โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
โครงการชลประทาน ประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ความสำคัญต่อการชลประทานเป็นอย่างมาก เนื่องจากตระหนักดีว่าการที่ประเทศไทยในขณะนั้น สามารถได้เปรียบดุลการค้า และได้รับเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ก็ด้วยการที่มีการส่งข้าวเป็นสินค้าออกหลักของประเทศ นอกจากนั้นประชากรส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวนาอีกด้วย ดังนั้นการพัฒนาระบบชลประทานจึงมีส่วนช่วยอย่างสำคัญ ในการปรับปรุงให้ขีดความสามารถในการผลิตข้าวของชาวนาไทย ให้แข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งย่อมนำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนใหญ่ปรับปรุงดีขึ้นได้ในที่สุด เมื่อพิจารณาจากลักษณะการทำนาในเขตที่ราบภาคกลางอันเป็นแหล่งผลิตข้าวสำคัญในขณะนั้น ปรากฏว่าการต้องอาศัยน้ำจากธรรมชาติเป็นหลักทำให้ผลผลิตที่ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังจะเห็นได้จากรายงานสถิติระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งมีการจดบันทึกไว้ แสดงให้เห็นว่าในช่วงระยะเวลา 93 ปีก่อนปีพ.ศ.2467 นั้นปรากฏว่า (1) มีอยู่ 30 ปีหรือร้อยละ 32 ที่ระดับน้ำเหมาะสมที่จะทำนาได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องทำการชลประทานช่วยเหลืออย่างใด (2) มีอยู่ 27 ปีหรือร้อยละ 29.9 ที่ระดับน้ำเฉลี่ยอยู่ในช่วงที่ไม่ดีไม่ร้ายนัก และควรต้องมีการช่วยเหลือให้การทำนาดีขึ้นบ้าง (3) มีอยู่ 22 ปีหรือร้อยละ 23.7 ที่ระดับน้ำแสดงว่าจำเป็นต้องทำการชลประทานช่วย เหลือการทำนาอย่างจริงจังด้วยการเก็บกักน้ำเอาไว้ไม่ให้ไหลลงทะเลสูญเปล่า (4) มีอยู่ 9 ปีหรือร้อยละ 9.7 ที่ระดับน้ำเกินต้องการ และถ้าหากจะช่วยเหลือการทำนาก็จะต้องทำคันดินกั้นน้ำ และทำทางระบายน้ำให้ถูกต้อง (5) มีอยู่ 5 ปีหรือร้อยละ 5.4 ที่มีน้ำท่วมมาก ถ้าไม่มีการป้องกันช่วยเหลืออย่างถูกวิธีแล้ว การทำนาก็จะเสียหายหมด จากสถิติแสดงระดับน้ำดังกล่าวข้างต้น อาจประเมินได้ว่าในรอบ 100 ปีนั้น ถ้าหากมีการ จัดระบบชลประทานก็อาจช่วยให้ในเขตที่พิจารณานี้สามารถทำนาได้ผลดีถึง 85 ปี ส่วนอีก 15 ปีแม้จะมีอุทกภัยทำให้การทำนาเสียหายไปบ้าง ก็ไม่ถึงกับเสียหายทั้งหมด แต่ถ้าหากไม่มีการจัดระบบการชลประทานเลยก็จะมีปีที่ทำนาได้ผลดีเพียงประมาณ 30 ปีเท่านั้น ผลกระทบจากการทำนาไม่ได้ผล ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความจำเป็นต้องจัดการชลประทานที่ ทันสมัยขึ้นในประเทศนั้น เห็นได้จากข้อความในกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อไปนี้
นอกจากนั้น ความสำคัญของการชลประทาน ก็ยังปรากฏชัดในจุดมุ่งหมายของการลงทุนด้านการชลประทาน ในรายงานเรื่อง"บันทึกเรื่องการทดน้ำในประเทศสยาม" ว่า
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญต่อการชล ประทาน และถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เมื่อเสนาบดี กระทรวงพระคลังมีจดหมายกราบบังคมทูลฯ ในปีพ.ศ.2457 เมื่อกำลังจะเริ่มโครงการชลประทานโครงการแรก เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่า ถ้าหากจำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่งระหว่างการสร้างทางรถไฟต่อจากลำปางขึ้นไปถึงเชียงใหม่ กับการลงทุนในโครงการชลประทานแล้ว ควรเลือกทางใดก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสตอบลงมาว่า
และเมื่อฐานะการคลังประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตในช่วงปีพ.ศ.2465 เป็นต้นมาการลงทุน ด้านการชลประทานก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป แม้จะต้องใช้เงินกู้จากต่างประเทศก็ตาม
จากแนวพระบรมราโชบายอันแน่ชัด ทำให้โครงการจัดระบบชลประทานแบบทันสมัยสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย แม้ว่าจะต้องนำเอาเงินคงพระคลังมาใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง และในบางช่วงฐานะการคลังรัฐบาลจะไม่ดีนักก็ตาม นับตั้งแต่เริ่มโครงการในปี พ.ศ.2457 จนถึงปี พ.ศ.2468 อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏว่าได้มีการใช้จ่ายในส่วนของการลงทุนก่อสร้างระบบการชลประทานเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 22,466,897 บาท |