... อองซาน ซูจี ..
... เธอคือ .. ตัวแทนหญิงทั้งโลก .. ที่จะประกาศให้โลกรู้ถึงความสามารถของ .. ผู้หญิง ...
เธอยังยืนหยัดต่อไป แม้ไม่รู้ว่าวันแห่งชัยชนะจะมาถึงเมื่อใด
ค่ำคืนนั้นเงียบสงบเช่นเดียวกับคืนอื่น ๆ ในออกซ์ฟอร์ดในช่วงปลายเดือนมีนาคม ปี 1988
เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นชูรับโทรศัพท์และทราบข่าวว่าแม่ของเธอล้มเจ็บลงด้วยโรคหัวใจอย่างร้ายแรง เธอวางหูโทรศัพท์และเริ่มเก็บข้าวของในทันที ผมมีลางสังหรณ์ว่าชีวิตของเราจะต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
"
ลางสังหรณ์ของ ดร.ไมเคิล อารีส สามีของออกซานซูจีนั้นแม่นราวกับตาเห็น เพราะนับจากวินาทีนั้น วีถีชีวิตของผู้เป็นภรรยาได้เบนเส้นทางออกห่างจากครอบครัวหันเหสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างที่พ่อของเธอเคยเสียสละเพื่อประเทศชาติมาแล้ว "ฉั นขอเพียงสิ่งเดียว หากประชาชนของฉันต้องการฉัน คุณจะต้องช่วยฉันทำหน้าที่ที่พวกเขามอบหมายให้"
"บางครั้งฉันกลัวว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ และเหตุอันควรคำนึงเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองจะพรากเราทั้งสองจากกัน ในเวลาที่เราต่างก็กำลังมีความสุขมอบให้กันและกันอย่างมากมายจนทำให้การจากกันนั้นเป็นความทุกข์ทรมาน แต่กระนั้นความกลัวดังกล่าวก็ช่างไร้สาระและไม่สลักสำคัญ หากเรารักกันและทะนุถนอมกันและกันให้มากที่สุดในขณะที่เรายังทำได้ ฉั นมั่นใจว่าความรักและความเห็นอกเห็นใจจะได้รับชัยชนะในที่สุด"
"นั่นคือข้อความในจดหมาย 1 ใน 187 ฉบับที่อองซานซูจีส่งถึงไมเคิล อารีส ในช่วงเวลา 8 เดือน ก่อนหน้าที่ทั้งคู่ตกลงเข้าพิธีวิวาห์กันในลอนดอนเมื่อวันที่ 1 มกตาคม 1972 อองซานซูจี หรือ "ซู" ของเพื่อน ๆ และคนใกล้ชิด เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายพบอองซาน วีรบุรุษแห่งชาติของชาวพม่า ผู้นำขบวนการ "30 สหาย" ที่กลายเป็นตำนานอมตะ เรื่องราวของนายพลออกซานไม่ว่าการเป็นผู้นำคนสำคัญในการนำญี่ปุ่นบุกพม่าระหว่างที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ การเปลี่ยนมาสนับสนุนกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรภายหลังจากการได้รับเอกราชแต่เพียงในนามจากญี่ปุ่น และการต่อสู้ภายหลังจากที่สงครามได้ยุติลง เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษมอบเอกราชโดยสมบูรณ์คืนแก่พม่า ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของพม่า
นายพลอองซานถูกสังหารเมื่อซูอายุได้เพียง 2 ขวบ ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อจึงเลือนราง ซูอาศัยปะติดปะต่อเรื่องราวจาการรวบรวมหนังสือและเอกสารที่เกี่ยวกับวีรบุรุษแห่งชาติผู้นี้ตลอดเวลาที่เธออยู่ออกซ์ฟอร์ด แม้วัยเด็กซูจะใช้ชีวิตอยู่กับ ดอคินจี ผู้เป็นแม่ แต่เธอและพี่ชายจะถูกปลูกฝังมาตลอดถึงมรดกที่พ่อได้ทิ้งไว้ให้ นอกจากนั้นดอคินจี ยังได้ปลูกฝังความรับผิดชอบที่ลูก ๆ พึงมีต่อค่านิยมทางสังคมและศีลธรรม ซูจึงเป็นแบบอย่างที่ดีของชาวพม่า ทั้งการแต่งกายและกิริยามารยาทอ่อนช้อยที่แฝงไว้ด้วยความสง่างาม
ซูยังนุ่ง ลองยี (โสร่งพม่า) แม้เมื่อศึกษาอยู่ท่ามกลางสาว ๆ ก๋ากั่นที่ออกซ์ฟอร์ด จนถูกเพื่อน ๆ บางคนขนานนามว่า อันนา คาเรนินา ในชุดลองยี ในขณะที่เพื่อนสาวเห็นว่ากิจกรรมทางเพศเป็นเรื่องสนุก แต่ซูกลับโต้กลับว่า "ฉั นจะไม่นอนกับใครทั้งนั้นที่ไม่ใช่สามีฉัน แล้วตอนนี้ฉันก็พอใจที่จะนอนกอดหมอนของฉัน" ซูพบรักกับไมเคิล อารีส ที่ออกซ์ฟอร์ดนี่เอง ทั้งคู่ติดต่อกันเรื่อยมา แม้เมื่อซูร่ำเรียนจนจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ ปรัชญา และเศรษฐศาสตร์ และทำงานที่สำนักงานเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ก ในขณะที่ไมเคิลทำงานทางวิชาการอยู่ที่ ภูฏาน ก่อนหน้าตกลงร่วมชีวิตกับชายชาวอังกฤษผู้นี้ ซูเฝ้าแต่ห่วงกังวลว่าครอบครัวและประชาชนของเธอจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้ และอาจเห็นว่าเธอจะไม่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับประเทศชาติเหมือนเมื่อก่อน ซูย้ำกับไมเคิลตลอดเวลาว่า สักวันหนึ่งเธอจะต้องกลับพม่า และเมื่อวันนั้นมาถึง เธอคงจะได้รับการสนับสนุนจากเขาไม่ใช่เป็นสิทธิที่เธอพึงได้รับ แต่เป็นเพราะความกรุณา
ไมเคิล
ให้คำมั่นว่า "ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ผมให้สัญญากับภรรยาว่า ผมจะไม่ก้าวเข้าไปขวางกลางระหว่างเธอและประเทศชาติ" หลังจากทำงานอยู่สหประชาชาติ ได้ 3 ปี ชูเดินทางไปอยู่ภูฏานกับสามีจนกลางศตวรรษที่ 70 จึงย้ายกลับมาอยู่ออกซ์ฟอร์ดอีกครั้ง เนื่องจากไมเคิลได้ทุนทำวิจัยที่เซนต์จอห์นคอลเลจ .. ตอนนี้ซูมี อเล็กซานเดอร์ ลูกชายคนโตแล้ว ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจึ่งพรั่งพร้อมด้วยครอบครัวอันอบอุ่น ซึ่งอาศัยอยู่ในแฟลตของมหาวิทยาลับเซนต์จอห์น หากแต่ในช่วงเวลาแห่งความสุขที่ไม่มีวันหวนคืนมานั้น ภายในใจของเธอยังครุ่นคำนึ่งถึงประเทศชาติตลอดเวลา .. ซูมักมีแขกมาเยี่ยมเยียนเสมอภาพที่คนเห็นเจนตาคือภาพที่ซูซึ่งเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถีบจักรยานอย่างอ่อนล้ากลับบ้าน หอบหิ้วถุงพลาสติกและตะกร้าใส่ผักผลไม้ที่ซื้อหามาจากในเมือง หากใครตามไปดูถึงในบ้านจะพบเธอยุ่งอยู่ในครัว สาละวนจัดเตรียมอาหารญี่ปุ่นแบบประหยัด หรือไม่ก็นั่งหลังขดหลังแข็งที่จักรเย็บผ้าตัดเย็บผ้าม่านรวมทั้งเสื้อผ้าที่ไม่แพงแต่ดูดีให้ตัวเอง .. ซูปล่อยให้ไมเคิลคร่ำเคร่งกับการทำปริญญาเอก โดยคอยดูแลอเล็กซานเดอร์ไม่ให้รบกวนสามีพร้อมกับเอาใจใส่ดูแลบ้านให้อบอุ่นและน่าสบายและยังมีแขกมาเยือนอยู่ไม่ขาด ..
