โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
|
|
นับแต่เริ่มต้นโครงการแรก คือโครงการป่าสักใต้ ก็ต้องประสบปัญหาในการจัดหาเงินมาลงทุน และจำเป็นต้องหาแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ เนื่องจากว่า
แต่การจะกู้เงินจากต่างประเทศนั้น ในชั้นแรกก็ยังติดขัดด้วยเหตุที่โลกกำลังตกอยู่ในมหาสงคราม ผลที่สุดการใช้จ่ายลงทุนในโครงการชลประทานป่าสักใต้ทั้งสิ้น จึงมาจากเงินคงพระคลัง เนื่องจากปัญหาความขาดแคลนเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2466 เป็นต้นมา การขออนุมัติเงินงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในโครงการชลประทานในตอนที่ 2 หลังจากตอนที่ 1 คือโครงการป่าสักใต้เสร็จสิ้นลงแล้ว จึงประสบกับปัญหาอย่างมาก โครงการในตอนที่ 2 อันได้แก่ สกีมสุพรรณ สกีมเชียงรากและบางเหี้ย สกีมนครนายก และสกีมป่าสักเหนือนั้น ได้รับการอนุมัติให้ทำการสำรวจตั้งแต่ปีพ.ศ.2464 และได้ใช้จ่ายเงินเริ่มต้นไปแล้วบางส่วน แต่ในปีพ.ศ.2464 การขออนุมัติเงินงบประมาณต้องผ่านกรรมการองคมนตรีตรวจงบประมาณเพื่อพิจารณาเสียก่อน เนื่องจากเงินงบประมาณมีใช้จ่ายได้จำกัด โดยที่เสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ ได้มีจดหมายกราบบังคมทูลฯ ไปด้วยว่า
เมื่อกรรมการองคมนตรีตรวจงบประมาณได้พิจารณาแล้ว ก็ได้มีความเห็นว่าโครงการชลประทานเหล่านี้ เป็นการดำเนินการอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สำคัญแก่ประเทศชาติ ไม่อาจที่จะยกเลิกเสียได้ แต่เนื่องจากความขาดแคลนเงินงบประมาณรายจ่าย จึงจะต้องชะลอโครงการให้ใช้เวลายาวนานขึ้น เพื่อที่จะลดจำนวนเงินจ่ายรายปีให้น้อยลง ไม่เกินกำลังที่รัฐบาลจะจ่ายได้ ซึ่งข้อเสนอที่สำคัญของกรรมการองคมนตรีฯ ดังกล่าวก็คือ
จากผลการพิจารณาของกรรมการองคมนตรีตรวจงบประมาณ ทำให้โครงการที่ได้รับ อนุมัติให้ดำเนินต่อไปได้มีเพียงโครงการเชียงรากและบางเหี้ย กับบางส่วนของโครงการสุพรรณบุรีเท่านั้น แต่สำหรับโครงการอื่นนั้น กรรมการองคมนตรีฯ มีความเห็นว่า
ความจำเป็นต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายเช่นนี้ ทำให้การพัฒนาระบบชลประทานเป็นไปได้ช้าลงมาก โครงการที่ได้ลงมือดำเนินการไปบางโครงการก็ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะให้ประโยชน์ได้เต็มที่ เช่นโครงการสุพรรณบุรีที่ได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น และบางโครงการก็ถูกชะลอไว้จนต้องยุบเลิกไปในที่สุด
เนื่องจากโครงการชลประทานแต่ละโครงการนั้น ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงสม ควรที่ราษฎรผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการโดยตรง และมีความได้เปรียบเหนือกว่าราษฎรที่อยู่นอกเขตชลประทาน จะจ่ายเงินตอบแทนเพื่อแบ่งเบาภาระการใช้จ่ายของรัฐบาลลงบ้าง ในเรื่องการจัดเก็บรายได้นี้ หนทางที่รัฐบาลพอจะทำได้ก็คือการขึ้น"ค่านา" อันได้แก่ภาษีที่จัดเก็บจากผลได้แห่งการทำนา จากชาวนาในบริเวณเขตชลประทาน ซึ่งความจริงแล้วชาวนาก็เข้าใจและดูเหมือนจะคาดอยู่แล้ว ว่ารัฐบาลจะต้องเรียกเก็บผลตอบแทนจากการชลประทานด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง นอกจากนั้นระบบการเก็บค่านาก็มีการแบ่งเป็นหลายอัตรา มากน้อยตามสภาพท้องที่ว่าเป็น"นาดี"หรือ "นาเลว"อยู่แล้ว การจัดเก็บผลตอบแทนจากการชลประทานจึงทำได้สะดวก ด้วยการจัดแบ่งประเภทนา ที่ได้รับประโยชน์มากน้อยต่างกัน และจัดเก็บในลักษณะของ"ค่านา"โดยไม่ต้องไปแยกเก็บต่างหากแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การจะจัดเก็บผลตอบแทนจากการชลประทานนี้ ก็ยังมีข้อขัดข้องที่สำคัญคือการที่ไม่รู้ว่าประโยชน์ที่ชาวนาได้รับนั้น เป็นผลเนื่องมาจากโครงการชลประทานในสัดส่วนเท่าใด เพื่อที่จะได้จัดเก็บได้อย่างยุติธรรม ไม่มากหรือน้อยเกินไป นอกจากนั้นก็ยังมีปัญหาการที่ชาวนาจำนวนมาก ยังไม่ยอมรับและเลื่อมใสในประโยชน์ของการชลประทาน ทำให้เมื่อจะเข้าไปจัดเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้น ก็จะรู้สึกเดือดร้อนและไม่ยินยอม ซึ่งในเรื่องนี้ มิสเตอร์ยี นายช่างผู้อำนวยการเรื่องทดน้ำ ได้ให้ความเห็นว่า
|