แกะรอยแอลกอฮอล์
มนุษย์คงรู้จักวิธีทำเหล้าและดื่มเหล้ามานานแล้ว แต่เท่าที่ปรากฏหลักฐาน ชาวบาบิโลนและอียิปต์ พบว่าถ้าเอาผลองุ่นมาบีบให้แตกและหมักกับข้าวที่ทำให้ชื้นจะได้น้ำที่มีฟองเล็กน้อยเมื่อเอามาดื่มจะทำให้รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ
หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) พบเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ยีสต์" (Yeasts) ภาษาไทยคงเรียกว่าเชื้อที่ใช้หมักเหล้ากระมัง ยีสต์เป็นสิ่งมีชีวิต และใช้น้ำตาลที่ได้จากการย่อยแป้งเป็นอาหารยีสต์นี้เมื่อกินน้ำตาลเข้าไปแล้วก็ถ่ายเอาของเสียออกมา ซึ่งก็คือแอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเราเห็นเป็นฟอง ๆ เวลาหมักข้าวหมาก จะใช้ "ลูกแป้ง" ซึ่งคงจะมี "ยีสต์" พวกนี้อยู่เป็นแน่
แอลกอฮอล์ก็เป็นสารพิษชนิดหนึ่ง ถ้ายีสต์สร้างแอลกอฮอล์ให้มีความเข้มข้นถึงร้อยละ 14 เมื่อไร ยีสต์ก็ตาย และกระบวนการหมักก็สิ้นสุดหรือถ้าน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารของยีสต์หมดเสียก่อน ยีสต์ก็ตายเหมือนกัน ดังนั้นเหล้าที่เกิดจากการหมักจึงมีแอลกอฮอล์เพียงร้อยละ 14 เท่านั้น ถ้าจะให้แรงกว่านั้นต้องใช้วิธีกลั่น
คำว่า "แอลกอฮอล์" เป็นภาษาอะไร มาจากไหน ไม่มีใครรู้ สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอาหรับว่า "อัล-โคฮัล" ซึ่งมีความหมายหลายอย่าง รวมทั้งแร่พลองที่บดเป็นผงสำหรับทาขอบตาสตรีด้วยแต่ที่แน่ ๆ ก็คือ การกลั่นแอลกอฮอล์ไม่ได้เริ่มจากประเทศอาหรับ
จากหลักฐานที่ปรากฏ การกลั่นแอลกอฮอล์เริ่มจากสมัยกลาง (Middle Ages) ที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในซาเลอร์ ประเทศอิตาลี เคยนำเอาหล้าองุ่นมาต้มให้เดือดเอาไอ ที่ได้ผ่านท่อที่ทำให้เย็น ไอก็จะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำเป็นแอลกอฮอล์ที่ได้จะใช้ผสมยาหลายชนิด ครั้งนั้นนักปราชญ์ชาวสเปนตั้งชื่อน้ำอำมฤตชนิดนี้ว่า "อควาไวเต้" (Aqua - vitae) หรือ "น้ำแห่งชีวิต"
ในเมืองจีนและอินเดียคงรู้วิธีทำเหล้ามานานก่อนยุโรป แต่ไม่สามารถค้นหาหลักฐานมาเล่าให้ละเอียดได้เหมือนของฝรั่ง บรรดาฮ่องเต้ทุกพระองค์ก็เสวยน้ำจัณฑ์พอ ๆ กับพระจักรพรรดิ์ในอินเดีย อย่างน้อยในเอเชียนี้คงจะมีแอลกอฮอล์ให้ดื่มกันตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล
แอลกอฮอล์ที่กลั่นในรัสเซียมีชื่อว่า "วอดก้า" (Vodka) ในประเทศฮอลแลนด์เอากลิ่นสนหอมผสมลงไปเป็น "เจนีเวอร์" (Jenever) ซึ่งภาษาฝรั่งเศสเรียก "จีนีฟ" (genievre) และภาษาอังกฤษตัดออกเหลือเพียงหล้า "ยิน" (gin) ที่เรารู้จักกันเป็นส่วนใหญ่
