อธิมุตตกะสามเณร
|
||
ความจริงนั้นเป็นสิ่งไม่ตาย
อมตวาจา คือ วาจาที่ไม่ตาย เป็นจริงตลอดกาล ผู้ยึดเอาความจริงหลักในการดำเนินชีวิต
ไม่พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ หรือพูดเพ้อเจ้อ ก็จะพบแต่ความสำเร็จ
เป็นที่น่าเชื่อถือ มีผังของความเป็นคนจริง คนซื่อสัตย์ มีสัจจวาจาเป็นเยี่ยม
ก็จะติดตัวเราไปตลอดทุกภพทุกชาติ เมื่อรับคำว่าจะทำอะไร ก็ไม่เคยให้คนอื่นผิดหวัง
ทำการคบค้าสมาคมก็ไม่เคยคิดคดโกง ไม่โกหก หลอกลวง พลังแห่งความสัตย์นี้ จะก่อให้เกิดเป็นบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์ คือเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพ พูดจาอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น เปล่งวาจาอะไรก็จะสำเร็จหมด ถึงคราวจะแนะนำสั่งสอนให้คนอื่นทำความดี ก็มีวาจาเป็นสุภาษิต พูดโน้มน้าวให้คนอื่นอยากปฏิบัติตาม เป็นที่น่าเลื่อมใสแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง จะมีถ้อยคำอันเป็นสิริมงคล เหมือนเป็นแหล่งแห่งถ้อยคำ ดังเรื่องของสามเณรอรหันต์ ในสมัยพุทธกาลรูปหนึ่งผู้มีวาจาสัตย์ ทำให้เอาชนะใจมหาโจร และรอดพ้นจากความตายได้อีกด้วย สามเณรท่านนั้นชื่อ "อธิมุตตกะ" เป็นลูกศิษย์ของพระสังกิจจะเถระ ท่านได้ตั้งใจออกบวชตั้งแต่อายุยังน้อย พออายุใกล้จะครบ ๒๐ ปี พระเถระได้ให้สามเณรกลับบ้าน เพื่อไปสอบถามวัน เดือน ปี เกิด กับโยมพ่อ โยมแม่ให้แน่นอนเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาอุปสมบททีหลัง ในระหว่างทางมีโจรห้าร้อย กำลังซุ่มดักจับคนที่เดินทางไปมาในป่านั้น เพื่อนำไปฆ่าบูชายัญแก่เทพเจ้าที่ได้บวงสรวงเอาไว้ เมื่อสามเณรเดินเข้าไปในป่า พวกโจรก็ได้ล้อมจับท่านเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่า สามเณรจะไม่มีความหวั่นไหวในมรณภัยที่มาถึงเลย ท่านกลับนึกสงสารพวกโจร ที่ประพฤติตัวเบียดเบียน ทั้งตนเอง และผู้อื่นให้เดือดร้อน พลางคิดว่า "ตัวของเราเองยังไม่บรรลุคุณวิเศษอะไรเลยสักอย่าง ไหนยังจะต้องศึกษาธรรมะอีกมากมาย เพื่อที่จะปฏิบัติให้เกิดปฏิเวธอีก อย่ากระนั้นเลย เราน่าที่จะลองหาอุบายเพื่อช่วยชีวิตของตนเอง" จึงตั้งเมตตาจิตแผ่กระแสเมตตาไปยังพวกโจร พร้อมกับแสดงธรรมด้วยถ้อยคำที่ไพเราะว่า "โยม ในกาลครั้งหนึ่ง ณ ป่าใหญ่ มีเสือดาวอยู่ตัวหนึ่ง เที่ยวคอยซุ่มดักเหยื่อตามทางโค้ง มีอยู่วันหนึ่ง มันเอาเท้าที่มีเล็บแหลมคม ทำลายดอกจำปาทิ้ง พวกสัตว์ทั้งหลายเห็นกิริยาอาการนั้น ก็ตกใจกลัว พากันหลบหนีไปหมด การกระทำเช่นนี้ ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่มันเลย เหตุนี้ก็เหมือนกัน ถ้าท่านฆ่าเราผู้ชื่อว่า อธิมุตตกะ แล้ว พวกท่านก็จะขาดทรัพย์ เพราะเมื่อคนเดินทางทั้งหลายรู้เข้า ก็จะไม่เข้ามาในป่านี้ พวกท่านก็จะไม่ได้อะไรๆ เลย" หัวหน้าโจรได้ฟังดังนั้น จึงเกิดความรัก ความเอ็นดูในสามเณร จึงปรึกษากันว่าจะปล่อยสามเณรกลับไป เพียงแต่ขอให้สามเณรอย่าได้บอกที่อยู่ของพวกตน ให้ใครรู้อย่างเด็ดขาด เมื่อสามเณรรับปากว่าจะไม่บอกใคร พวกโจรถึงได้ปล่อยท่านไป เมื่อสามเณรรอดพ้นจากมรณภัยมาได้ ก็เดินทางต่อไป และได้พบบิดามารดาในระหว่างทาง ซึ่งท่านทั้งสองจะไปทำธุระยังต่างเมือง สามเณรได้รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับโจร จึงไม่ได้บอกโยมพ่อโยมแม่ว่ามีโจรดักซุ่มรออยู่ข้างหน้า ไต่ถามแต่เพียงเรื่องวันเดือนปีเกิด ที่พระอาจารย์ให้มาถามเท่านั้น โยมพ่อกับโยมแม่นิมนต์ให้ท่านไปรออยู่ที่บ้านก่อน หลังจากเสร็จภาระกิจแล้วถึงจะกลับมาบอก พอเดินทางต่อไป จึงถูกพวกโจรจับตัวไปบูชายัญ โยมพ่อโยมแม่ของสามเณร เห็นพวกโจรเตรียมมีด หลาว ต้มน้ำต่อหน้าต่อตา ทั้งหวาดกลัวต่อมรณภัย ทั้งโกรธเคือง ตัดพ้อต่อว่าสามเณรที่ไม่ยอมบอกว่า ในป่ามีโจรคอยดักทำร้ายคนอยู่ ปล่อยให้พ่อแม่มาหาที่ตายแท้ๆ สงสัยสามเณรคงจะเป็นพวกเดียวกันกับโจรห้าร้อยเหล่านี้ พวกโจรได้ยินเสียงพร่ำบ่นของคนทั้งสอง ก็รู้ว่าสามเณรเป็นคนรักษาคำพูด แม้จะเป็นโยมพ่อโยมแม่ก็ไม่ยอมที่จะเสียสัจจะ เมื่อพวกโจรเห็นความอัศจรรย์ซึ่งหาได้ยากในหมู่มนุษย์เหล่านี้แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มพูนความศรัทธาเลื่อมใสในสามเณรขึ้นไปอีก อยากจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี และไปเป็นลูกศิษย์ของสามเณร จึงตัดสินใจปล่อยโยมพ่อโยมแม่ของท่านไป แล้วก็เลิกอาชีพโจรอย่างเด็ดขาด ชักชวนกันเดินทางไปขอบวช และศึกษาธรรมะกับสามเณร สามเณรเมื่อเห็นว่ามหาโจรทั้งห้าร้อย มีความตั้งใจจริงที่จะกลับใจ มีจิตอนุโมทนา จึงให้ทุกคนโกนผมบวชเป็นสามเณร จากนั้นก็พาสามเณรใหม่ไปพบพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็บอกให้สามเณรพาไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อทุกรูปเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ในที่สุดหลังจากที่ทุกรูปได้ฟังธรรม ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันหมดทุกรูป เห็นไหมล่ะ ถึงแม้จะเป็นสามเณรก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว เพราะคุณธรรมคือ สัจจะ และปัญญา ในตัวท่าน ที่สามารถเปลี่ยนสภาพจิตใจของคนไม่ดี ไม่มีศีล ให้เป็นคนดี มีศีล กลายเป็นเนื้อนาบุญให้กับพระพุทธศาสนา และช่วยให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้อีกยาวนาน
|
||
ที่มา : หนังสือธาตุพระ |