CCITT
ISDN ย่อมาจาก
Integrated Service Digital Network นิยามโดย CCITT ว่าเป็นเน็ตเวิร์คที่พัฒนามาจากเน็ตเวิร์คร่วม
ดิจิตอลโทรศัพท์ (ISDN) ที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อปลายทางเป็นดิจิตอล โดยมีเครือข่ายการต่อเพื่อให้บริการที่กว้างขึ้น
คือ การบริการที่ ใช้เสียงและไม่ใช้เสียงที่ผู้ใช้บริการขอทำแอกเซส (Access)
กับระบบที่อยู่ในขอบเขตข้อกำหนดการอินเตอร์เฟสเน็ตเวิร์คมาตรฐาน
CCITT เน็ตเวิร์ค ISDN สามารถใช้บริการเกี่ยวกับข้อมูลและโทรคมนาคมอื่น
ๆ ที่เป็นเน็ทเวิร์คดิจิตอล โดยที่อุปกรณ์ต่าง ๆ จะอยู่ในรูป แบบดิจิตอล เช่น
ข่าวสารโทรศัพท์, คอมพิวเตอร์, สเตอริโอ, โทรทัศน์, PBX, เมนเฟรม และอุปรณ์ ISDN
อื่น ๆ โดยข่าวสารทั้งหมดจะ ถูกสวิตช์และส่งผ่านเป็นเน็ทเวิร์คเดียวกัน CCIR
และ CCITT ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ITU-R และ ITU-T ตามลำดับ
CCITT ชื่อย่อขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศมีชื่อเต็มว่า คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโทรศัพท์และโทรเลขระหว่างชาติ (International Telephone and Telegraph Consultative Committee) องค์กรนี้มีหน้าที่ในการจัดทำมาตรฐานเช่น X.25 และ X.400 หน่วยงานที่ดูแล CCITT คือ International Telecommunications Union (ITU) ได้เปลี่ยนชื่อ CCITT เป็น ITU-T เรียบร้อยแล้ว ITU-TS(CCITT) มีมาตรฐานสำหรับ 16 บิต polynomial ที่ใช้การตรวจสอบแบบ cyclic redundancy code (CRC) สำหรับ IBM มีระบบ Synchronous Data Link Control และโปรโตคอลอื่นได้ CRC -16 และ 16 บิตแบบ polynomial ซึ่ง 16 บิตของ cyclic redundancy code จะค้นหาบิตผิดพลาดถึงแบบเดี่ยวและคู่ เพื่อทำให้มั่นใจการค้นหาทำได้ 99.998 % ของความผิดพลาดที่เป็นไปได้ การค้นหาระดับนี้ รับประกันได้อย่างเพียงพอ สำหรับบล๊อคข้อมูลการส่ง 4 KB หรือน้อยกว่า สำหรับการส่งขนาด 32 บิตให้ CRC จะได้รับการส่งขนาดใหญ่ ซึ่งโปรโตคอลของเครือข่ายแบบ LAN คือ Ethernet และ Token ring ใช้ CRC ขนาด 32 - บิตวิธีการตรวจสอบที่ซับซ้อนน้อยกว่า แต่ความสามารถน้อยกว่า คือ วิธีการ Checksum
มนุษย์มีการติดต่อสื่อสารกันมาช้านาน และในปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อช่วยให้การติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีในการสื่อสารหรือ โมเด็ม นั้นก็ได้พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ โดยเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงที่ได้มีการพัฒนาเครื่องโทรเลขของเอดิสัน ที่สามารถพิมพ์ข้อมูลที่ได้รับออกเป็นจุดและขีดได้ทันที พร้อมกันนี้ก็ได้พัฒนาเป็นเครื่องโทรพิมพ์ หรือ TTY ขึ้นโดย Edward Kleinschmidt ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 เครื่องโทรพิมพ์ได้พัฒนาโดยมีแป้นพิมพ์อยู่ในเครื่องเดียวกัน ซึ่งจะส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์พิเศษ ความเร็วในการส่งข้อมูลอยู่ที่ ห้าสิบตัวอักษร/วินาที
ในปี ค.ศ.1958 ทาง AT&T ได้สร้างบริการ Dataphone ขึ้น ซึ่งได้นำเอาอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Dataphone set หรือ โมเด็ม (Modem) มาใช้ในการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านตามสายโทรศัพท์ และมีความเร็วอยู่ที่ 300 BPS โมเด็มตัวแรกของโลก ก็คือ โมเด็มรุ่น Bell Dataphone 103 โมเด็มที่มีขนาดเล็กตัวแรกของโลก คือ โมเด็มที่ออกแบบโดย Dale Heatherington และในการพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ๆ นั้นมักจะออกมาจากสองบริษัท ก็คือ บริษRacal-Vadic และบริษัท AT&T โดยที่ทาง บริษัท AT&T ได้ผลิตโมเด็มรุ่น Bell 212a ส่วนบริษัท Racal-Vadic ได้ผลิตโมเด็มรุ่น 3400 ซึ่งมีความเร็วที่เท่ากัน คือ 1,200 BPS ต่อมาโมเด็มรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการผลิตในยุโรปได้ใช้มาตรฐาน CCITT V.22 bis และมีความเร็วในการสื่อสารที่สูงกว่ารุ่นก่อน ๆ คือ 2,400 BPS และทางบริษัท CCITT ได้มีการพัฒนาโมเด็มออกมาเรื่อย ๆ และได้ออกมาตรฐานโมเด็มความเร็ว 9,600 BPS ประมาณปี ค.ศ.1984 บริษัทต่าง ๆ ได้พัฒนาโมเด็มที่มีความเร็วสูงออกมา ซึ่งจะต้องใช้เทคนิคการผสมสัญญาณพิเศษหลายอย่างเพื่อที่จะส่งข้อมูลได้คราวละมาก ๆ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียงได้เพียง 1,600 Baud ดังนั้นผู้ผลิตแต่ละรายจึงได้มีการพัฒนาเทคนิคการย่อข้อมูลการผสมสัญญาณ และวงจรส่วนควบคุมความถูกต้องของข้อมูลขึ้น จนถึงขั้นที่ใช้ชิปไมโครโปรเซสเซอร์เข้ามาควบคุมการทำงานของโมเด็มโมเด็มความเร็ว 9,600 BPS ตัวแรก ก็คือ โมเด็มของ Telebit รุ่น Trail Blazer ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์เบอร์ 68000 ของโมโตโรล่าทำงานกับ ROM 512K และ RAM 1MB หลังจากนั้นไม่นาน บริษัท Hayes บริษัท U.S.Robotics และบริษัทอื่น ๆ ก็ได้มีการแข่งขันในด้านการพัฒนาโมเด็มให้มีความเร็วมากยิ่งขึ้น และได้มีการกำหนดมาตรฐานใหม่ ก็คือ V.32bis ซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูลถึง 14,400 BPS (สุรชัย เพิ่มสินทวี, 2537: 63-67) และในปัจจุบันโมเด็มก็ได้มีการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ
มาตรฐาน
Bell/CCITT/ITU-T
ในช่วงแรกๆ Bell,
CCITT และ ITU-T ได้สร้างมาตรฐานของวิธี Modulation, Data tranfer และ Data Compression
ซึ่งจะใช้สำหรับอเมริกา และ CCITT เป็นมาตรฐานนานาชาติ จน CCITT ได้เปลี่ยนมาเป็น
ITU-T (International elecommunicaitons UnionTelecommunication Standardization
Sector ซึ่งในปัจจุบันได้ใช้มาตรฐาน V. เป็น CCITT/ITU-T
ข้อกำหนดของโปรโตคอลชั้นกายภาพ
(Physical Layer Protocal)
การที่จะเข้าไปใช้บริการภายในโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิตอลหรือ
ISDN ผู้ใช้บริการจะต้องทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารของตนเข้ากับโครงข่าย ISDN
