบ่งเป็นกรม กองและมีหัวหน้างานประจำเช่นเดียวกับหน่วยงานราชการอื่นๆ

นับตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์เป็นต้นมานั้นได้มีการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติไว้มากมาย ซึ่งอาจสรุปผลงานที่สำคัญของสภาเผยแผ่พาณิชย์เป็นประเด็นหลักได้ดังนี้

๑.ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลการตลาดสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะสินค้าที่มีการผลิตมาก และมีการทำการค้าส่งออกก่อให้เกิดรายได้แก่ประเทศ ทั้งนี้โดยมีการรายงานและสรุปวิเคราะห์ทุก ๓ เดือนเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไปในเอกสารเผยแพร่คือ จดหมายเหตุของสภาเผยแผ่พาณิชย์

๒.ทำการวิเคราะห์ตลาด ตลอดจนสำรวจอุปสรรคและปัญหาของสินค้าออกที่สำคัญ ได้แก่ข้าว ไม้สัก ดีบุก และอื่นๆ เพื่อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาและหาแนวทางแก้ไข เช่น เมื่อมีการวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศพบว่า การที่ข้าวของไทยประสบปัญหาในการแข่งขันกับข้าวจากพม่า เวียตนาม และสหรัฐอเมริกานั้น มีสาเหตุมาจากการที่ประสิทธิภาพในการผลิตข้าวตกต่ำ และคุณภาพของข้าวเริ่มต่ำลง ก็ได้มีการเสนอแนะให้กระทรวงเกษตราธิการทำการจัดประกวดและค้นคว้าทดลอง ให้ได้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพสูงออกเผยแพร่แก่เกษตรกรทั่วไป เป็นต้น

๓.แสวงหาลู่ทางที่จะทำการผลิตสินค้าที่มีโอกาสทางการตลาด และมีความพร้อมทางด้านทรัพยากรภายในประเทศ ทั้งนี้ด้วยการทำการศึกษาถึงขั้นตอนในการทำการผลิต และเผยแพร่เพื่อชักจูงให้มีการดำเนินการผลิตขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์สำคัญที่ได้มีการพยายามส่งเสริมตามหลักการดังกล่าวนี้ได้แก่ เยื่อกระดาษ น้ำตาล ปูนซิเมนต์ น้ำมันละหุ่งและน้ำมันพืชอื่นๆ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเล เป็นต้น

๔.ดำเนินการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติต่างๆทั่วประเทศ โดยได้มีการส่งคณะสำรวจออกเดินทางไปยังเขตต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักรเพื่อให้ได้ทราบอย่างชัดแจ้งว่ามีทรัพยากรธรรมชาติและพืชผลอย่างใดบ้าง ที่จะสามารถนำใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือขยายผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจได้

จากจุดมุ่งหมายและการดำเนินงานของสภาเผยแผ่พาณิชย์ดังที่ปรากฏนี้ จะเห็นได้ว่าสภาเผยแผ่พาณิชย์มีบทบาทสำคัญที่จะชักนำให้เศรษฐกิจของชาติเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เนื่องจากการดำเนินงานของสภาฯดังกล่าว เป็นลักษณะที่จะต้องหวังผลในระยะยาว ดังนั้นในภาวะที่ประเทศต้องเผชิญกับมรสมทางเศรษฐกิจการคลังอย่างหนัก เป้าหมายระยะสั้นทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยตัดลดรายจ่ายของรัฐบาลลงอย่างมากมาย จึงถูกเน้นความสำคัญจนบดบังเป้าหมายการเจริญเติบโตในระยะยาวไปเสียสิ้น อันเป็นเหตุให้สภาเผยแผ่พาณิชย์ถูกยุบเลิกไปในต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


หมายเหตุ อ้างจากบทความโดย รองศาสตราจารย์อสัมภินพงศ์ ฉัตราคม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง