การตั้งคลังออมสินและสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน
-
พระราชดำริในการตั้งธนาคารแห่งชาติและการกอบกู้ธนาคารไทยให้พ้นวิกฤติ
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าความก้าวหน้าและมั่นคงของกิจการธนาคารในประเทศ
จะเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทั้งด้านการลงทุน การค้าและด้านอื่น ๆ
ที่สำคัญทางเศรษฐกิจต่อไป
และทรงมีพระราชประสงค์จะส่งเสริมกิจการธนาคารที่เป็นของคนไทยขึ้นด้วย
ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหากับแบงก์สยามกัมมาจล
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นธนาคารของคนไทยแห่งเดียวในยุคนั้น
จึงทรงพระราชทรัพย์เข้าพยุงฐานะของธนาคารแห่งนั้นไว้
เพราะมิฉะนั้นแบงก์สยามกัมมาจลก็อาจจะต้องล้มละลายไป
อันจะยิ่งทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในระบบธนาคารมากยิ่งขึ้น
การที่ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ
และมุ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่ชนชาติของตนเป็นสำคัญ
ทำให้คนไทยต้องเสียเปรียบในการทำธุรกรรมกับธนาคารเหล่านี้เรื่อยมา
เช่นต้องเสียดอกเบี้ยสูงกว่า และต้องเสียค่านายหน้าในการกู้เงิน
เป็นต้น ดังปรากฏในรายงานเสนาบดีสภาว่า
อีกเรื่องหนึ่งเรื่องแบงก์ที่ทำกันอยู่เวลานี้ ถ้าขายดราฟท์ให้แก่คนไทยแล้ว
เรียกดอกเบี้ยแรงกว่าที่ขายให้ฝรั่ง แม้แต่แบงก์ไทยเองคือแบงก์สยามกัมมาจลก็ทำเช่นนี้
แลถ้าฝรั่งจะกู้เงินไม่ต้องเสียนายหน้าถ้าไทยต้องเสีย
ดังนี้เป็นการเสียเปรียบกันมาก พ่อค้าไทยทุนก็น้อยอยู่แล้ว
ยังซ้ำถูกบีบคั้นต่าง ๆ อีกเช่นนี้
การที่แบงก์สยามกัมมาจลก็ดำเนินนโยบายการกู้เงินเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ต่างชาตินั้น
เป็นเพราะผู้ถือหุ้นชาวไทยไม่ค่อยมีบทบาท แม้จะมีหุ้นมากกว่าก็ตาม
ทั้งนี้เนื่องจากการฉ้อโกงของผู้บริหารชาวไทย
ทำให้การบริหารเป็นไปตามนโยบายของผู้ถือหุ้นต่างชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชประสงค์จะให้คนไทยมีบทบาทในการบริหารกิจการธนาคารมากยิ่งขึ้น
ดังพระราชดำรัสในการประชุมเสนาบดีสภา วันที่ 12 ธันวาคมพ.ศ.2453
ความว่า
เรื่องแบงก์ได้ลองคิดแก้ไขอยู่บ้างแล้วตามการที่เป็นมา
เมื่อพระสรรพการออกจากผู้จัดการแบงก์สยามกัมมาจลแล้ว
คงมีแต่มิสเตอร์สวาชเป็นผู้จัดการผู้เดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็เดินปอลิซีที่จะให้เป็นของฝรั่งไปอย่างเดียว
ควรจะมีผู้จัดการฝ่ายไดไทยด้วยพอจะได้กำกับกัน
แลอย่างต่ำก็พอรู้ว่าเขาจะทำอย่างไร
ปัญหาการทุจริตของแบงก์สยามกัมมาจลที่สำคัญเกิดขึ้น
2 ครั้ง ครั้งแรกนั้นเป็นเพราะพระสรรพการหิรัญกิจ(เชย)
ผู้อำนวยการฝ่ายไทยถอนเงินไปจนเกิดความเสียหายขึ้นในปี ร.ศ.129
(พ.ศ.2453)
ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติเข้ากำกับดูแลนโยบายของธนาคารเสียเองเป็นส่วนใหญ่
ดังข้อความในรายงานเสนาบดีสภาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ร.ศ.129 ว่า
.กรมหลวงดำรงรับสั่งว่า
บริษัทนี้ตามพระบรมราชานุญาตมีกำหนดเงินทุนไว้ว่า
ฝรั่งจะเข้าหุ้นส่วนเกินกว่าส่วนหนึ่งในสามไม่ได้
แต่ที่จริงทุนฝรั่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ส่วนหนึ่งในห้าเท่านั้น
แลในข้อบังคับของแบงก์มีอยู่ว่าต้องมีผู้อำนวยการไทย 1 ฝรั่ง 1
และถ้าผู้อำนวยการจะถอนเงินมีกำหนดตั้งแต่เท่านั้นเท่านี้ขึ้นไปต้องบอกกรรมการ
แต่ก่อนก็มีผู้อำนวยการไทย 1 ฝรั่ง 1
แต่ต่างคนต่างทำการไปไม่รู้ถึงการ
พระสรรพการจึงถอนเงินโดยไม่บอกกรรมการได้
จนต้องออกจากผู้อำนวยการ
การที่ต่างคนต่างทำไม่มีใครกำกับใครเช่นนี้จึงเกิดการเสียหายขึ้น
เมื่อเกิดการเสียหายขึ้นแล้วไทยต้องเสีย 4
ส่วนฝรั่งเสียส่วนเดียว
ต่อมาในปีพ.ศ.2457 นายยู่เสงเฮง
ฉลองไนยนารถได้ยักยอกเงินไปจากแบงก์สยามกัมมาจลถึง 1,681,000 บาท
ทั้งยังจ่ายเงินเกินให้แก่แบงก์จีนสยาม
และซื้อตั๋วเงินปลอมอีกเป็นจำนวนมาก
จนถึงกับถ้าไม่มีการช่วยเหลือแล้วแบงก์สยามกัมมาจลก็จะล้มละลายไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้
เสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ
จึงกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อขอให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ช่วยเหลือให้แบงก์สยามกัมมาจลคงดำเนินการต่อไปได้
ตามเหตุการณ์ที่นายยู่เสงเฮง
ฉลองไนยนารถ ได้ยักยอกเงินของแบงก์สยามกัมมาจลไป
แลแบงก์จีนต้องล้มละลายลงคราวนี้
ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบบังคมทูลด้วยวาจาในชั้นต้นว่าแบงก์สยามคงจะเสียหายไปประมาณเงินราว
2,000,000 บาทเศษ แลถ้าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการบำรุงแบงก์สยามกัมมาจลให้คงที่ดำเนินการได้ต่อไป
ประมาณจะต้องเรียกทุนเติมอีก 1,000,000 บาทนั้น
.
ข้อความที่ได้กราบบังคมทูลมาแล้วในชั้นต้นนั้น
ได้คิดแต่จำนวนเงินที่จ่ายเกินให้แก่แบงก์จีนสยาม 400,000 บาท
แลที่นายยู่เสงเฮง ฉลองไนยนารถได้ยักยอกไป 1,681,000 บาท
จึงรวมเป็นจำนวนเงินแต่เพียง 2,081,000 บาท
ยังหาได้คิดถึงจำนวนเงินที่จะสูญเสียไปเพราะตั๋วเก๊ตั๋วปลอมที่แบงก์สยามกัมมาจลได้รับซื้อไว้ไปรับเงินทางเมืองต่างประเทศ
กับทั้งลูกหนี้ลูกสินของแบงก์สยามที่จะต้องสูญเสียไปด้วยไม่
ในบัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้ให้มิสเตอร์ อี โฟลริโอ ไปตรวจสอบกับบาญชีของแบงก์มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
คงได้ความว่าเงินที่แบงก์สยามต้องขาดทุนไปเพราะนายยู่เสงเฮง ฉลองไนยนารถยักยอก
และแบงก์จีนถูกล้มละลายคราวนี้ รวมเป็นจำนวนเงินถึง 5,347,000
บาท มีรายการละเอียดแจ้งอยู่ในบาญชีที่ทูลเกล้าฯ
ถวายมาพร้อมกับหนังสือฉบับนี้แล้ว
นับว่าเงินทุนของแบงก์ซึ่งมีมาแต่เดิมแลที่ได้สะสมไว้ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว
ยังมิหนำเงินที่กระทรวงพระคลังฯ
ได้ออกช่วยให้แบงก์กู้เพื่อให้แบงก์คงดำเนินการได้ก็พลอยสูญเข้าไปอีกเกือบเต็มจำนวน
เพราะฉะนั้นทางการที่จะดำเนินการของแบงก์สยามกัมมาจลนี้
จะดำเนินการต่อไปโดยไม่มีทุนทางใดมาอุดหนุนขึ้นอีกนั้น
คงจะทรงการอย่างนี้ไปไม่ได้
|