โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


พัฒนาการแห่งโรงเรียนกฎหมาย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


การศึกษากฎหมายในสมัยโรงเรียนกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของสภานิติศึกษา

ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2457 จนถึง พศ.2466 ได้มีความพยายามที่จะปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและวิธีการสอนวิชากฎหมายของโรงเรียนกฎหมายในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้รองรับการที่จะประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ซึ่งมีหลักกฎหมายและนิติวิธี (Legal Method) ตามแบบระบบกฎหมายที่ใช้ในภาคพื้นยุโรป แต่ก็ยังไม่สามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงได้อย่างจริงจัง เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยังไม่อาจประกาศใช้ได้ แม้เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และบรรพ 2 ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2466 อันมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในวันที่ 1 มกราคม 2467 แต่ทั้งสองบรรพดังกล่าวก็ยังไม่สามารถใช้บังคับได้จริงตามกำหนด เพราะคณะกรรมการพิเศษตรวจชำระร่างประมวลกฎหมายและกรมร่างกฎหมาย ยังเห็นว่ามีข้อบกพร่องที่สมควรแก้ไขอีกมาก เช่น บางมาตราต้องแก้ไขถ้อยคำในตัวบทกฎหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ต้องเพิ่มเติมถ้อยคำบางมาตราให้รัดกุมกว่าเดิม ต้องจัดหมวดหมู่มาตราต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นระเบียบ เป็นต้น ดังจะเห็นได้จากรายงานของคณะกรรมการพิเศษตรวจชำระร่างประมวลกฎหมายตอนหนึ่ง ซึ่งมีความว่า

"...ถ้าได้ตรวจชำระแก้ไขเสียแต่เวลาเมื่อยังมิได้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดีกว่าจะแก้ไขเมื่อใช้กฎหมายบังคับอรรถคดีแล้ว..."

คณะกรรมการพิเศษตรวจชำระร่างประมวลกฎหมาย จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เลื่อนการมีผลใช้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และ บรรพ 2 ออกไปอีก 1 ปี กล่าวคือจะมีผลบังคับใช้ได้ในวันที่ 1 มกราคม 2468

ดังนั้นเพื่อให้การศึกษาวิชากฎหมายในประเทศไทยสอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะมีผลบังคับใช้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงประกาศให้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาของโรงเรียนกฎหมายเสียใหม่ จากแต่เดิมที่เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง "สภานิติศึกษา" ขึ้นเพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบและวางหลักสูตรของโรงเรียนกฎหมายในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้เข้ารูปเข้ารอยกับระบบกฎหมายของประเทศ และให้อยู่ในระดับมาตรฐานเดียวกับโรงเรียนกฎหมายของต่างประเทศ ดังปรากฏในประกาศตั้งสภานิติศึกษาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2467 ดังนี้

"...ทรงพระราชดำริว่า การศึกษากฎหมายที่สืบเนื่องต่อมาเป็นลำดับนั้น ชั้นเดิมด้วยความอนุเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญในวิชานี้ ช่วยเหลือสั่งสอนอนุกุลบุตรผู้ใคร่ต่อการศึกษาให้ได้รับความรู้ต่อ ๆ กันมา ครั้นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสด็จเข้าทรงรับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม จึงทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2440 กับวางระเบียบการสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตขึ้น การศึกษากฎหมายก็เจริญเป็นลำดับมา โดยมีพระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมโรงเรียนกฎหมายให้มีฐานะดียิ่งขึ้น จึงได้มีประกาศลงวันที่ 7 มิถุนายน พุทธศักราช 2454 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นโรงเรียนหลวงอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และให้เสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบและจัดการในโรงเรียนกฎหมายต่อมา อนึ่ง ทรงพระราชดำริเห็นว่าการชำระสะสางรวบรวมพระราชกำหนดกฎหมายเก่าใหม่ขึ้นเป็นประมวลอันทำอยู่ในบัดนี้นั้น ได้ดำเนินไปมากแล้วและได้สำเร็จรูปขึ้นส่วนหนึ่ง คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 และส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศใช้เพิ่มเติมในภายหลัง ประมวลกฎหมายนี้ทั้งที่เป็นของใหม่ที่เริ่มทำขึ้นโดยอาศัยหลักปรัตยุบันนิติศาสตร์ ยากที่จะศึกษาเทียบเคียงเพื่อหยั่งรู้ความประสงค์ได้ตลอด บัดนี้พระราชประสงค์จะให้การศึกษาวิชาแผนกที่กล่าวมาแล้วนั้นเจริญขึ้นไป เฉพาะอย่างยิ่งในเชิงวิชาประมวลกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งสภาขึ้น เรียกว่า สภานิติศึกษา มีหน้าที่จัดระเบียบกับวางหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนกฎหมายในกระทรวงยุติธรรม ทั้งกิจการอื่นอันเกี่ยวแก่โรงเรียนนี้ด้วย...ในสภานี้ให้นายกเป็นผู้ควบคุมแลรับผิดชอบให้ราชการแผนกนี้สำเร็จเรียบร้อยสืบไป "

เมื่อแรกตั้งสภานิติศึกษานั้น เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เป็นนายกและมีคณะกรรมการได้แก่    หม่อมเจ้าเขจรจรัสฤทธิ์    พระยาจินดาภิรมย์    พระยาเทพวิฑูรพหุลศรุตาบดี    พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) และนายแอล ดูปลาตร์ (L. Duplatre) โดยมีพระยามานวราชเสวีเป็นผู้อำนวยการแผนกปกครอง และนายแอล ดูปลาตร์ นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส ซึ่งทำหน้าที่ที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้อำนวยการแผนกวิชา ต่อมาได้กำหนดให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเป็นนายกสภานิติศึกษาโดยตำแหน่ง และอธิบดีศาลฎีกาดำรงตำแหน่งอุปนายก

เมื่อปลายปี พ.ศ.2467 ที่ประชุมคณะกรรมการสภานิติศึกษาได้ปรับปรุงเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นนักเรียนกฎหมายและหลักสูตรของโรงเรียนกฎหมายเป็นครั้งแรกสำหรับใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2468 เป็นต้นไป ด้วยการออกระเบียบการโรงเรียนกฎหมายฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2467 เพื่อแก้ไขคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็นนักเรียนกฎหมายว่า ต่อไปจะรับเฉพาะผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 หรือผู้ที่สอบไล่ได้ประกาศนียบัตรอื่นซึ่งเทียบเท่าไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 6 เท่านั้น ส่วนผู้ที่รับราชการในกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ โดยมีตำแหน่งตั้งแต่ชั้นนายเวรขึ้นไป หรือผู้ที่รับราชการในกระทรวงยุติธรรมโดยมีตำแหน่งชั้นเสมียนเอกขึ้นไปเป็นอันยกเลิก ส่วนหลักสูตรการศึกษาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยขยายเป็น 3 ปีการศึกษา แบ่งเป็น 3 ภาค ๆ ละ 1 ปี กล่าวคือนักเรียนคนใดสอบไล่ภาค 1 และภาค 2 ได้ซึ่งต้องมีการสอบปากเปล่าในภาคที่ 2 ด้วย ก็เท่ากับสอบไล่ได้ชั้นเนติบัณฑิต แต่ถ้าสอบไล่ได้ 3 ภาคบริบูรณ์ ก็จะเท่ากับสอบไล่ได้ชั้นนิติศาสตร์บัณฑิต

วิชาที่กำหนดให้เรียนและสอบในภาคแรกได้แก่ วิชาธรรมศาสตร์ พงศาวดารกฎหมาย กฎหมายลักษณะอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 1 และบรรพ 2 กฎหมายลักษณะผัวเมีย มรดก และทรัพย์ ส่วนวิชาที่กำหนดให้เรียนและสอบในภาคที่ 2 ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 กฎหมายลักษณะล้มละลาย กฎหมายลักษณะพยาน กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล และวิชาที่กำหนดให้เรียนและสอบในภาคที่ 3 ได้แก่ กฎหมายพิเศษ (แล้วแต่จะกำหนดเป็นครั้งคราว) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เศรษฐวิทยา กฎหมายว่าด้วยการปกครองและอื่น ๆ และกฎหมายว่าด้วยการเงิน

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2469 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สภานิติศึกษาได้ออกระเบียบการโรงเรียนกฎหมายฉบับลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2469 เพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็นนักเรียนกฎหมายให้มีคุณวุฒิสูงขึ้น โดยจะรับเฉพาะผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 8 หรือผู้ที่สอบไล่ได้ประกาศนียบัตรอื่นซึ่งเทียบเท่าไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 8 อันจะเป็นการยกฐานะโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นโรงเรียนระดับอุดมศึกษา ส่วนหลักสูตรการศึกษาคงเดิม หลังจากนั้นเมื่อ พ.ศ.2473 สภานิติศึกษาได้ออกระเบียบการโรงเรียนกฎหมายฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2473 สำหรับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2474 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายของสภานิติศึกษา หรือของโรงเรียนกฎหมายในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่ กล่าวคือ หลักสูตรเนติบัณฑิตเปลี่ยนจาก 2 ปีการศึกษา มาเป็น 3 ปีการศึกษา โดยแบ่งเป็น 3 ภาค ๆ ละ 1 ปี ซึ่งเหมือนกับหลักสูตรเนติบัณฑิตของต่างประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เป็นต้น โดยมีการเปลี่ยนแปลงวิชาที่เรียนและสอบจากที่เดิมเคยเป็นวิชากฎหมายภาษาอังกฤษ มาเป็นการศึกษาวิชากฎหมายไทย เพื่อให้นักเรียนกฎหมายได้เรียนรู้และเข้าใจกฎหมายไทยที่ได้ปฏิรูปแล้ว รวมทั้งสามารถนำไปใช้ปฏิบัติในการทำงานได้

นอกจากนั้น ยังได้บังคับให้นักเรียนกฎหมายเลือกเรียนวิชากฎหมายอังกฤษหรือกฎหมายฝรั่งเศสวิชาใดวิชาหนึ่งด้วย อันจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายไทยกับกฎหมายของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาสาระอยู่ในกฎหมายไทยเป็นอันมาก โดยเฉพาะโครงสร้างระบบกฎหมายไทยอยู่ในระบบกฎหมาย    Civil Law เช่นเดียวกับกฎหมายฝรั่งเศส จึงกำหนดให้นักเรียนแจ้งการเลือกเรียนต่อผู้อำนวยการแผนกปกครองก่อนการเปิดสอนในตอนต้นปี การเลือกเรียนวิชากฎหมายใดถือเป็นเด็ดขาด เมื่อเลือกแล้วต้องเรียนวิชากฎหมายอังกฤษหรือกฎหมายฝรั่งเศสตลอดไปทั้ง 3 ภาค แต่ถ้านักเรียนคนใดสำเร็จปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต หรือเป็นเนติบัณฑิตจากต่างประเทศซึ่งสภานิติศึกษาพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความรู้ไม่ต่ำกว่าชั้นเนติบัณฑิตไทย นักเรียนคนนั้นไม่ต้องสอบวิชากฎหมายอังกฤษหรือกฎหมายฝรั่งเศส

    <- ย้อนกลับ   

    หน้าถัดไป ->