|
.......................................อัศจรรย์ "น้ำพุร้อน" วัดวังขนาย ...............................................รักษา "โรคร้าย" ได้อย่างน่าพิศวง !!! .........เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวเกรียวกราวปรากฏบน "หน้าหนึ่ง" ของหนังสือพิมพ์รายวัน เกี่ยวกับการที่ชาวบ้านเป็นจำนวนมาก พากันแตกตื่นไปอาบน้ำร้อน "ศักดิ์สิทธิ์" ที่วัดวังขนาย จังหวัดกาญจนบุรี ที่บอกว่าน้ำร้อน "ศักดิ์สิทธิ์" ก็สืบเนื่องมาจาก มีชาวบ้านที่เจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก ได้มาอาบน้ำร้อนที่วัดวังขนาย จากนั้นอาการป่วยไข้ก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ !!! |
![]() |
|
![]() |
|
|
|
วัดแห่งนี้ในสมัยก่อนหลวงพ่อสดวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านได้มาฝึกกัมมัฏฐานร่วมกับอุปัชฌาย์เดียวกันกับอาตมา โยมพ่อเป็นข้าราชการประจำที่กระทรวงกลาโหม โยมแม่มีอาชีพทำไร่ ฐานะทางบ้านถ้าจะส่งก็จะส่งให้เรียนจบถึงที่สุด แต่มันก็มีปัญหาทำให้ชีวิตของอาตมาหักเห คือ หลังจากจบ ป. 7 แล้ว อาตมาก็ไปสมัครสอบที่โรงเรียนประจำจังหวัด ปรากฏว่าสอบติดแต่เกิดป่วย จึงได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลทุกที่ โดยเฉพาะโรงพยาบาลมงกุฎ เพราะโยมพ่อเป็นลูกจ้างของมหาดไทยก็ต้องส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎ แต่อาการป่วยก็ไม่หายจึงให้อาจารย์ไล้ วัดเขาใหญ่ รักษาอาตมาจนหาย โดยการอาบน้ำมนต์และพอกแป้ง จากที่เดินไม่ได้ก็เดินได้ หลังจากนั้นประมาณ 15 วันก็บวชเณรที่วัดเขาใหญ่อยู่กับอาจารย์ไล้มาตลอด ท่านแนะนำเกี่ยวกับเรื่องยาต้ม ทำยาสมุนไพร ..........ต่อมาอาตมาได้สร้างวัดคือวัดหนองมงกุฎ อำเภอท่าม่วง โดยไม่ต้องไปหากระถินผ้าป่าที่ไหนเลย เพียงแต่โยมที่มาต้มยาและช่วยกันทำบุญ ที่ วัดหนองน้ำขุ่น พอบวชแล้วก็คิดว่าอยากจะเรียนบาลี โดยอาศัยที่วัดวังขนายเป็นสำนักบาลี อาจารย์ก็เลยส่งมาเรียนที่วัดวังขนาย เรียนและพักอยู่ที่นี่ประมาณ 6 ปี หลังจากนั้นก็ไปเรียนที่มหาจุฬา พักอยู่ที่วัดมงคลวราราม แขวงบางคล้อง เขตจอมทอง อยู่ที่นั่นประมาณ 16 ปี ในระหว่างที่เรียนก็สอนหนังสือโรงเรียนวัดมงกุฎวราราม 12 ปี สอนโรงเรียนธนบุรีศึกษาอยู่ 8 ปี พอหลวงพ่อที่วัดวังขนายมรณภาพ ทางวัดไม่มีพระที่สมควรได้รับเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบลก็นิมนต์อาตมาให้มาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี 2536 เมื่อก่อนวัดไม่ดังเพราะหลวงพ่อองค์เก่าจะเน้นการเผยแพร่ ท่านเทศน์เก่ง สามารถจะสอนให้คนเป็นคนดีได้ พอมาตอนหลังอาตมาเป็นสมภารอยู่ที่นี่ อันที่จริงก็เหมือนสมภารทั่วไป ปีแรกจำได้ว่าเราได้กฐิน เป็นเงินทั้งสิ้น 101,000 บาท กฐินในระยะนั้นก็มากพอสมควร แต่ถ้ามาเทียบกับวัดวังขนาย 101,000 บาท วัดวังขนายอยู่ไม่ได้ เพราะค่าไฟเดือนๆ นึงก็ 8,000 บาทแล้ว ถ้าถึง 100,000 เราทำอะไรไม่ได้เลย ก็อาศัยพุทธคุณคือการสวนมนต์ ภาวนา อธิษฐานธรรมไปเรื่อย ..........หลังจากกฐินแล้วอาตมาก็ฝันว่ามีคนแต่งชุดขาวบอกว่า ต่อไปถ้าจะเจาะบ่อน้ำให้มาเจอะด้านหน้าวัด แล้ววัดจะเจริญ แล้วเขาก็เดินออกไป อาตมาก็ไม่ได้ติดใจเรื่องฝันอะไรมากมาย พอประมาณ 6 เดือน น้ำที่ทางวัดใช้อยู่ประจำซึ่งเป็นน้ำจากบ่อบาดาล ซึ่งมีสะเมิร์ทก็มีอันเป็นไปสูบขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง ให้ช่างมาดูก็แล้วเปลี่ยนสะเมิร์ทไปแล้ว 3 ตัว ตอนนั้นก็เลยบอกกับญาติโยมว่า ต่อไปนี้อาตมาจะเจาะบ่อหน้าวัด แต่ก็มีโยมหลายคนบอกไม่ให้เจาะ เพราะบ่อน้ำควรจะอยู่หลังวัด อาตมาเห็นก็ขอร้องว่ายังไงก็ขอทำหน้าวัด เพราะเราถือว่าเป็นสิทธิของเจ้าอาวาสในวัดนี้ ถ้ามีใครขัดแต่ไม่ขัดจนเกินไปก็จะฝืนใจทำ ก็ฝืนทำปรากฏว่าปี 40 ลงมือเจาะบ่อบาดาล เราก็รู้ว่าที่วัดน่ะน้ำร้อนทั้งหมด 90 ไร่ แต่เมื่อน้ำร้อนออกมา เราก็มาปรึกษาทางโรงเหล้า คือคุณสุรพันธ์ ผู้จัดการโรงงานแสงโสม ให้ความคิดว่าน่าจะทำโครงการเกี่ยวกับการอาบน้ำแร่ ก็เลยทำโครงการ ชาวบ้านก็ยังไม่ค่อยยอมเพราะอยากจะให้ทำหลังวัด อาตมาบอกว่าถ้าเราทำหน้าวัด เราสามารถมองเห็น อยู่หลังวัดมองเห็นหน้าวัด แต่ถ้าเราอยู่หน้าวัดมันมองไม่เห็นหลังวัด มันก็เป็นปัญหาสวนกระแสของชาวบ้าน จนกระทั่งเราทำอะไรหลายๆ อย่างให้ชาวบ้านเห็น จริงเท็จยังไงไม่ทราบ หลวงพ่อองค์เก่าเล่าให้ฟังว่า .........เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสไทรโยค ทุกคนก็ประดับธงไว้หน้าบ้าน แต่วังขนายมีอยู่ 2-3 บ้านที่ไม่ทำ กลับไปเอาผ้าถุงมาตาก รัชกาลที่ 5 ท่านตรัสว่าหมู่บ้านนี้สงสัยจะเป็นบ้า ตั้งแต่นั้นมาวังขนายก็ถดถอยมาตลอด จากเป็นอำเภอ ก็ต้องเป็นตำบล จากที่บ้านเคยอุดมสมบูรณ์ก็ต้องเป็นคนแร้นแค้น ในหมู่บ้านมีคนวิกลจริตอยู่ 2-3 หลัง เวลานี้ก็ยังคงมีอยู่ในหมู่บ้าน ได้รับข่าวทางนี้ก็มาเป็นสมภารแล้ว ปี2537 ก็แนะนำญาติโยมให้มาขอขมารัชกาลที่ 5 ที่บรมรูปทรงม้า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พอไปขอขมาได้ 2 อาทิตย์ โยมที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เอาเงินมาถวายล้านกว่าบาท โดยที่ทางวัดไม่ได้ตั้งตัวเลย แต่ปีต่อมาก็พาญาติโยมไปไหว้รัชกาลที่ 5 ทุกปี 3 ปีติดต่อกัน .........ตั้งแต่นั้นมาเวลาวัดวังขนายจะทำอะไรก็ราบรื่น จากการทอดกฐินได้ปีละแสน ก็ได้ปีนึง 5 แสน บางปีได้ 7 แสน อาตมาก็ประชุมคณะกรรมการยุคแรกครั้งแรกบอกกับกรรมการวัดว่า เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ใครจะให้เรา คือเราต้องพัฒนาตัวเอง เราต้องพัฒนาชุมชน เราต้องพัฒนาหมู่บ้านของเรา ถ้าหมู่บ้านเรารักใคร่สามัคคีเงินมันก็จะมาเอง ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน โดยเฉพาะเป็นพระสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติแบบนี้เงินจะมาเอง อาตมาเองสังเกตว่า ก่อนที่บ่อน้ำแร่จะเกิดขึ้นมีเงิน 8 หมื่น หมดเงินสร้างโบสถ์ หลวงพ่อเก่าทิ้งเงินไว้ล้านกว่าบาท อาตมาก็สร้างหมดไปประมาณ 15-16 ล้าน ช่วงระยะเป็นสมภารเพียง 5-6 ปี ก่อนที่จะมีบ่อน้ำก็เหลือ 8 หมื่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าครูพี่เลี้ยง เดือนนึงก็ประมาณ 3 หมื่นเกือบ 4 หมื่น คิดว่าประมาณ 8 หมื่น เดือนสองเดือนก็หมด พอดีบุญพาวาสนาช่วย ก็เลยมีคนหันมาช่วย ที่นี้ก็นับเงินอย่างเดียว แต่นับเงินคือเราจะให้เจ้าคณะนับเอง เราจัดองค์กรทำยังไงให้ชาวบ้าน รู้คุณค่าของน้ำ ว่าทรัพยากรท้องถิ่นเกิดขึ้นแล้ว เราต้องช่วยกันปกป้องดูแลรักษา เวลานี้ก็มีพนักงานดูแลวัด 56 คน เดือนนึงที่เราต้องใช้จ่ายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ก็ประมาณ 2 แสนกว่าบาท เงินที่ได้ก็คือจากชาวบ้าน เวลานี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้วัดวังขนายเป็นศูนย์การท่องเที่ยว เป็นวัดแรกของจังหวัดกาญจนบุรีที่มีการท่องเที่ยว เท่าที่ถามมาว่าวัดไหนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกต้อง ก็บอกว่าไม่มีวัดไหนเลย เพิ่งจะมีวัดวังขนายเป็นวัดแรก" หลวงพ่อสมพงษ์กล่าวกับทีมงาน "เหนือคำบรรยาย" .......สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดวังขนาย ............หลวงพ่อสรรเพชร คือ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ (เป็นพระประธานของวัดวังขนาย) ตามคำบอกเล่าของ คุณสมเกียรติ จงเจริญ เจ้าหน้าที่วัดวังขนาย มีหน้าที่ดูแลจัดการภายในบริเวณวิหารหลวงพ่อสรรเพชร ได้เล่าว่า ตามคำบอกเล่าของคนสมัยก่อน หลวงพ่อสรรเพชร ท่านลอยน้ำมาตามแม่น้ำแม่กลอง ชาวบ้านจึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดวังขนาย ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อสรรเพชรจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปก็คือ เรื่องของ "โชคลาภ" น้ำร้อนในวัดวังขนาย มีอุณหภูมิประมาณ 42 องศาเซลเซียส ถือว่ากำลังดีในการที่จะอาบเพื่อสุขภาพ มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากหลั่งไหลมาใช้บริการ ปรากฏว่าหายจากอาการเจ็บป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วย ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ทรมานจากโรคร้าย ..........การมาอาบน้ำร้อนที่วัดวังขนาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตศรัทธาของท่านในการที่จะทำบุญให้กับทางวัด |