ต่อมาเธอมีคิมบุตรชายคนเล็ก ซูใช้เวลาว่างเรียนภาษาญี่ปุ่นและเขียนชีวประวัติของพ่อ เธอพาคิมไปอยู่กับเธอที่มหาวิทยาลับเกียวโตนาน 1 ปี แล้วจึงตามไปสมทบกับไมเคิลและ อเล็กซานเดอร์ที่เมือง ซิมลาในอินเดีย โดยทั้งคู่มีตำแหน่งทางวิชาการอยู่ที่นั่น .. ปีถัดมาหลังจากโยกย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ออกซ์ฟอร์ดได้ไม่นาน ซูต้องเดินทางไปดูแลแม่ซึ่งป่วยหนักอยู่ในพม่าโดยไม่ทันนึกรู้ว่าเธอจะไม่มีวันได้หวนกลับออกนอกประเทศอีกต่อไป
เมื่อซูบอกไมเคิลว่าเธอตัดสินใจเข้าร่วมต่อสู้เพื่อประเทศชาติ ไมเคิลจำต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อก่อนมาร่วมชีวิตกัน แต่เขาไม่คิดว่าวันแห่งการต่อสู้จะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ น่าจะเป็นในตอนที่ ลูก ๆ เติบโตกันหมดแล้ว ไมเคิลจึงได้แต่ปลงว่า เรื่องของโชคชะตาเป็นเรื่องที่ยากเกินคาดเดา
เมื่อเนวินลาออกในปี 1988 เกิดความวุ่นวายทั่วพม่า ซูเข้าร่วมสถานการณ์ทางการเมืองอย่างเต็มตัว เธอขึ้นปราศรัยต่อฝูงชนเป็นครั้งแรก ที่เจดีย์ชเวดากอง โดยมีครอบครัวอันเป็นที่รักสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นอกจากเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองแล้ว ซูยังแบ่งเวลาดูแลแม่ที่กำลังเจ็บหนักได้อย่างน่ายกย่อง จนกระทั่งท่านเสียชีวิต ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่อาทิตย์ ไม่กี่อาทิตย์ไมเคิลถูกบังคับให้เดินทางออกนอกพม่า แต่ได้รับอนุญาตให้กลับมาย่างกุ้งอีกครั้งพร้อมลูก ๆ เพื่อมาอยู่เคียงข้างภรรยา
เหตุการณ์ทางการเมืองในพม่าตึงเครียดถึงขีดสุดเมื่อปี 1989 อเล็กซานเดอร์และคิมเดินทางจากออกซ์ฟอร์ดไปหาผู้เป็นแม่ ซึ่งเป็นครั้งที่สามที่ได้พบหน้ากันตามประสาแม่ลูก ไมเคิลตามมาสมทบในภายหลังโดยมีนานทหารไปรับที่สนามบิน พร้อมยื่นเงื่อนไขว่า เขาจะได้รับอนุญาตให้อยู่กับภรรยาและลูกได้ต่อเมื่องดติดต่อกับสถาน ทูตหรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไมเคิลและลูก ๆ เดินทางกลับอังกฤษเมื่อถึงเวลาเปิดภาคเรียนใหม่ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ลุกได้พบหน้าแม่ สถานทูตพม่าในอังกฤษแจ้งให้ไมเคิลทราบว่าหนังสือเดินทางเข้าพม่าของอเล็กซานเดอร์และคิมถูกยกเลิก เพราะทั้งสองคนไม่ได้ถือสัญชาติพม่า เหตุการณ์นี้ไมเคิลรู้ดีว่าเป็นการบั่นทอนกำลังใจของซูด้วยการพรากลูกพรากแม่ เพื่อให้เธอยินยอมถูกเนรเทศออกนอกประเทศอย่างถาวร ไมเคิลเชื่อมั่นว่าซูมีใจเด็ดเดี่ยว เธอไม่มีทางยอมตามเล่ห์กลนั้นแน่นอน ..
ปลายปีนั้นไมเคิลได้รับอนุญาตให้ไปพม่าเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ในช่วงคริสต์มาสเพื่ออยู่กับภรรยา โดยมีเจตนาแอบแฝงให้ ไมเคิลเกลี้ยกล่อมซูอีกครั้ง ไมเคิลบันทึกไว้ว่า "นี่คือการได้อยู่กันตามลำพังสามีภรรยาเป็นครั้งสุดท้าย โดยตัดขาดจากโลกภายนอก อย่างสิ้นเชิง เป็นความทรงจำหนึ่งที่มีความสุขที่สุดตลอดระยะเวลาที่อยู่กันร่วมกัน ช่างสงบสุขอย่างน่ามหัศจรรย์ "ซูกำหนดตารางเวลาในการออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เล่นเปียโนในแต่ละวันอย่างเคร่งครัด แต่ผมก็หาทางรบกวนเธอจนได้ เธอพยายามท่องจำพระสูตรในพุทธศาสนา ส่วนผมนั่งห่อของขวัญคริสต์มาสทีละชิ้น ๆ เพื่อแจกจ่ายให้คนอื่น ๆ เรามีเวลาให้กันมากมาย พูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ผมไม่ได้คาดคิดเลยว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้อยู่ร่วมกัน" หลังจากนั้นไม่นานซูถูกกักบริเวณ ห้ามออกนอกบ้าน ซึ่งทางการพม่าเรียกว่า "การพำนักอาศัยที่มีขอบเขตจำกัด" แม้แต่ตอนชนะการเลือกตั้ง ซูก็ยังต้องอยู่ในบริเวณบ้านพักริมทะเลสาบกลางกรุงย่างกุ้ง เธอถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ถึง 6 ปี ในระหว่างนั้นซูได้รับรางวัลเสรีภาพทางความคิดเห็น ซารารอฟในปี 1990 และรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1991 โดยมีลูกชายและสามีเป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล ซูต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์โดยปราศจากครอบครัว จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ไมเคิลซึ่งป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้ายได้ขออนุญาตทางการพม่าเดินทางมาพบภรรยาก่อนที่ตนจะเสียชีวิต เนื่องจากเขารู้ดีว่า หากภรรยาเดินทางออกนอกประเทศ การต่อสู้ที่เธอทุ่มเททั้งชีวิตคงจบลงอย่างสิ้นหวัง ทางการพม่าอำมหิตพอที่จะไม่อนุญาตให้ไมเคิลเดินทางเข้าประเทศ โดยอ้างเหตุผลว่าซูควรเป็นผู้เดินทางไป เพราะเป็นฝ่ายที่มีสุขภาพแข็งแรงแทนที่จะให้คนป่วยเดินทางมา ถึงแม้ทั่วโลกรุมประณาม พม่าก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ จนในที่สุด ดร.ไมเคิล อารีส เสียชีวิตที่ลอนดอนในวันเกิดอายุครบ 53 ปีของตัวเอง โดยไม่ได้เห็นหน้าหรือแม้แต่เอ่ยคำล่ำลาภรรยาคู่ทุกข์อันเป็นที่รัก ปิดฉากความขมขื่นพลัดพรากที่เขาจำต้องยอมรับมานานนักหนา "ในนามของอเล็กซานเดอร์ คิม และตัวฉัน ขอขอบคุณเพื่อนร่วมโลกที่ให้ความช่วยเหลือในยามที่สามีของฉันเจ็บป่วย รวมทั้งมอบความรักและความเห็นอกเห็นใจให้แก่ครอบครัวของเรา "ฉันโชคดีที่มีสามีแสนวิเศษเขาได้มอบความเข้าอกเข้าใจซึ่งฉันต้องการตลอด ไม่มีสิ่งใดมาพรากความรู้สึกนั้นไปจากฉันได้" เบื้องหลังแถลงการณ์อันโศกเศร้าของซูต่อชาวโลกอาจมีน้ำตาของลูกผู้หญิงที่ไม่มีผู้ใดได้เห็น ใครเลยจักรู้ว่า ภายใต้ความเข้มแข็งนั้น ซูอาจโทมนัสแทบวางวาย แต่ด้วยภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน เธอจำยอมรับความปวดร้าวอย่างยินดี ซูเป็นวีรสตรีผู้โดดเดี่ยว แม้ต้องพลัดพรากจากครอบครัวชั่วชีวิต ต้องตายจากโดยไม่เห็นหน้า ด้วยอิทธิพลของเผด็จการสลอร์กที่ไร้ความเมตตา
เธอยังยืนหยัดต่อไป แม้ไม่รู้ว่าวันแห่งชัยชนะจะมาถึงเมื่อใด
...กลับไปหน้าแรก...