โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


โครงการชลประทาน


  • อุปสรรคและปัญหาในการดำเนินโครงการ
  • ปัญหาด้านเงินลงทุน

นับแต่เริ่มต้นโครงการแรก คือโครงการป่าสักใต้ ก็ต้องประสบปัญหาในการจัดหาเงินมาลงทุน และจำเป็นต้องหาแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ เนื่องจากว่า

"..........ถ้าจะชักเอาเงินรายได้ประจำปีมาตั้งจ่าย เงินรายได้ที่งอกเงยขึ้นทุก ๆ ปีก็ไม่มีมาจ่ายเพียงพอได้ เงินคงพระคลังที่ได้สะสมไว้ตามที่ได้คำนวณว่ามีอยู่ในวันที่ 1 เดือนเมษายน 2457 มีอยู่เป็นจำนวน 23,236,248 บาท จำนวนเงินคงพระคลังก็ไล่เลี่ยกับที่จะต้องจ่ายเสียแล้ว เป็นอันจะจ่ายจากเงินคงพระคลังไม่ได้"

แต่การจะกู้เงินจากต่างประเทศนั้น ในชั้นแรกก็ยังติดขัดด้วยเหตุที่โลกกำลังตกอยู่ในมหาสงคราม ผลที่สุดการใช้จ่ายลงทุนในโครงการชลประทานป่าสักใต้ทั้งสิ้น จึงมาจากเงินคงพระคลัง

เนื่องจากปัญหาความขาดแคลนเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2466 เป็นต้นมา การขออนุมัติเงินงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในโครงการชลประทานในตอนที่ 2 หลังจากตอนที่ 1 คือโครงการป่าสักใต้เสร็จสิ้นลงแล้ว จึงประสบกับปัญหาอย่างมาก

โครงการในตอนที่ 2 อันได้แก่ สกีมสุพรรณ สกีมเชียงรากและบางเหี้ย สกีมนครนายก และสกีมป่าสักเหนือนั้น ได้รับการอนุมัติให้ทำการสำรวจตั้งแต่ปีพ.ศ.2464 และได้ใช้จ่ายเงินเริ่มต้นไปแล้วบางส่วน แต่ในปีพ.ศ.2464 การขออนุมัติเงินงบประมาณต้องผ่านกรรมการองคมนตรีตรวจงบประมาณเพื่อพิจารณาเสียก่อน เนื่องจากเงินงบประมาณมีใช้จ่ายได้จำกัด โดยที่เสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ ได้มีจดหมายกราบบังคมทูลฯ ไปด้วยว่า

"...การทดน้ำตามสกีมเหล่านั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดทำมาแต่พ.ศ. 2464 ได้จ่ายเงินไปถึง 1,439,494 บาทกับ 95 สตางค์ นอกจากนั้น กรมทดน้ำได้ตั้งเบิกเงิน แต่ยังมิได้จ่ายมีจำนวนอีก 731,333 บาท กับ 28 สตางค์ การได้ดำเนินมาถึงเพียงนั้นแล้ว จะเหมือนเสียเปล่าไม่เป็น ประโยชน์"

เมื่อกรรมการองคมนตรีตรวจงบประมาณได้พิจารณาแล้ว ก็ได้มีความเห็นว่าโครงการชลประทานเหล่านี้ เป็นการดำเนินการอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สำคัญแก่ประเทศชาติ ไม่อาจที่จะยกเลิกเสียได้ แต่เนื่องจากความขาดแคลนเงินงบประมาณรายจ่าย จึงจะต้องชะลอโครงการให้ใช้เวลายาวนานขึ้น เพื่อที่จะลดจำนวนเงินจ่ายรายปีให้น้อยลง ไม่เกินกำลังที่รัฐบาลจะจ่ายได้ ซึ่งข้อเสนอที่สำคัญของกรรมการองคมนตรีฯ ดังกล่าวก็คือ

"...การที่จะประหยัดเงินจ่ายในการทดน้ำ เห็นว่าสกีมต่าง ๆ ซึ่งกะจะทำ เป็นตอนที่ 2 ไม่จำเป็นต้องเลิกหรือรื้อถอนอย่างใด เพียงแต่ขยายเวลาที่จะทำการให้สำเร็จนั้น ให้เป็นระยะยาวกว่า 8 ปีออกไป ก็จะผ่อนผันการที่ทำลดเงินที่จ่ายประจำปีให้เป็นจำนวนน้อยลงได้..."

จากผลการพิจารณาของกรรมการองคมนตรีตรวจงบประมาณ ทำให้โครงการที่ได้รับ อนุมัติให้ดำเนินต่อไปได้มีเพียงโครงการเชียงรากและบางเหี้ย กับบางส่วนของโครงการสุพรรณบุรีเท่านั้น แต่สำหรับโครงการอื่นนั้น กรรมการองคมนตรีฯ มีความเห็นว่า

"...สกีมอื่นนอกจากนี้ควรรอไว้ก่อน เมื่อรัฐบาลมีเงินพอจะจ่ายเพิ่มเติมได้ หรือเมื่อสกีมทั้ง 3 ซึ่งกล่าวก่อน ได้ทำสำเร็จแล้ว จึงค่อยขยายการทำต่อไป"

ความจำเป็นต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายเช่นนี้ ทำให้การพัฒนาระบบชลประทานเป็นไปได้ช้าลงมาก โครงการที่ได้ลงมือดำเนินการไปบางโครงการก็ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะให้ประโยชน์ได้เต็มที่ เช่นโครงการสุพรรณบุรีที่ได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น และบางโครงการก็ถูกชะลอไว้จนต้องยุบเลิกไปในที่สุด

  • ความขัดข้องในการจัดเก็บรายได้

เนื่องจากโครงการชลประทานแต่ละโครงการนั้น ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก จึงสม ควรที่ราษฎรผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการโดยตรง และมีความได้เปรียบเหนือกว่าราษฎรที่อยู่นอกเขตชลประทาน จะจ่ายเงินตอบแทนเพื่อแบ่งเบาภาระการใช้จ่ายของรัฐบาลลงบ้าง

ในเรื่องการจัดเก็บรายได้นี้ หนทางที่รัฐบาลพอจะทำได้ก็คือการขึ้น"ค่านา" อันได้แก่ภาษีที่จัดเก็บจากผลได้แห่งการทำนา จากชาวนาในบริเวณเขตชลประทาน ซึ่งความจริงแล้วชาวนาก็เข้าใจและดูเหมือนจะคาดอยู่แล้ว ว่ารัฐบาลจะต้องเรียกเก็บผลตอบแทนจากการชลประทานด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง นอกจากนั้นระบบการเก็บค่านาก็มีการแบ่งเป็นหลายอัตรา มากน้อยตามสภาพท้องที่ว่าเป็น"นาดี"หรือ "นาเลว"อยู่แล้ว การจัดเก็บผลตอบแทนจากการชลประทานจึงทำได้สะดวก ด้วยการจัดแบ่งประเภทนา ที่ได้รับประโยชน์มากน้อยต่างกัน และจัดเก็บในลักษณะของ"ค่านา"โดยไม่ต้องไปแยกเก็บต่างหากแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม การจะจัดเก็บผลตอบแทนจากการชลประทานนี้ ก็ยังมีข้อขัดข้องที่สำคัญคือการที่ไม่รู้ว่าประโยชน์ที่ชาวนาได้รับนั้น เป็นผลเนื่องมาจากโครงการชลประทานในสัดส่วนเท่าใด เพื่อที่จะได้จัดเก็บได้อย่างยุติธรรม ไม่มากหรือน้อยเกินไป นอกจากนั้นก็ยังมีปัญหาการที่ชาวนาจำนวนมาก ยังไม่ยอมรับและเลื่อมใสในประโยชน์ของการชลประทาน ทำให้เมื่อจะเข้าไปจัดเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้น ก็จะรู้สึกเดือดร้อนและไม่ยินยอม ซึ่งในเรื่องนี้ มิสเตอร์ยี นายช่างผู้อำนวยการเรื่องทดน้ำ ได้ให้ความเห็นว่า

"...ในเรื่องการทดน้ำ มณฑลภาคพายัพกับมณฑลชั้นในผิดกันเป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่ง คือราษฎรในมณฑลภาคพายัพเคยทำนาแต่โดยอาศัยการทดน้ำมาแต่โบราณ ถ้ารัฐบาลจะไปทำการทดน้ำให้อย่างหนึ่งอย่างใด ราษฎรก็แลเห็นประโยชน์โดยทันที แต่ราษฎรในมณฑลชั้นในเช่น มณฑลอยุธยาและมณฑลกรุงเทพฯ เคยทำนาแต่ด้วยน้ำฝนและน้ำท่ามาแต่โบราณ ยากที่จะให้แลเห็นประโยชน์และเลื่อมใสในการทดน้ำโดยเร็ว อาศัยความจริงข้อนี้จึงเห็นว่า ถ้าจะไม่ให้ราษฎรรู้สึกเดือดร้อนในการขึ้นค่านา เมื่อทดน้ำไปถึงที่ใด ควรผ่อนเวลาให้ราษฎรใช้น้ำที่ทดให้เปล่า ๆ สักปีหนึ่งหรือสองปีให้เห็นประจักษ์ว่าที่ตนได้ผลประโยชน์มากขึ้นเพราะว่าใช้น้ำทดก่อน จึงค่อยขึ้นค่านา"

    หน้า 5   

    หน้า 7