การเชื่อมต่อนี้ก็จะต้องมีกฎ ระเบียบ และวิธีปฏิบัติ หรือที่เรียกว่า โปรโตคอล
(Protocal) ของโครงข่าย ISDN ทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (CCITT) ได้กำหนดรูปแบบการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สื่อสารกับโครงข่าย
ISDN ไว้ 2 แบบ คือ Basic Rate Interface (BRI) และ Primary Rate Interface (PRI)
โดยแยกคุณสมบัติการเชื่อมต่อตามแบบโปรโตคอลของแบบจำลอง OSI ออกเป็น 3 ชั้น คือ
ชั้นที่ 1 เป็นโปรโตคอลชั้นกายภาพ (Physical Layer Protocal), ชั้นที่ 2 เป็นโปรโตคอลชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
(Data Link Layer Protocal), และชั้นที่ 3 เป็นโปรโตคอลชั้นโครงข่าย (Network
Layer Protocal) การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สื่อสารกับโครงข่ายนั้นตำแหน่งการเชื่อมต่อทางกายภาพอาจจะเกิดที่จุดเชื่อมต่อมาตรฐานใดๆ
(R, S, T และ U) ก็ได้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารที่จะนำมาต่อโปรโตคอลชั้นที่
1 หรือโปรโตคอลชั้นกายภาพ เป็นโปรโตคอลที่กล่าวถึง กฎ ระเบียบ และวิธีการเชื่อมอุปกรณ์สื่อสารเข้ากับโครงข่าย
ISDN แสดงคุณสมบัติที่แท้จริงในการเชื่อมต่อ เช่น ไลน์โคดดิ่ง, สัญญาณที่ใช้ติดต่อ
ใช้รหัสอะไร, แรงดันไฟฟ้าเท่าไรแทนบิต "1" ในขณะที่แรงดันไฟฟ้าเท่าไรแทนบิต
"0" , ลักษณะของเต้าเสียบหรือตัวเชื่อมต่อ, จำนวนเข็ม (Pin) และหน้าที่ของแต่ละเข็มของเต้าเสียบ
เป็นต้น โดยที่มีชื่อเรียกมาตรฐานวงจรเชื่อมต่อที่แตกต่างกันไป ตามแต่สถาบันและบริษัทผู้ผลิต
มาตรฐานสำหรับวงจรเชื่อมต่อจึงได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานขึ้นมาใช้เองเช่น Electronic
Industries Association (EIA) ได้สร้างมาตรฐาน Recommended Standard (RS) และสหภาพโทรคมนาคม
(CCITT) ได้สร้างมาตรฐานการเชื่อมต่อตระกูล V และ X เป็นต้น
1.มาตรฐานการเชื่อมต่อ
(Standards Interface)
มาตรฐานการเชื่อมต่อ
คือ การกำหนดลักษณะของเต้าเสียบ, จำนวนเข็มและหน้าที่ของแต่ละเข็มของเต้าเสียบ
, แรงดันไฟฟ้าที่แทนบิต "1" และ "0" รวมถึงสายเคเบิลที่ใช้เชื่อมระหว่างต่ออุปกรณ์ปลายทางข้อมูล
(Data Terminal Equipment : DTE) กับอุปกรณ์ปลายทางวงจรข้อมูล (Data Circuit
Terminal Equipment : DCE) ซึ่งมีดังนี้
1.RS232
หรือ V.24
เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ปลายทางข้อมูล
(DTE) กับอุปกรณ์ปลายทางวงจร (DCE) เพื่อใช้ในการส่งทอดข้อมูลไบนารี (Binary)
แบบอนุกรม โดยที่ RS232 เป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นจาก EIA ซึ่งจะเทียบเท่ากับมาตรฐาน
V ที่กำหนดโดย CCITT คุณสมบัติทางกลของ RS232 ได้กำหนดให้ใช้เต้าเสียบที่มีขนาด
25 เข็ม ซึ่งแต่ละเข็มจะมีสายเคเบิลต่ออยู่ 1 เส้น ทำให้ต้องใช้สายเคเบิลจำนวน
25 เส้นที่มีลักษณะเป็นสายแพ และคุณสมบัติทางไฟฟ้าของ RS232 ที่ใช้ในการเชื่อมต่อสัญญาณดิจิตอลนั้น
แรงดันไฟบวกในช่วง +3 โวลต์ ถึง +25 โวลต์ แทนบิต "0" หรือ "ON"
และใช้แรงดันไฟลบในช่วง -3 โวลต์ ถึง -25 โวลต์ แทนบิต "1" หรือ "OFF"
ส่วนแรงดันไฟฟ้าในช่วง -3 โวลต์ ถึง +3 โวลต์ นั้นเป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงและไม่มีเสถียรภาพ
2.RS449
เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ปลายทางข้อมูล
(DTE) กับอุปกรณ์ปลายทางวงจรข้อมูล (DCE) เพื่อใช้ในการส่งทอดข้อมูลไบนารีแบบอนุกรม
โดยที่มาตรฐานการเชื่อมต่อของ RS449 ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้แทนมาตรฐาน RS232 ในกรณีที่ต้องการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
ตามมาตรฐานของ RS449 สามารถที่จะส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 2 Mbps ด้วยการใช้สายเคเบิล
SWG เบอร์ 24 ที่มีความยาว 200 เมตร เชื่อมต่อระหว่าง DTE กับ DCE เมื่อเปรียบเทียบมาตรฐาน
RS449 กับมาตรฐาน RS232 แล้ว มาตรฐาน RS449 มีฟังก์ชันเพิ่มขึ้น 10 ฟังก์ชัน
ได้แก่
ฟังก์ชันที่ทำหน้าที่ควบคุมและทดสอบฟังก์ชันใน
DCE
-
Local Loop Back หรือ LL
-
Remote Loop Back หรือ RL
-
Test Mode หรือ TM
ฟังก์ชันที่ทำหน้าที่ควบคุมสถานะการส่งทอดข้อมูลของ DCE เพื่อสนับสนุนระบบการสื่อสารข้อมูล
-
Select Standby หรือ SS
-
Standby Indicatro หรือ SB
ฟังก์ชันที่ทำหน้าที่ควบคุมการเลือกความถี่ในการรับส่งข้อมูล
-
Select Frequency หรือ SF
ฟังก์ชันที่บอกให้ทราบว่าอุปกรณ์ปลายทางใดอยู่ภายในกลุ่มที่ให้บริการ
-
Terminal in Service หรือ TS
-
New Signal หรือ NS
ฟังก์ชันที่ให้บริการสัญญาณกราวน์ (Ground) ทางด้านรับและส่ง
-
Send Common หรือ SC
-
Receive Common หรือ RC
สำหรับคุณสมบัติทางกลของมาตรฐาน
RS449 ได้กำหนดให้ใช้เต้าเสียบ 2 แบบ คือ แบบแรกเป็นการใช้เต้าเสียบแบบไพมารี(Primary)
มีจำนวนเข็ม 37 เข็มและแบบที่สองเป็นการใช้เต้าเสียบแบบเซคันดารี (Secondary)
มีจำนวนเข็ม 9 เข็ม และเมื่อพิจารณาคุณสมบัติทางไฟฟ้าแล้ว วงจรแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรฐาน
RS449 จะครอบคลุมการใช้งานของมาตรฐาน RS232A และ RS422A3.X.21 เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ปลายทางข้อมูล
(DTE) เพื่อใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบซิงโครนัส (Synchronous) ภายในโครงข่ายสื่อสารข้อมูลสาธารณะมาตรฐานการเชื่อมต่อทางกายภาพ
X.21 เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อทางกายภาพที่มีความสมบูรณ์ในการเชื่อมต่อมากกว่ามาตรฐานการเชื่อมต่อทางกายภาพที่ได้กล่าวมาแล้ว
กล่าวคือ มาตรฐานเชื่อมต่อทางกายภาพที่กล่าวมานั้นเป็นการเชื่อมต่อที่ง่าย ใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีความฉลาดน้อย
สถานะของสัญญาณไฟฟ้าภายในสายนำสัญญาณจะมาสถานะที่ ON และ OFF เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม
X.21 จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีความฉลาดโดยการใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ในการควบคุมการเชื่อมต่อทางกายภาพ
และลดจำนวนสายนำสัญญาณที่ต้องการใช้ในการเชื่อมต่อด้วยการส่งทั้งข้อมูลและรหัสควบคุมไปบนสายนำสัญญาณเส้นเดียวกันโดยที่มีกฎ
ระเบียบและวิธีการเชื่อมต่อทางกายภาพในการแยกข้อมูลออกจากรหัสควบคุม ซึ่งไมโครโปรเซสเซอร์ทำงานทั้งหมดคุณสมบัติกลของ
X.21 ได้กำหนดให้ใช้เต้าเสียบที่มีจำนวนเข็ม 15 เข็ม ในการเชื่อมต่อภายใน
15 เข็มนี้โดยปกติจะมีเพียง 4 สัญญาณเท่านั้นที่ไวงาน (Active) บนตัวเชื่อมต่อ
ยกเว้นสัญญาณเวลา (Timing Signal) สัญญาณทั้ง 5 ชุดนี้ได้แก่ T, C, R, I และ
S มีความหมายดังนี้
- วงจร T (Transmit
Data) เป็นวงจรที่ส่งสัญญาณควบคุมในการส่งข้อมูลจาก DTE ไปยัง DCE
- C (Control)
เป็นวงจรที่ส่งสัญญาณควบคุมในการส่งข้อมูลจาก DTE ไปยัง DCE
- R (Receive)
เป็นวงจรที่ส่งสัญญาณข้อมูลและสัญญาณควบคุมจาก DTE ไปยัง DCE
- I (Indication)
เป็นวงจรสำรองที่ใช้ในการส่งสัญญาณควบคุมจาก DTE ไปยัง DCE
- S (Timing Signal)
เป็นวงจรที่ส่งสัญญาณเพื่อใช้ควบคุมช่วงเวลาในการส่งบิตของข้อมูล
การเชื่อมต่อตามมาตรฐาน
X.21 ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีข้อจำกัดในการเชื่อมต่อ
ดังนั้น ในอนาคตจึงสามารถขยายการเชื่อมต่อได้มากเท่าที่จำเป็นได้ เช่น การเพิ่มฟังก์ชันการควบคุมสามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนโปรแกรมการทำงานของไมโครโปรเซสเซอร์
แต่สำหรับการเชื่อมต่อแบ RS232 และ RS449 นั้น การเพิ่มสัญญาณควบคุมเข้าไปสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มจำนวนเต้าเสียบและสายนำสัญญาณ
ดังนั้น ถ้า X.21 มีความสามารถเหนือมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบอื่นๆ ที่กล่าวมา เหตุใดจึงไม่มีการใช้งาน
X.21 ในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สื่อสารข้อมูลอย่างกว้างขวาง เพราะ ความแพร่หลายของมาตรฐานการเชื่อมต่อของ
RS232 จึงทำให้ผู้ขายอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล อึดอัดที่จะแนะนะ X.21
3.
คอนเนกเตอร์หรือเต้าเสียบ ที่จุดเชื่อมต่อมาตรฐาน R, S, T และ U
จากมาตรฐานการเชื่อมต่อ EIA RS232, EIA
RS449 และ CCITT X.21 ที่ได้กล่าวมานั้น ส่วนมากจะใช้ในกาเชื่อมต่อที่จุดเชื่อมต่อมาตรฐาน
R เพราะว่าจุดเชื่อมต่อมาตรฐาน R นี้ จะใช้ในการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสารที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับ
ISDN และที่จุดเชื่อมต่อมาตรฐาน S ใช้ตัวคอนเนกเตอร์ 8 ขา ส่วนคอนเนกเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อมาตรฐาน
U นั้น ใช้ตัวคอนเนกเตอร์หรือเต้าเสียบที่มี 2 สายหรือตัวคอนเนกเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโทรศัพท์กับคู่สายขององค์การโทรศัพท์
4.
การให้บริการของโปรโตคอล
โปรโตคอลชั้นที่ 1 หรือโปรโตคอลชั้นกายภาพ
(Physical Layer Protocal) จะให้บริการกับโปรโตคอลชั้นที่ 2 หรือโปรโตคอลชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
(Data Link Layer Protocal) ที่บริเวณจุดเชื่อมต่อมาตรฐาน S และ T ในโครงสร้างช่องสัญญาณแบบ
BAI โดยอาศัยวงจร 4 สายซึ่งแยกเป็นวงจรสำหรับรับข้อมูล 2 สาย และส่งข้อมูลอีก
2 สาย ทำให้สามารถรับและส่งสัญญาณได้พร้อมๆ กันทั้ง 2 ทิศทาง ข่าวสารและข้อมูลที่ผ่านวงจรนี้ประกอบด้วย
ช่องสัญญาณ B 2 ช่อง, ช่องสัญญาณ D 1 ช่อง และรหัสควบคุมที่ใช้ในการกำหนดและการจัดเฟรม
โดยสัญญาณข้อมูลและรหัสควบคุมทั้งหมดจะถูกนำมาทำการมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งเวลา (Time
Division Multiplexing) ทำให้สัญญาณข่าวสารทั้งหมดมีอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น
192 Kbps รวมทั้งการให้บริการส่งบิตของข้อมูลและข่าวสารในลักษณะที่เป็นลำดับเดียวกันกับที่ถูกส่งมาจากชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
(Data Link Layer) ไปให้กับชั้นกายภาพ (Physical Layer) แล้วแจ้งสถานีทางกายภาพของวงจรในระดับชั้นกายภาพให้กับชั้นที่สูงขึ้นไปทราบและทำการส่งต่อข่าวสารของชั้นเชื่อมโยงข้อมูลตามลำดับความสำคัญของข่าวสารนั้น
ข้อกำหนดของโปรโตคอลชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
(Data Link Layer Protocal)
การติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์สื่อสารปลายทางกับโครงข่าย
ISDN นั้น นอกจากจะใช้วงจรเชื่อมต่อทางกายภาพแล้วยังต้องมีกฎ ระเบียบ และวิธีการปฏิบัติ
เพื่อให้อุปกรณ์สื่อสารปลายทางและโครงข่าย ISDN สามารถตีความหมายข้อมูลได้ รวมทั้งสามารถบอกได้ว่าข้อมูลที่รับส่งนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
หรือข้อมูลที่รับได้มีความไม่สมบูรณ์ ตลอดจนสามารถที่จะป้องกันและแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการส่งข้อมูลซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า
โปรโตคอล (Protocal)โปรโตคอลที่ใช้ในชั้นเชื่อมโยงข้อมูลนี้มีอยู่ด้วยกันหลายตัว
แต่ละตัวก็จะมีหลักการพื้นฐานที่เหมือนกันและแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นตัวอย่างโปรโตคอลที่มีใช้ในชั้นเชื่อมโยงข้อมูลมีดังนี้
1. High Level Data Link Control หรือที่เรียกว่า
HDLC ซึ่ง HDLC ถูกสร้างขึ้นมาตามข้อกำหนดของ องค์การมาตรฐานสากลแห่งชาติ หรือ
ISO
2. Synchronous Data Link Control หรือที่เรียกว่า
SDLC เป็นโปรโตคอลในชั้นเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้รับการพัฒนามาจากบริษัท IBMเพื่อใช้กับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของ
IBM
3. Binary Synchronous Communication Control
หรือ BSC
4. Burroughs Data Link Control หรือ BDLC
5. Universal Data Link Control หรือ UDLC
6. Advanded Data Communication Control
Protocal หรือ ADCCP
7. Digital Data Communication Message
Protocal หรือ DDC
สำหรับโปรโตคอลที่ทำงานบนช่องสัญญาณ
D ที่ใช้ในโครงข่าย ISDN นั้นเราเรียกว่า LAP-D (Link Access Procedure on the
D Channel) ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญ คือ
1. โปรโตคอล LAP-D จะเป็นอิสระจากอัตราเร็วที่ใช้ในการรับส่งข้อมูล
2. การรับส่งข้อมูลบนช่องสัญญาณ D เป็นแบบ
2 ทิศทาง (Full-Duplex)
3. ลักษณะการส่งข้อมูลไปบนช่องสัญญาณ D
เป็นแบบ Bit-Transparent
ลักษณะทั่วไปของโปรโตคอล LAP-D
โปรโตคอลที่ทำงานบนช่องสัญญาณ D ที่ใช้ในโครงข่าย
ISDN เรียกว่า LAP-D ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการรับส่งข้อมูลในรูปแบบของเฟรมข้อมูล
การกำหนดรูปแบบของข้อมูลการตรวจสอบข้อผิดพลาดในการส่งข้อมูล และการควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านโครงข่ายซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของ
CCITT Recs I.440 และ I.441 โดยมีพื้นฐานมาจากโปรโตคอล HDLC ที่กำหนดโดย ISO
ในแบบจำลอง OSI เช่นเดียวกับโปรโตคอล LAP-B (Link Access Procedure Balanced)
ในชั้นเชื่อมโยงข้อมูลของ X.25 ทำให้โปรโตคอล LAP-D มีลักษณะคล้ายคลึงกับโปรโตคอล
LAP-B โดยทั้งที่ LAP-D และ LAP-B ก็เป็นซับเซต(Subset) ของโปรโตคอล HDLC ในการส่งข้อมูลจากชั้นโครงข่าย
(Network Layer หรือชั้นที่ 3) ไปยังชั้นเชื่อมโยงข้อมูล (Data Link Layer หรือชั้นที่
2) เพื่อส่งข้อมูลไปในช่องสัญญาณ D สามารถกระทำได้ด้วยการส่งสัญญาณร้องขอจากชั้นที่
3 ไปยังชั้นที่ 2 โดยอาศัย Service Primitive ซึ่งทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและควบคุมการติดต่อสื่อสารระหว่างชั้นข้างเคียง
(ชั้นที่ 1 และชั้นที่ 3) โดยที่ Primitive ที่ใช้จะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
1.
Request เป็น Primitive ที่ส่งจากชั้นที่สูงกว่าไปยังชั้นที่ต่ำกว่า เพื่อใช้บริการของชั้นที่ต่ำกว่า
2. Indication เป็น Primitive ที่ส่งจากชั้นที่ต่ำกว่าซึ่งเป็นผู้ให้บริการแจ้งไปยังชั้นที่สูงกว่า
ซึ่งเป็นผู้ขอใช้บริการ เพื่อรายงานการปฏิบัติงาน
3.
Response เป็น Primitive ที่ส่งจากชั้นที่สูงกว่าเพื่อตอบรับว่าได้รับ Indication
จากชั้นที่ต่ำกว่า
4. Confirm เป็น Primitive ของชั้นที่ต่ำกว่าหรือชั้นที่ให้บริการ
ใช้ในการแจ้งให้ผู้ขอใช้บริการทราบว่า ได้ทำงานตามคำขอเรียบร้อยแล้ว
หน้าที่ของโปรโตคอล
LAP-D
โปรโตคอล
LAP-D สามารถที่จะให้บริการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด หรือจุดต่อหลายจุดบนช่องทางการสื่อสารเดียวกันได้
ทำให้ผู้ใช้บริการโครงข่าย ISDN สามารถที่จะทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารปลายทาง
เพื่อรับส่งข้อมูลได้หลายตัว เพราะโปรโตคอล LAP-D อนุญาตให้มี Entity หลายตัวในชั้นเชื่อมโยงข้อมูล
ที่ให้บริการกับ Entity ภายในชั้นโครงข่ายได้ ทำให้สามารถเชื่อมต่อวงจรสื่อสารข้อมูลในชั้นที่
2 ได้มากกว่า 1 วงจร ด้วยการส่งข้อมูลที่มีรูปแบบในลักษณะเฟรมตามข้อกำหนดของโปรโตคอล
LAP-D ที่เรียกว่า Data Link Connection Indentical(DLCI) ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงความแตกต่างของวงจรเชื่อมต่อข้อมูลแต่ละวงจร
โปรโตคอล LAP-D ยังมีหน้าที่ในการกำหนดลำดับที่ถูกต้อง เพื่อทำให้สามารถส่งกลุ่มบิตข้อมูลไปในช่องสัญญาณ
D ได้ และยังมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในวงจรเชื่อมต่อข้อมูล
การแก้ไขข้อผิดพลาดที่ตรวจพบ ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็จะแจ้งให้ชั้นที่สูงทราบ รวมทั้งการควบคุมการไหลของเฟรมข้อมูลการรับข่าวสาร
มาตรฐานของ โปรโตคอล
LAP-D ได้กำหนดให้มีการส่งข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อมาตรฐานไว้ 2 รูปแบบด้วยกัน
คือ
การรับส่งข้อมูลแบบ Unacknowledged กับการรับส่งข้อมูลแบบ Acknowledged
-
การรับส่งข้อมูลแบบ Unacknowledged
เป็นการส่งข้อมูลที่ไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่า
ข้อมูลไปถึงผู้รับหรือไม่ เพราะว่าข้อมูลที่ถูกส่งมาจากชั้นโครงข่ายจะถูกส่งออกไปโดยเฟรม
U และเมื่อทำการส่งเฟรมข้อมูลไปแล้วเครื่องส่งจะไม่รอสัญญาณตอบรับว่าได้รับเฟรมข้อมูลแล้ว
แต่จะทำการส่งเฟรมข้อมูลต่อไป ทำให้เครื่องส่งข้อมูลไม่สามารถทราบได้ว่ามีเฟรมข้อมูลหายไประหว่างทางหรือไม่
รวมทั้งไม่สามารถควบคุมการไหลของข้อมูลได้ อย่างไรก็ตาม การรับส่งข้อมูลแบบ Unacknowledged
ก็มีข้อดีตรงที่สามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ Acknowledged ซึ่งมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในการส่งข้อมูลแบบกระจายข่าว
(Broadcast) และการส่งข้อมูลแบบจุดต่อจุด
-
การรับส่งข้อมูลแบบ Acknowledged
เป็นการรับส่งข้อมูลที่มีลักษณะคล้ายกับโปรโตคอล
LAP-B และโปรโตคอล HDLC ในการรับส่งข้อมูลแบบ Acknowledged นี้สามารถควบคุมการไหลของข้อมูลได้
การแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการส่งข้อมูล เนื่องจากข้อมูลที่ส่งมาจากชั้นโครงข่าย
จะถูกส่งออกไปด้วย เฟรมข้อมูลนี้กำหนดขึ้นโดยโปรโตคอล LAP-D หลังจากที่ได้ส่งเฟรมข้อมูลออกไปแล้ว
เครื่องส่งก็จะไม่สามารถที่จะส่งเฟรมข้อมูลต่อไปได้อีกจนกว่าจะได้รับสัญญาณตอบรับจากเครื่องรับว่าได้รับเฟรมข้อมูลที่สงไปให้เรียบร้อยแล้ว
จึงเป็นการรับประกันได้ว่าเครื่องรับเฟรมข้อมูลที่ส่งไปอย่างแน่นอน โดยทั่วๆ
ไป การรับส่งข้อมูลแบบ Acknowledged นี้ใช้ได้เฉพาะกับการรับส่งข้อมูลแบบจุดต่อจุดเท่านั้น
ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังนี้