โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



 

สารบัญ


พระบรมราโชบายในการประหยัดเงินแผ่นดิน
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว* (ต่อ)


งบประมาณในส่วนของพระคลังข้างที่ (พ.ศ.2453-2468)

หน่วย: ล้านบาท

พ.ศ. งบประมาณที่จัดสรรแก่พระคลังข้างที่ ร้อยละ 15 ของงบประมาณรายรับ* งบประมาณรายรับแผ่นดิน
2453 8.50  9.53 63.51
2454 7.00  9.22 61.49
2455 7.40 10.03 66.88
2456 7.75 11.16 74.40
2457 7.75 11.09 73.90
2458 7.75 11.60 77.30
2459 8.00 12.44 82.91
2460 8.00 12.97 86.49
2461 8.00 14.01 93.41
2462 8.00 14.41 96.07
2463 8.00 12.92 86.11
2464 9.00 12.84 85.60
2465 9.00 12.89 84.58
2466 9.00 13.26 88.42
2467 9.00 13.79 91.96
2468 9.00 13.90 92.71

* เป็นงบประมาณสำหรับพระคลังข้างที่ถ้าเป็นไปตามพ.ร.บ.พระคลังข้างที่
ที่มา: คำนวณจาก Statistical Year Book of the Kingdom of Siam, B.E.2468

แม้ว่าเงินพระคลังข้างที่ซึ่งทรงประหยัดตัดทอนลงนี้จะเป็นสำหรับใช้สอยส่วนพระองค์แต่ก็ปรากฏว่าได้ทรงพระราชทานให้ยืมและใช้จ่ายแทนงบประมาณแผ่นดินปกติอีกไม่น้อยเช่น ในปี พ.ศ. 2454 นั้นได้มีการให้เป็นเงินยืมแก่กรมโยธาธิการไปก่อนถึง 53,600 บาท เพื่อสร้างถนน 3 สาย และอุดหนุนสุขาภิบาลเมืองเพชรบุรี นอกจากนั้นก็ยังพระราชทานให้เป็นงบจ่ายเงินเดือนและค่าใช้สอยสำหรับโรงเรียนรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเป็นตัวอย่างเมืองละโรงเรียน ตลอดจนการพิมพ์หนังสือเรียนแจกอีกด้วย

จากการที่งบประมาณแผ่นดินค่อนข้างจำกัด จนงบประมาณรายจ่ายขยายตัวได้ยาก ในบางครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ใช้เงินพระคลังข้างที่ซึ่งคล่องตัวกว่า

ในการใช้จ่ายเพื่อเป้าหมายบางประการ ที่ถ้าหากใช้งบประมาณแผ่นดินตามปกติอาจจะไม่มีโอกาสได้ดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายเพื่อทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ นอกจากนั้นก็ยังทรงใช้เงินพระคลังข้างที่เพื่อช่วยให้กิจการลงทุนของคนไทยเกิดขึ้นและขยายตัวได้อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งแม้ไม่ใช่การลงทุนโดยพระคลังข้างที่เข้าไปซื้อหุ้นของกิจการโดยตรง ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางที่ทรงวางพระราชหฤทัยกู้ยืมไปเพื่อลงทุนในกิจการที่มีความสำคัญเหล่านั้นแทนด้วย

การใช้จ่ายในลักษณะนี้ทำให้เมื่อดูจากเฉพาะจำนวนเงินใช้จ่ายก็เห็นว่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่ก็ควรวิเคราะห์ดูด้วยว่าการใช้จ่ายลักษณะนี้ไม่ใช่เป็นการสิ้นเปลืองเปล่า ยังมีหลักทรัพย์อันได้แก่ใบหุ้นและผลประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะผลประโยชน์ในด้านการริเริ่มกิจการที่เป็นของคนไทยเอง ซึ่งแบงก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์) และบริษัทปูนซิเมนต์ไทยยั่งยืนเป็นธุรกิจใหญ่ที่คนไทยเป็นเจ้าของได้ถึงในปัจจุบันได้นั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนโยบายการใช้จ่ายเงินส่วนพระคลังข้างที่ดังกล่าวข้างต้นนี้เอง

นอกจากในเงินส่วนพระคลังข้างที่แล้ว ด้านการใช้จ่ายจากงบประมาณปกตินั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีพระบรมราโชบายที่จะให้มีการใช้จ่ายอย่างประหยัดมาตั้งแต่เริ่มครองราชย์ ดังจะเห็นได้จากข้อความรายงานประชุมเสนาบดีสภาในวันที่ 15 มีนาคม ร.ศ.130 ต่อไปนี้

“...ตามกระแสพระราชดำรินั้นว่าราชการกระทรวงพระคลังเวลานี้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการประหยัดทรัพย์....ในชั้นต้นนี้จะต้องตรวจทางรายจ่ายก่อนว่าจะสมควรเพียงไร เอาแต่ที่ชอบด้วยประโยชน์ของราชการ”

การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินจะเน้นไปในด้านการพัฒนาเป็นหลัก และพยายามจำกัดรายจ่ายด้านการทหารไม่ให้เกิน 1 ใน 4 ของงบประมาณแม้ว่าในขณะนั้นความจำเป็นต้องใช้จ่ายในการป้องกันประเทศจะมีมากก็ตาม นอกจากนี้การพยายามที่จะควบคุมให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินเป็นไปอย่างประหยัดนั้นก็มีปรากฏอยู่เสมอ ๆ เช่น ในพระราชกระแสพระราชทานพระบรมราชานุญาตเกี่ยวกับการใช้จ่ายในการเสด็จประพาสหัวเมืองเมื่อ 9 เมษายน 2464 ความว่า

“อนุญาต แต่ขอให้ช่วยกันดูแลตรวจตราในการใช้จ่าย อย่าให้ต้องใช้ไปในสิ่งซึ่งไม่จำเป็นโดยแท้ เช่นเรือสำหรับบรรทุกน้ำจืด ถ้ารถไฟใช้ได้อยู่แล้ว ก็ไม่ควรจ้างเรือนั้นเตรียมไว้เปล่า ๆ เป็นต้น ถึงอย่างอื่นก็เหมือนกัน ขอให้คอยระวังดูแลอย่าใช้ให้เปลืองโดยไม่จำเป็นเช่นที่ได้เคยเป็นมาแล้วในครั้งก่อน ๆ”

แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชอำนาจเต็มที่ ตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่จะทรงใช้เงินแผ่นดินได้ตามพระราชประสงค์ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงหักหาญที่จะใช้จ่ายเมื่อมีการทักท้วง เช่น ในการที่จะเสด็จพระราชดำเนินประพาสเพื่อดูความก้าวหน้าของสิงคโปร์ เมื่อปรากฏว่ากระทรวงพระคลังแจ้งว่าไม่สามารถจัดงบประมาณให้ได้ ก็ทรงยอมตาม แม้ว่าในปีนั้นจะมีเสนาบดีเดินทางไปยุโรปและดูงานรอบโลกได้ก็ตาม ดังพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีคลัง เมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2467 มีความตอนหนึ่งว่า

“...ที่ให้เจ้าพระยา ธรรมาธิกรณาธิบดี ไปสอบถามก็เพื่อจะได้ทราบว่าจะมีเงินให้ได้หรือไม่เท่านั้น เมื่อไม่มีก็จะได้ตัดรอนผ่อนผันการไป ไม่ใช่จะกะเกณฑ์ให้จัดหาเงินให้จงได้ฉะนั้นเลย”

ในช่วงปี พ.ศ.2467-2468 ซึ่งปัญหาการขาดดุลงบประมาณค่อนข้างรุนแรงนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัดทอนรายจ่ายส่วนพระองค์ลงหลายครั้งเช่น ให้ตัดเงินประเภทรับแขกเมืองซึ่งกระทรวงพระคลังจ่ายไปยังกรมพระคลังข้างที่ปีละ 150,000 บาทเสีย เพราะนาน ๆ จึงจะมีแขกเมืองมาสักครั้ง นอกจากนั้นยังทรงพระราชทานกระแสพระราชดำริให้ขายเรือพระที่นั่งมหาจักรีด้วยเหตุผลว่า เป็นเพียงเครื่องประดับพระเกียรติยศ และไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าใดนัก

พระราชปณิธานที่จะประหยัดเงินแผ่นดินนี้ คงไม่มีสิ่งใดจะแสดงให้เห็นได้ดีไปกว่าข้อความ ในพระราชพินัยกรรม ข้อ4 และข้อ 6 ที่ว่า

“งานพระเมรุจะให้กำหนดภายหลังสวรรคตเร็วที่สุดที่จะทำได้ ถ้าจะทำได้ภายในฤดูแล้งแห่งปีสวรรคตก็ยิ่งดี เพราะการไว้พระบรมศพนานๆเป็นการเปลืองเปล่า...... ส่วนงานพระเมรุขอให้รวบรัดตัดกำหนดการลงให้น้อย คือตัวพระเมรุให้ปลูกตรงถาวรวัตถุ ใช้ถาวรวัตถุนั้นเองเป็นพลับพลาทรงธรรม...”

ข้อความข้างต้นนี้ทรงกำหนดไว้ในปี พ.ศ. 2463 ก่อนสวรรคตถึง 5 ปี เป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดว่า ทรงมีพระราชปณิธานที่จะใช้จ่ายอย่างประหยัด แม้แต่เมื่อเสด็จสวรรคตไปแล้วก็ตาม

    หน้า 1   


* อ้างจากบทความโดย รองศาสตราจารย์อสัมภินพงศ์ ฉัตราคม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง