ประเพณีบุญบ้องไฟ


งานประเพณีบุญบั้งไฟจัดขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม บริเวณสวนสาธารณะพญาแถน โดยแต่เดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งแสดงออกถึงความสามัคคีของหมู่คณะ และเชื่อว่า เทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะบันดาลให้มีฝนตกตามฤดูกาลทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหาร อุดมสมบูรณ์
บั้งไฟที่จัดทำมีหลายชนิดได้แก่ บั้งไฟกิโล บั้งไฟหมื่น และบั้งไฟแสน บั้งไฟกิโลนั้น หมายถึง น้ำหนักของดินประสิว 1 กิโลกรัม บั้งไฟหมื่นกิโลก็ใช้ดินประสิว 12 กิโลกรัม บั้งไฟแสนก็ใช้ดินประสิว 10 หมื่น หรือ 120 กิโลกรัม เมื่อตกลงกันว่าจะ ทำบั้งไฟชนิดไหน ก็หาช่างมาทำ ช่างทำบั้งไฟนั้นสำคัญมาก คือ จะต้องเป็นผู้มี ฝีมือในการคำนวณส่วนผสมระหว่างดินประสิวกับถ่านไม้ เพราะถ้าไม่ถูกสูตรแล้ว บั้งไฟจะแตก ไม่ขึ้นสู่ท้องฟ้า สำหรับไม้ที่จะทำเป็นเสาบั้งไฟนั้น ต้องเป็นไม้ไผ่ที่มี ลำปล้องตรงเสมอกัน จะตัดเอาแต่ที่โคนต้น เพราะมีความหนาและเหนียว ความยาวนั้นแล้วแต่จะตกลงกัน
การแห่บั้งไฟจะกำหนดไว้ 3 วัน คือ วันสุกดิบ วันประชุมรื่นเริง และวันจุดบั้งไฟ โดยกิจกรรมต่าง ๆ จะทำกันที่วัด จุดสนใจอยู่ที่ขบวนแห่บั้งไฟ อันประกอบไปด้วย ขบวนฟ้อนรำ ที่เรียกว่า "เซิ้งบั้งไฟ" นำขบวนบั้งไฟที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วย ลวดลายไทยสีทอง ว่ากันว่าศิลปะการตกแต่งบั้งไฟนี้ นายช่างจะต้องสับและตัด ลวดลายต่าง ๆ นี้ไว้เป็นเวลาแรมเดือนแล้วจึงนำมาทากาวติดกับลูกบั้งไฟ ส่วนหัว บั้งไฟนั้นจะทำเป็นรูปต่าง ๆ ส่วนมากนิยมทำเป็นรูปหัวพญานาคอ้าปากแลบลิ้นพ่น น้ำได้ บ้างก็ทำเป็นรูปอื่น ๆ แต่ก็มีความหมายเข้ากับตำนานในการขอฝนทั้งสิ้น ตัวบั้งไฟนั้นจะนำมาตั้งบนฐาน ใช้รถหรือเกวียนเป็นพาหนะ
ในวันจุดบั้งไฟ ตอนเช้ามีการทำบุญ ถวายภัตตาหาร แล้วแห่บั้งไฟไปรอบพระ อุโบสถ จากนั้นนำบั้งไฟออกไปยังสถานที่ที่จัดไว้สำหรับจุดบั้งไฟ เริ่มด้วยการจุด เสี่ยงทายถึงความอุดมสมบูรณ์ของข้าวกล้าและพืชไร่ในท้องทุ่ง จากนั้นจึงเป็นการ จุดแข่งขัน บั้งไฟของคณะใดขึ้นสูงสุดก็จะเป็นผู้ชนะ ส่วนนายช่างจะถูกจับโยนลง ในโคลนไม่ว่าจะจุดบั้งไฟขึ้นหรือไม่ก็ตาม เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมา