กรีก...ยุคเริ่มของชาวเกย์

                “นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ” นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรนธรถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการเสวนา เรื่อง “เกย์กับเรือนร่าง” ตั้งแต่ในยุคต้น ๆ ไว้อย่างละเอียดลออว่า

                “ความเป็นมาของผู้ชายรักร่วมเพศหรือที่เรียกจนติดปากว่าเกย์นั้น จริง ๆ แล้วคำว่า “เกย์”เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 แต่รากเหง้าของเกย์คงต้องย้อนกลับไปในยุคกรีกโบราณ ในวรรณกรรมหรือภาพวาดของกรีกได้แอบแฝงความสัมพันธ์ของชายกับชายไว้อย่างหมดจด

                ขณะเดียวกัน ก็มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเพื่อสะท้อนการดำรงอยู่ของกลุ่มชายรักชายเอาไว้ อาทิ “Kalos” ซึ่งหมายถึงความสวยงามในเรือนร่างของเพศชาย

                นฤพนธ์ ยังเล่าถึงสถานที่แห่งหนึ่ง คือ Gymnasium ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยากจะคาดเดาว่า ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกด้านกายภาพสำหรับผู้ชายสมัยกรีก โดยห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าไป พวกเขาเปลือยกายฝึกทั้งกีฬา พละกำลัง ความรักระหว่างชายด้วยกันจึงเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของครูกับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นความรักต่างวัย งอกงามขึ้นท่ามกลางความกระหายใคร่รู้ในวิทยาการ เขาเชื่อว่า น้ำอสุจิ เป็นแห่งพลังความรู้ เมื่อครูถ่ายทอดให้ศิษย์ ศิษย์ก็จะได้ภูมิความรู้นั้น ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เรื่องในลักษณะนี้ยังพบได้ในหลากหลายวัฒนธรรมอย่างชนเผ่าปาปัวนิวกินี เป็นต้น

                ถัดมาในศตวรรษที่ 16 สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของเกย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั้นก็คือ เดวิด ประติมากรรมอันโด่งดังของ ไมเคิล แองเจโล ที่ใช้ความรักหลงใหลในเรือนร่างของเพศชาย เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานทางศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงชีวิตรักที่ผิดแผกของตนอย่างไรก็ตาม ความรักลักษณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้

                ก้าวสู่ยุคมืดของชาวเกย์

                พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 17-18 หรือ ยุคเรเนสซองส์ ซึ่งเป็นยุคพื้นฟูศิลปะวิทยาการ เสื้อผ้าของผู้ชายอังกฤษมีการปรับเปลี่ยนตามสังคมวัฒนธรรมที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคเหตุผล ชีวิตของเกย์ในยุคนี้ไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคม คนทั่วไปถือเป็นสิ่งเลวทรามต่ำช้า ถึงขนาดมีบทลงโทษขั้นรุ่นแรงแก่ชายประเภทนี้ เช่น นำไปเผาทั้งเป็น ปล่อยให้สุนัขกันจนตาย ฉะนั้นเกย์จึงต้องควบคุมพฤติกรรมภายนอกให้แลดูเป็นชายเข้มแข็ง เมื่อไม่สามารถแสดงออกในเวลาปกติได้จึงมีการหลบซ่อนเกิดเป็นชีวิตใต้ดิน หรือที่เรียกว่า Molly House ซึ่งถือว่าเป็นบาร์เกย์รุ่นบุกเบิกเลยก็ว่าได้

                ในช่วงศตวรรษที่ 19 เกย์พยายามเปิดเผยตัวต่อสาธารณชนด้วยแนวคิดเรื่อง Dandy เกย์ที่เป็นคนสาธารณะและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในสังคมออกมาปรากฏตัว พร้อมทั้งเริ่มต้นปฏิวัติแฟชั่น ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่

                Dandy  ไม่เหมือนทั้งเกย์และผู้ชายทั่วไปคือ มักใส่เครื่องประดับมาก ๆ นุ่งกางเกงรัดข้อ สวมรองเท้าหุ้มถึงหัวเข่า ใส่เสื้อหลายชั้นเป็นพิเศษ เกย์ในยุคสมัยนี้ยังคงมีรูปลักษณะ รูปร่างผอมบางเป็นธรรมชาติ ไม่มีกล้ามเนื้อมากนัก ริมผีปากบาง จมูกนิด ปากหน่อย อ่อนหวานและอ่อนช้อย

                ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ชุดสูทคือมาตรฐานของผู้ชาย แฟชั่นของเกย์ก็จะสัมพันธ์กับยุคสมัยมีการใช้สูทแต่เป็นสูที่แปลกจากมาตรฐานเดิม ๆ เช่น อาจทัดดอกคาร์เนชั่น หางนกยูง หรือแต่งสูทสีอื่น ๆ นอกจากสีดำ นอกจากนั้นการเพาะกล้ามยังกลายเป็นค่านิยมความงามของร่างกายของผู้ชาย และเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเกย์ คือ อาจมีกล้ามบ้างแต่ไม่มากเท่ากับนักเพาะกาย

                ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏการณ์เกย์ในหมู่ทหารที่หาทางระบายความต้องการทางเพศออกโดยเพื่อนทหารด้วยกันเริ่มเปิดเผยเมื่อเสร็จสิ้นสงครามในยุคนั้นเกย์จึงมีรูปลักษณ์เข้มแข็งแบบทหารแต่อ่อนหวานแบบอิสตรีเพศ และ “เจมส์ ดีน” ดาราเกย์กลายเป็นภาพลักษณ์ของเกย์ในยุคนั้น คือเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างอ่อนไหว ไม่เข้มแข็ง สามารถร้องไห้ได้ มีความคลุมเครือของความเป็นชาย

                นฤพนธ์เล่าต่อว่า เมื่อมาถึงยุค 50 ช่วงที่ฟิตเนสบูมสุด ๆ เรือนกายของผู้ชายกลายมาเป็นสิ่งกระตุ้นเร้าทางเพศ จึงมักมีการออกกำลังกายหรือเพาะกล้ามเพื่อให้แลดูน่าดึงดูดใจในยุคนี้มีนิตยสารอย่าง Physign Culture ซึ่งถ่ายทอดเกี่ยวกับเรือนร่างของผู้ชายและ Physique Pictorial  เป็นหนังสือเกย์โดยเฉพาะ เป็นที่สนใจและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่เกย์ ถือได้ว่าเป็นยุคทองของสื่อสิ่งพิมพ์เรื่องเกย์ สำหรับสรีระของเกย์ในยุคนี้จะออกไปในแนว อ่อนหวามและบึกบึน

                ส่วนในยุคซิกซ์ตี้เกิดคำนิยามที่ใช้เรียกชายรักร่วมเพศที่ชอบแต่งตัวรวมถึงมีกิริยาเหมือนหญิงทุกอย่างว่า Drag ซึ่งก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ พวก High Camp Drag คือ ชอบแต่งตัวสวยงามมีรูปร่างคล้ายผู้หญิง และพวก Low Camp Drag  พวกนี้จะชอบทำตัวตลกเฮฮา ไม่เน้นความสวยงามเรือนร่างมีมัดกล้ามเหมือนผู้ชาย

                ยุคนี้มีหนังสือที่ขายดีที่สุดชื่อ The Advocate เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในแต่ละวันของเกย์ว่าเป็นอย่างไร แต่จะไม่เน้นภาพถ่ายที่หวือหวา และในยุคนี้เองที่บรรดาเกย์ทั้งหลายได้ลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของตนเองพร้อม ๆ กัน นั้นก็ยังให้ความสำคัญกับสรีระของตนอยู่

                ในยุค 70 เกย์มีไลฟ์สไตล์มากขึ้น การแต่งกายของเกย์เหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป อย่างแยกไม่ออก เพราะเป็น ฮิปปี้ เหมือนกัน แต่จะมีเอกลักษณะที่จะเป็นที่รู้จักกันดีในพวกเดียวกันเช่น ถ้าผู้ชายคนนั้นไว้ผมยาว ห้อยผ้าเช็ดหน้าสีเหลือง ดำและแดง ซึ่งแต่ละสีก็จะมีความนัยที่ซ่อนเร้นอยู่ทั้งสิ้น ห้อยพวงกุญแจ หรือแม้แต่ไว้หนวดและการใส่เสื้อลายสก็อตก็มีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นเกย์

                ยุค 80 เหล่าเกย์ส่วนใหญ่ต้องการใช้ชีวิตเหมือนคนปกติในสังคมจึงหันหน้ามาแต่งตัวเหมือนคนธรรมดา ตัดผมสั้น แต่งกายสะอาดเรียบร้อย เพราะไม่ต้องการถูกมองในแง่ลบ รวมทั้งเกย์ที่สูงอายุได้เรียนรู้ที่จะรักตัวเองและรักคนอื่นในวัยเดียวกันจะเห็นได้จากการที่หันมาเรียกร้องสิทธิทางกฎหมายครอบครัวเรื่องการขออุปการะบุตรบุญธรรม พร้อม ๆ กับภาพลักษณ์ของพ่อที่อบอุ่น ขณะเดียวกัน กระแสสังคมก็พยายามสร้างผู้ชายในรูปลักษณ์ใหม่เรียกว่า นิวแมน เนื่องจากต้องการแบ่งแยกผู้ชายออกจากเกย์อย่างชัดเจน ซึ่งผู้ชายจะมีบุคลิกง่าย ๆ สบาย ๆ เปิดเผย

                ถึงยุคเอดส์คุกคาม

                นฤพนธ์เล่าต่อว่า ในยุค 90 เป็นช่วงที่โรคเอดส์เข้ามาทำความรู้จักกับโลกใหม่ ๆ เกย์กลายเป็นประเด็นทางการเมือง เรือนร่างของเกย์ถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วช้าสกปรก ตัวแพร่เชื้อโรค ดังนั้นผู้ที่มีรูปร่างผอมบางก็จะถูกกระเซ้าจากหมู่เพื่อนว่าเป็นโรคหรือไม่ในยุคนี้แม้แต่ศิลปินก็ไม่กล้าแสดงงานศิลปะ

                สำหรับวัฒนธรรมเรือนร่าง การแต่งกายของเกย์ยังมีการจัดช่วงชั้นคือ ถ้าผอมคนก็คิดว่าเป็นเอดส์ อ้วนมีขนมีพุง ก็จะเรียกว่า แบร์ ส่วนเกย์ที่นิยมมีกล้ามก็มักใช้ยากระตุ้นจำพวกสเตียรรอยด์ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเกย์เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้นในแต่ละช่วงชั้น ทุกคนต่างมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองแต่ยังคงเคารพบรรทัดฐานของเกย์ส่วนใหญ่

                ความเป็นจริงของเกย์ยุคปัจจุบัน

                สำหรับปัจจุบัน เกย์มีความหลากหลายซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไม่มีเอกภาพ ดังจะเห็นได้จากเกย์พาเหรดที่พยายามแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง ฟู่ฟ่า อลังการ ผสมผสานทุกสิ่ง ทั้งความดี ความรัก ความชั่ว ฯลฯ ที่สุดแล้วต่างต้องการให้สังคมยอมรับตรงกันข้ามก็มีเกย์อีกพวกหนึ่งที่เห็นว่า การแสดงออกของเกย์เหล่านี้เป็นการสร้างภาพลักษณ์ในทางลบให้กับเกย์ ซึ่ง 2 กลุ่มนี้ อีกกลุ่มเข้าข่ายลักษณะเปิดเผยอย่างสุดขั่ว ส่วนอีกฝ่ายจะเปิดเผยกับคนบางคนและใช้ชีวิตในสังคมเช่นเดียวกับคนปกติ

                เรือนกายของเกย์ในยุคนี้จะสะท้อนให้เห็นได้ในนายแบบบนแคตวอล์กหลาย ๆ คน ซึ่งส่วนใหญ่ในฝั่งยุโรปจะเน้นรูปร่างที่เป็นธรรมชาติมีกล้ามเล็กน้อย มีคำเรียกเกย์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็น โฮโมเซ็กชวล ในวงการแพทย์ เควียร์ เพศอื่น ๆ ที่นอกจากเกย์เช่น ทรานเจนเตอร์ เรือนร่างของเกย์กลายมาเป็นสินค้า เรียกได้ว่า เกย์ไม่มีนิยามตายตัวเป็นความหลากหลายที่เกิดจากระบบความคิดที่สร้างความแตกต่าง ที่สำคัญทุนนิยมกำลังสร้างค่านิยมเรือนร่างของเกย์ให้กลายมาเป็นสินค้า

                เกย์มีอยู่ในทุกวงการ ทำให้การแต่งกาย วัฒนธรรม เรือนร่างสลับผลัดเปลี่ยนไปมาระหว่างร่างกายในยุคคลาสสิกที่เน้นความเป็นธรรมชาติ และการมีกล้ามเนื้อแบบชายชาตรีก็เป็นที่นิยม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นล้วนได้รับอิทธิพลจากสังคมวัฒธรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคนั้น ๆ

                อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เปลี่ยนไปตามลำดับขั้นจาก 1 ไป 2 แต่ยอกย้อนสลับกันไปมาเป็นพาราด็อก เกิดฉากใหม่ผสมฉากเก่า เพียงแต่ทำให้ดูยากหรือง่ายขึ้น การแปลงเพศในชายที่มีใจเป็นหญิงสะท้อนเพียงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้น แต่ตัวตนที่เป็นก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

                ในสังคมไทยจริง ๆ แล้วเกย์มักลอกเลียนแบบเกย์ในตะวันตก ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองที่เด่นชัด อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่เกย์จะมีเพิ่มมากขึ้นและใฝ่หาคู่ขาที่เป็นชาวต่างชาติมากขึ้น เพราะพวกเขาจะได้รับการยอมรับและสามรถอยู่อย่างเปิดเผยได้

                 back