แอลกอฮอล์บริสุทธิดื่มไม่อร่อยดังนั้นจึงมีการเพิ่มรสชาติโดยการใส่ถังไม้ที่เผาผนังภายในให้เป็นถ่าน และเรียกเหล้าชนิดนี้ตามภาษาไอริส "วิส - บีธีา" (visce beatha) และแปลงมาเป็น "วิส - กี้" (whiskey) ที่รู้จักกันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมีการปรุงรสกันต่าง ๆ เช่น ใส่น้ำมันเยอราเนียม , ใส่โสม, สาหร่าย (ปรุงกลิ่น) ฯลฯ เรื่องการผสมสุรายาดองนี้ ไม่ใครเกินจีน เพราะในรสนิยมของชาวตะวันออกแล้วเหล้าจีนมีการปรุงรสได้ชื่นใจ
สำหรับทางฝรั่งตะวันตกมีแปลกไปอีกอย่าง เช่น ผสมน้ำผลไม้ให้มีรสหวาน แม้กระทั่งน้ำมะเขือเทศ ! ฝรั่งมีวิธีผสมเหล้ามากมายและกรรมวิธีการผสมเหล้านี้เองเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทำให้การดื่มเหล้าแบบฝรั่งมีรสชาติมากขึ้น
แอลกอฮอล์เป็นชื่อรวมประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิด เช่น เมทานอล (methanol) หรือวู้ด แอลกอฮอล์ที่แต่เดิมทำจากไม้ เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ทำจากก๊าซมีเทน เมทานอลเป็นสารพิษถ้าดื่มเข้าไปจะทำให้ประสาทตาบวมและตาบอด
เหล้าที่เราดื่มกันเป็นเอทานอล (ethanol) หรือเอทิลแอลกอฮอล์ (ethyl alcohol) นอกจากนั้นก็มีไอโซโพรพานอล (isopropanol) เป็นแอลกอฮอล์ที่เอาไว้ถูนวด มีเอทิลีนไกลคอล (ethylene glycol) เป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้ในผ้าห่มลดไข้ (cooling blanket) ของการแพทย์ เป็นต้น ในเมืองหนาวเอาไว้ใส่ในหม้อน้ำรถยนต์สำหรับกันไม่ให้น้ำในหม้อน้ำแข็งเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาว
เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ที่นิยมกันในบ้านเราอีกอย่างหนึ่งคือเบียร์ เบียร์มีประวัติพิศดารกว่าเหล้าไปอีกนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียชื่อ โซโลมอนแคทซ์ (solomon katz) กล่าวว่า มนุษย์สมัยหินรู้จักทำเบียร์กันแล้ว และการเริ่มปักหลักทำเกษตรกรรมแทนการเร่ร่อนก็เกิดมาจากการปลูกพืชเพื่อทำเบียร์นี่แหละ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าคนดึกดำบรรพ์จะมีความผูกพันกับเบียร์จนถึงขนาดนี้ แต่แคทซ์บอกว่าเขาทำเบียร์กินแทนอาหาร เบียร์สมัยก่อนข้นมาก ในกระบวนการหมักของเบียร์จะทำให้เกิดวิตามินบีนอกจากนั้นยีสต์หรือเชื้อที่หมักเบียร์นี้ยังสร้างกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อชีวิตอีกหลายชนิดพร้อม ๆ กันก็ทำลายสารพิษต่าง ๆ ที่เกิดจากการหมัก
ถามใจดูทีว่าทำไมถึงดื่ม เหล้า เบียร์ ?
คำถามนี้ตอบให้ตรงได้ยาก กินเพราะอยากกิน (ดื่ม) สุขก็กิน บอกว่าจะได้มีความสุขมากขึ้น ทุกข์ก็กิน เพราะคลายทุกข์ได้ วันเกิดก็กิน วันตายก็กิน ดูเหมือนจะกินกันทุกโอกาส
เคยมีคนตั้งข้อสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุของความเป็นคนขี้เมา บางคนอ้างว่าเกิดจากพันธุกรรม ซึ่งก็คงมีความจริงอยู่บ้าง พบว่าบุตรที่เกิดจากพ่อแม่ขี้เหล้าจะเป็นคนขี้เหล้า มากกว่าคนอื่น 4 เท่า
นักวิทยาศาสตร์ทางพันธุศาสตร์เชื่อว่า ประมาณร้อยละ 50 ของชาวตะวันออกมีรหัสพันธุกรรมที่ทำให้ดื่มสุราแล้วรู้สึกไม่สบาย กล่าวคือ ผู้ที่มีรหัสพันธุกรรมชนิดนี้จะไม่สามารถสร้างเอนไซม์ที่จะย่อยอเซตาลดีฮัยด์ (acetal - dehyde) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการแปรสภาพของแอลกอฮอล์ในร่างกาย
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ แอลกอฮอล์นี้เมื่อกินเข้าไปแล้วจะแปรสภาพเป็นอเซตาลดีฮัยด์ ซึ่งเอนไซม์ในตับจะย่อยและแปรสภาพเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์
อเซตาลดีฮัยด์ทำให้เกิดความรู้สึกเวียนศีรษะ , เหงื่อออก. ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, อาเจียน, อึดอัด, ไม่มีความสุขซึ่งถ้าเป็นจริงเช่นนั้น คนตะวันออกไม่น่าจะติดเหล้ามากเท่านี้ แต่พบว่าคนญี่ปุ่นและเกาหลี ดื่มเหล้ามากทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คนไทยก็ดื่มเหล้าไม่ใช่น้อย ในหมู่ชาวตะวันออกก็มีแต่ประชาชนในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเคร่งครัดเท่านั้นที่ไม่ดื่มเหล้า
กล่าวกันว่าในรัสเซียนิสัยการดื่มเหล้าเหมือนจะฝังลึกจนถอนไม่ออก เมื่อครั้งทำสงครามกับญี่ปุ่นที่มุกเคนทหาร รัสเซียหลายพันคนเมาเหล้า ถูกทหารญี่ปุ่นเอาหอกปลายปืนแทงตายไปมากมาย เมื่อกอร์บาชอฟมีคำสั่งให้เลิกดื่ม ทำให้อัตราการตายจากพิษของแอลกอฮอล์ในรัสเซียลดลงอย่างมากมาย แต่ดังได้กล่าวแล้ว นิสัยการดื่มเหล้ามันฝังลึก ชาวรัสเซียก็มีวิธีแอบกินแอบดื่ม โดยที่ของชนิดใดที่ผสมแอลกอฮอล์แต่ไม่ใช่เหล้า (คือไม่ถูกห้าม) ก็เอามาดื่มหมด ตั้งแต่น้ำหอมจนกระทั่งน้ำยาขัดรองเท้า เว้นก็เพียงน้ำยาล้างกระจก เพราะพิษของมันคงจะมากเกินกว่าที่จะเสี่ยง
เหล้านั้นเมื่อลองดื่มดูแล้วมันหยุดยากจริง ๆ ตัวอย่างก็เห็น ๆ กันอยู่ มีคนคิดยาขึ้นมาเพื่อให้อดเหล้า ผลที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควรบางทีก็เกิดอันตราย มีการจัดกลุ่มเพื่อการเลิกเหล้า ซึ่งทำไม่ได้ง่าย ๆ จึงยังไม่แพร่หลายในบ้านเรานัก
...กลับไปหน้าแรก...
......สุรา เมรัย... เข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ ในด้านใดบ้าง ???......
...วิธีการเลิก..เหล้า...
...อยากให้เหล้ามีประโยชน์บ้างมั้ยล่ะ..อิ..อิ...