แผ่นเสียงร่องกลับทาง ของขุนเสนาะดุริยางค์ ( แช่ม  สุนทรวาทิน )

          ฉบับที่แล้วมาได้เขียนถึงแผ่นเสียงร่องกลับทาง  Berliner  Lateral  Disc  อันเป็นแผ่นเสียงแผ่นแบบรุ่นแรกของโลก  ที่เล่นจากกลางแผ่นโดยได้เล่าถึงสถานที่บันทึกเสียงเพลงไทยครั้งแรกคือวังบ้านหม้อ  และเล่าถึงเพลงตับอาบูหะซัน (ตับอีแมน) แล้ว คราวนี้ก็จะเขียนถึงแผ่นเสียงร่องกลับทางต่อไปอีกตอนหนึ่ง

           ในการสำรวจแผ่นเสียงโบราณชนิดร่องกลับทาง  ที่หอสมุดแห่งชาติเมื่อครั้งที่คุณหญิงกุลทรัพย์  เกษแม่นกิจ  ท่านยังเป็นผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติอยู่นั้น  ท่านเล่าว่าได้รับแผ่นที่มีผู้บริจาคมามากมาย  แต่ไม่มีความสันทัดในเรื่องนี้จึงเก็บเอาไว้เฉยๆ  เพียงเพื่อการจัดแสดงนิทรรศการเป็นครั้งคราว  เมื่อผู้เขียนทราบเรื่องนี้จึงขออนุญาตท่านเข้าไปสำรวจ  ก็ได้รู้เรื่องมาเขียนไปคราวก่อน  ในแผ่นเสียงรุ่นเดียวกันนี้ก็พบเพลงบันทึกด้วยวงดนตรีไทยในการควบคุมของขุนเสนาะดุริยางค์คือเพลงชุด "ตับพระลอคลั่ง" "เพลงบีฮูหยิน จากตับจูล่ง " สองชุดนี้บรรเลงด้วยวง "พิณพาทย์" ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นตับเพลง "พระอภัยเก้าทัพ" บรรเลงด้วยวงเครื่องสายไทย  ซึ่งจะได้อธิบายขยายความต่อไป

          ข้อแรกก็คือ  ใครคือขุนเสนาะดุริยางค์

          ตอบได้ว่า  เป็นนักดนตรีเอก  บุตรนายช้อย  สุนทรวาทิน  ( ยอดครูดนตรีไทยผู้มีจักษุพิการทั้งสองข้าง) นายช้อยเป็นบุตรของนายทั่ง  นักดนตรีเอกสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  ซึ่งเป็นต้นสกุล  " สุนทรวาทิน" สกุลแห่งนักดนตรีไทยและในปี2533 ที่เขียนบทความนี้  ได้มีการสืบทอดเชื้อสายกันมากว่าหกชั่วคนแล้ว  ขุนเสนาะดุริยางค์ผู้นี้ มีชื่อเดิมว่า "แช่ม" มีภรรยาสองคน คนแรกชื่อทรัพย์ มีลูกสองคน ชื่อนางช้าและนายเชื่อง ภรรยาคนที่สองคือคุณหญิงเรือนมีบุตรหลายคน  ที่เป็นนักร้องและเป็นครูดนตรีไทยมีชื่อเสียงต่อมา  คือคุณเลียบ  สุนทรวาทิน  คุณครูเลื่อน  สุนทรวาทิน และที่เป็นศิลปินแห่งชาติคนหนึ่ง คือ อาจารย์เจริญใจ  สุนทรวาทิน

          นายแช่มรับราชการในกระทรวงวังสมัยรัชกาลที่ 5  เมื่อปีพ.ศ.2422 มีหน้าที่บรรเลงเพลงปี่พาทย์ในพระราชพิธีต่างๆ ( อายุ 13 ปี )สมัยนั้นก็มีครูที่ใหญ่กว่าท่านคือ  พระเสนาะดุริยางค์ (ขุนเณร) และพระประดิษฐ์ไพเราะ (ตาด)อีกคนหนึ่ง คนที่รับราชการเป็นนักดนตรีหลวงสมัยนั้นเขาเรียกกันว่า  ประจำกรมพิณพาทย์หลวง  ซึ่งบางครั้งจะต้องไปช่วยราชการกรมมหรสพด้วย  ดังนั้น นายแช่ม  สุนทรวาทิน  จึงเข้าออกในวังบ้านหม้ออันเป็นที่ตั้งกรมมหรสพในสมัยนั้นด้วย

          รับราชการมาจนอายุได้  37  ปี ถึง วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2466 จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนเสนาะดุริยางค์" รั้งตำแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์หลวงแทนขุนเสนาะดุริยางค์(ขุนเณร) ได้เป็นหัวหน้านานถึงเจ็ดปี  ถึงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2453 ปลายรัชกาลที่ 5 จึงได้เลื่อนเป็นหลวงเสนาะดุริยางค์  ในรัชกาลที่ 6 ตำแหน่งสุดท้ายของท่านคือพระยาเสนาะดุริยางค์  เมื่อเดือนสิงหาคม 2468 นับเป็นปรมาจารย์ทางดนตรีไทยที่สำคัญยิ่งที่สุดคนหนึ่ง ท่านถึงแก่กรรมเมื่อ 31 มกราคม 2492

          ขุนเสนาะดุริยางค์ (แช่ม ) ที่ปรากฎนามในแผ่นเสียงโบราณชนิดร่องกลับทางนี้   เป็นทั้งนักดนตรีที่เป่าปี่และตีระนาดเอกฝีมือเลิศไม่มีใครสู้  ครองอันดับคนเก่งมาตลอด  สมัยที่ยังมิได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์  ในปี จนถึง 2444 ท่านก็เริ่มมีคู่แข่งคนหนึ่งคือ จางวางศร  ศิลปบรรเลง  ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าท่านถึง 15 ปี และมีความเคารพนับถือในฝีมือท่านอยู่ของท่านแต่จำใจต้องแข่งฝีมือเพราะ " เจ้านาย "คือสมเด็จฯเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์  กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช  แห่งวังบูรพาภิรมย์  ทรงหวังจะให้วังบูรพาของพระองค์  มีชื่อว่าเก่งที่สุด  ชนะดนตรีทั่วทั้งพระราชอาณาจักร  จึงพยายามจับคู่ แกมบังคับให้ทั้งสองท่านนี้ได้ประชันขันแข่งฝีมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า  ทั้งเดี่ยวปี่ เดี่ยวระนาด จนในที่สุดขุนเสนาะดุริยางค์เกิดความระอา และเห็นว่าอายุมากขึ้น  กำลังไม่ดีเท่าเมื่อครั้งยังหนุ่ม  จึงได้กราบทูลวังบูรพาว่าขอทูลลา  ให้เลิกประชันกัน  หลังจากนั้น  ท่านก็หันมาทำเรื่องวิธีการขับร้อง  ประสบความสำเร็จมาก  จนได้รับการยกย่องว่า  เป็นผู้ปฎิวัติวิธีการขับร้องเพลงไทยจากแนวคลาสสิคเดิม  มาสู่แนวโรแมนติค  ท่านควบคุมวงดนตรีบันทึกแผ่นเสียงไว้มากมายเหลือที่จะกล่าว

          แต่ที่ปรากฎในแผ่นเสียงร่องกลับทางที่เล่ามานี้  ผู้เขียนเข้าใจว่าจะเป็นงานบันทึกเสียงลงในจานเสียงครั้งแรกของท่านที่มีชื่อ  ท่านเป็นหัวหน้าวงควบคุมเองโดยตรง  มีทั้งการบรรเลงเพลงพิธีกรรม  เพลงโหมโรง  และเพลงตับ

          โปรดสังเกตภาษาที่เขียนบนแผ่นเสียงด้วยว่า  " ตับพระลอคลั่ง "เป็น "ตับพระลอตลั่ง" ก็มี รวมทั้งเขียนตัว " ง งู " หัวกลับทางก็มี เพลงชุดนี้มาจากเรื่องพระลอ  ตอนพระลอคลั่งหลงรักพระเพื่อนพระแพงด้วยโดนยาเสน่ห์ที่ลอยมาทางอากาศในรูปของหมากเสวย  ที่ใช้เรียกว่า " สลาเหิน" ( สลา  คือ หมาก เหิน คือการลอยมา) คนร้องคือนักร้องสังกัดวังบ้านหม้อ  ชื่อแม่ปุ่ม  กับแม่แป้น  แม่ปุ่มนั้นยังสืบไม่ได้ว่าเป็นใคร  แต่แม่แป้นนั้นเป็นนักร้องและครูสอนขับร้องในวงดนตรีของสามัคยาจารย์  แม่แป้นเป็นภรรยาของขุนสมานประหาสกิจ  (แคล้ว  วัชโรบล) สามีภรรยาคู่นี้เป็นเจ้าของวงดนตรีไทย  พิณพาทย์ มโหรี และแตรวงสมัยรัชกาลที่ 6-7 และเป็นบิดา มารดาของท่านศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม  วัชโรบล เพลงตับพระลอคลั่งนี้ยาวมาก  เป็นแผ่นเสียงมากมายหลายแผ่นทีเดียว

                                              

                                        นางแป้น  วัชโลบลนักร้องวังบ้านหม้อ กรมมหรสพ

          อีกแผ่นหนึ่งเป็นวงเครื่องสายไทยบรรเลง  ที่เขียนว่า " พระอะไภยเก้าทัพ" นั้นหมายถึงเพลงชุดออกภาษาต่างๆเก้าภาษาด้วยกัน  จากเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่  ตอนที่เรียกว่าศึกเก้าทัพมีชาติต่างๆมาช่วยนางละเวงรบกับพระอภัยมณี  เป็นทางเพลงออกภาษาที่เก่าแก่ที่สุดปัจจุบันตกมาถึงบ้านพาทยโกศล  เป็นทางของฝั่งธนบุรีทุกวันนี้  ส่วนอีกแผ่นหนึ่งได้กล่าวมาแล้วว่า  มาจากเรื่องสามก๊ก ตอนจู่ลงช่วยพาอาเต๊าลูกของเล่าปี่กับนางบีฮูหยินฝ่าดงข้าศึก  เอามาคืนให้เล่าปี่ได้  ส่วนนางบีฮูหยินนั้น  โดลงในบ่อน้ำฆ่าตัวตาย  ซึ่งเพลงชุดนี้     ปัจจุบันเรียกว่า   "ตับจู่ลง "

          แผ่นเสียงรุ่นนี้หากนำมาเล่นจะได้ยินเสียงบ้าง  ไม่สู้ชัดเจนนัก  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเครื่องเล่นกับแผ่นเสียงไม่สมดุลกัน  ต้องใช้เครื่องไขลานแบบเก่ามากๆที่มีลำโพงยักษ์เป็นรูปปากแตรขนาดใหญ่  จึงจะฟังรู้เรื่องและจะต้องใช้เข็มที่มีขนาดโตมากๆ โตกว่าเข็มมุดนักหนา  หรือถ้าจะว่ากันจริงๆแล้วเข็มแผ่นเสียงรุ่นนั้นขนาดโตพอๆ กับตะปูเข็มขนาดเล็กเรานี่เอง  ปัจจุบันหายากมากทีเดียว  ทราบว่าพอจะหาได้บ้างที่บ้านพันโทสมชาย  หอมจิตร  นักสะสมและแลกเปลี่ยนของเก่า  ซึ่งมีบ้านอยู่ที่ตรอกวัดไก่เตี้ย  เขตตลิ่งชัน  กรุงเทพมหานคร

           หนังสือเล่มนี้มีรูปมาพิมพ์ให้ชมหลายรูป  เป็นรูปที่หายากมากทีเดียว  หวังว่าท่านที่อ่านคอลัมน์นี้  จะเห็นคุณค่าของแผ่นเสียงเก่าในเชิงอนุรักษ์และความรู้ทางประวัติศาสตร์การดนตรี  มุมนี้เป็นมุมเดียวของหนังสือเล่มนี้ที่พาท่านย้อนอดีตไปสู่ความเป็น " สยาม " คือลำนำแห่งสยามจริงๆ

                                   

                                        นายแพทย์พูนพิศ   อมาตยกุล