แผ่นเสียงเพลงพื้นบ้านสมัยแรกเริ่ม ตอนที่1
ในเรื่องเกี่ยวกับเพลงพื้นบ้านนั้น ทุกวันนี้เยาวชนคนไทยน้อยรายนักที่จะได้สัมผัสความงามและความเป็นศิลปะของไทยแท้แขนงนี้ คุณเอนก นาวิกมูล แห่งศูนย์สังคีตศิลป์ ธนาคารกรุงเทพฯ ได้มานะพยายามค้นคว้าออกสืบเสาะหาไปจนทั่วภาคกลางตลอดจนพาตัวพ่อเพลงแม่เพลงเข้ามาบันทึกเสียงและภาพการละเล่นพื้นบ้านเหล่านี้ไว้เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
ก็ได้พบว่า เรามีเพลงพื้นบ้านอยู่มากมายหลายสิบประเภท จนถึงคุณเอนกนำมาเขียนหนังสือได้รับรางวัลพระราชทานไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ในเบื้องหลังนั้น เรายังค้นกันไม่พบว่าเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่าโบราณจริงๆสมัยรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6 นั้น ที่ว่าดี ดีอย่างไร ฟังแต่เล่าก็ไม่ได้รู้รส ดังนั้นจึงมีผู้พยายามค้นคว้าหาเพลงพื้นบ้านที่บันทึกแผ่นเสียงไว้แต่สมัยเก่าก่อนมาเปิดฟัง
โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ครั้งหนึ่งคุณจำนง รังสิกุล แห่งโทรทัศน์(ขาวดำ) ช่อง 4 บางขุนพรหม เคยเปิดให้มีการประกวดแผ่นเสียงโบราณขึ้นในราวปี พ.ศ.2502-2503 มีผู้นำแผ่นโบราณมาส่งเข้าประกวดมากมาย เสร็จการประกวดแล้วก็ไม่มีผู้มารับกลับ คุณจำนงจึงส่งแผ่นโบราณทั้งหมดไปมอบให้หอสมุดแห่งชาติ ทางหอสมุดท่านก็เอาเก็บเข้าไว้ในตู้ ใส่กุญแจ ไม่ได้นำมาเปิดฟัง (เพราะไม่มีเครื่องแบบโบราณ) โชคดีที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปช่วยก่อตั้งห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมบริพัตรในปี พ.ศ.2524 จึงได้เห็นแผ่นเสียงโบราณเหล่านั้น
ดีใจแทนคุณเอนกที่ได้พบแผ่นเสียงโบราณที่บันทึกเพลงพื้นบ้านไว้หลายแผ่น จึงได้ถ่ายรูปมาให้ชมกัน เป็นแผ่นเสียงทำด้วยครั่งสีดำ ทั้งหนาและทั้งหนัก ทำที่ประเทศเบลเยี่ยม เชื่อว่าได้มีการบันทึกในสมัยรัชกาลที่ 5 ระหว่าง พ.ศ. 2437 ถึง พ.ศ. 2450 ไม่ทราบชื่อบริษัทผู้ผลิต และที่น่าสนใจที่สุดก็คือเป็นแผ่นเสียงร่องกลับทางกับแผ่นเสียง ปัจจุบันเวลาเล่นนั้นจะต้องเอาเข็มวางที่ใกล้ขอบกระดาษวงกลมเกือบกลางแผ่น แล้วเพลงก็จะมาจบที่ขอบแผ่น ตามประวัติจากหนังสือเรื่องแผ่นเสียง ซึ่งคุณพิพัฒน์ คคะนาท ได้มอบให้หลายปีมาแล้ว บอกไว้ว่าแผ่นอย่างที่ว่านี้เป็นการเริ่มต้นผลิตแผ่นเสียงชนิดแบนครั้งต้นๆของชาวเยอรมัน ชื่ออีมิล เบอร์-ไลเนอร์ ดังนั้นผู้ขียนจึงเรียกแผ่นพวกนี้ว่า แผ่นโบราณร่องกลับทางแบบเบอร์-ไลเนอร์
สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับแผ่นเสียงชุดที่ว่านี้ก็คือ ภาษาไทยที่เขียนบอกชื่อเพลงและนักร้องบนแผ่นซึ่งเขียนด้วยมือ ไม่ใช่ตัวพิมพ์ จัดว่าลายมือค่อนข้างงาม แต่มีสะกดการันต์ผิดไปจากภาษาไทยปัจจุบัน รวมทั้งวางรูปวรรณยุกต์ผิดที่หลายตอน
อย่างชื่อเพลงเป๋ นั้น บางแผ่นเขียนถูก บางแผ่นใช้ ไม้เอกแทนไม้จัตวาจึงเพลงเพลงเป๋ ชื่อเพลงนี้ก็คือเพลงเพลงฉ่อยนั่นเอง แต่สมัยรัชกาลที่ 5 ท่านเรียกชื่อว่าเพลงเป๋ เพราะคนที่ร้องเก่งมากเป็นคนขาเป๋ จึงเรียกว่าเพลงตาเป๋ หรือเพลงเป๋ ไปโดยอัตโนมัติ ด้วยอักษรบางตัวมีวิบัติ เช่นเขียนกลับหัวบ้าง เช่น ด เด็ก เขียนเป็น ค ควาย หรือบางทีสระอุเขียนเป็นสระอูแทนก็มี อย่างคำว่า หน้าหนึ่ง หน้าสอง ท่านก็เขียนอย่างโบราณว่า " น่าหนึ่ง หรือ น่าสอง " เป็นต้น นอกจากเพลงเป๋แล้ว ก็ยังมีเพลงปรบไก่แก้กัน (แปลว่าร้องแก้กันชายหญิง) มีเพลงทรงเครื่อง ร้องเป็นเรื่องใช้บทจากเรื่องพระสมุทร เป็นต้น เพลงทรงเครื่องนั้นมีดนตรีประกอบด้วย
สำหรับชื่อนักร้องนั้น ได้ความชัดเจนทีเดียวว่า เป็นดาราเพลงพื้นบ้านยุคนั้นแน่นอน อันได้แก่ นายพัน แม่อิน นายป่วน นายชุ่ม ( ชุม ) แม่ละม่อม เป็นอาทิ ซึ่งนักร้องเหล่านี้ได้แต่ชื่อแต่ไม่สามารถจะค้นประวัติชีวิต หรือนามสกุลได้เลยในการร้องนั้นมีทั้งต้นเสียงและลูกคู่ การร้องต้องมีลูกคู่ " ร้องกระทุ้งจังหวะ " ให้เกิดอารมณ์สนุก ท่านจึงเขียนไว้ว่า " มีลูกคู่แลกทุ้ง " แปลว่า " ร้องมีลูกคู่กระทุ้ง"
สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือมีชื่อบ้านศิลปินที่ขับร้องด้วย คือ " บ้านมหาราชวงศ์กรุงเก่า " แสดงว่า เพลงพื้นบ้านที่มาอัดแผ่นเสียงนี้เป็นฝีมือชาวบ้านเก่าแก่ตกทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาโน่นเลยทีเดียว
ในแผ่นเสียงแผ่นสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น เป็นการบันทึกที่ทันสมัยกว่าใช้แผ่นเบาบาง และขนาดเล็กกว่าชุดแรก มีชื่อบริษัทเป็นเครื่องหมายการค้าอย่างเรียบร้อย คือบริษัท ไลโรโฟน คอนเสิร์ทเรคคอร์ด มีตรารูปลำโพงสีเหลืองตรงกลางและตัวหนังสือที่บอกชื่อเพลงกับนักร้องก็เป็นตัวพิมพ์ขนาดใหญ่ชัดเจน สวยงาม ในแผ่นที่กล่าวนี้นอกจากจะมีชื่อนายอิน แม่พัน นักร้องมีชื่อจากชุดเก่าแล้ว ยังติดชื่อแม่ผิวมาอีกชื่อหนึ่ง เราจึงได้เรียนรู้เรื่องศิลปินมากขึ้นอีกคนหนึ่ง และได้รู้ว่าเคยมีการบันทึกเพลงฉ่อยเรื่องไกรทองด้วย ที่น่าคิดคือไม่เรียกว่าเพลงเป๋อีกต่อไปมาเรียกเป็นเพลงฉ่อยแทน หรือตอนที่อักเสียงนี้ตาเป๋อาจจะตายไปแล้วก็ได้
ถ้าจะถามเรื่องสุ้มสียง บอกได้ว่าอู้อี้เต็มที พอฟังเป็นคำได้ว่าร้องอย่างไร และได้เค้าเรื่องพอสมควร แต่ไม่เสนาะหูเลย เสียงรบกวนซู่ซ่ามากเกินไป
เป็นอันว่าได้พบแผ่นเสียงเพลงพื้นบ้าน เป็นการช่วยเสริมงานคุณเอนก นาวิกมูล อีกจำนวนหนึ่ง จึงบรรยายไว้ในที่นี้ให้ทราบกัน
นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล