ขออภัยถ้าบทความนี้ทำให้เครื่องยนต์ M42 ราคาขึ้นมาอีก 100%
ก่อนอื่นขอบคุณคุณ
Mac ที่เอาหนังสือเล่มนี้มาให้เมื่อคืนนี้ หลังจากกลับจากงาน MMM
รอบสระน้ำอาบน้ำอาบท่าขึ้นไปเอนหลังบนเตียงเลยเอามาเปิดดู
และพลิกอ่านกลับไปกลับมาอยู่ที่หน้า 56-60 อยู่ห้ารอบ
พร้อมกับได้ยินเสียงแว่วๆของเครื่อง M42 ที่แผดเสียงแหลมๆเล็กๆอยู่ที่แถวๆ redline
บนตัวถังเหลี่ยมๆคมๆของ E30 พลางบอกกับตัวเองว่า
ยังมีคนอีกฟากโลกนึงยังเห็นและเข้าใจถึงประสิทธิภาพของเจ้าจิ๋ว M42
นี้ว่ามันถูกออกแบบมาให้วิ่งในสนามแข่งอย่างไร
ซึ่งเรื่องนี้ผมพยายามบอกใครๆอีกหลายคนมาโดยตลอดว่าไอ้เครื่องตัวเนี้ย
มันคือเครื่องที่ถูกออกแบบมาในแนว Motorsport; วาล์วแยะ รอบเยอะ สูบน้อย แรงไม่มาก
แต่เร็ว!!!! แต่ไหง
. (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
จึงลุกขึ้นจากเตียงมาเปิดคอมพิวเตอร์เขียนเรียบเรียงเรื่องนี้ ผมเชื่อเสมอมาว่ารถ
BMW เป็นรถที่คนขับจะต้อง ขับเป็น เหมือนกับพวก Alfa Romeo หรือ Porsche
อะไรพวกนั้น จึงจะสามารถดึงเอาสมรรถนะแบบ BMW ออกมาได้ ไม่ใช่แค่สตาร์ทเครื่อง
เข้าเกียร์ เอาขาแปะที่คันเร่งแล้วกดจ๊ากออกไป โดยมีคนร้องว้าว (หรือร้องกล้วย)
ตามหลังมา แต่อย่างไรก็ตามคนที่ไม่สามารถดึงมันออกมาได้
มักจะพิจารณาว่าเครื่องมันไม่แรงเอาไว้ก่อน แต่เคยไม่พิจารณาว่าเราขับอย่างไร
หรือบางทีอาจจะไม่เข้าใจถึง nature ของเครื่องยนต์แบบ German แท้ๆเสียด้วยซ้ำไป
มาลองอ่านกันดู เรียบเรียงจากหนังสือ Total BMW จากบทความ Eight Minute Wonder
เขียนโดย Andrew Everett ที่เค้าเอารถ BMW 318iS E30 ของ (และขับโดย) Fabian
Sigwart ลงไปทดสอบในสนาม Nürburgring และได้ผลออกมาแบบน่าตะลึง ที่ 8.20 วินาที
ก่อนที่จะเริ่มเรื่อง
ผมขออนุญาติยกเอาสถิติของรถอื่นๆที่ช้ากว่านี้มาเปรียบเทียบให้ดูก่อนนะครับ
เผื่อใครนึกไม่ออกว่ารถที่สามารถทำเวลาขนาดนี้ใน Nürburgring มันเร็วขนาดไหน
เพื่อการอ่านที่ได้อรรถรสที่ดีขึ้น และอาจจะกลับไปนอนคิดดูว่า คำว่า รถแรง กับ รถเร็ว
มันต่างกันอย่างไร สำหรับผมเชื่อเสมอมาว่า รถแรง อาจจะ เป็นรถเร็ว แต่รถเร็ว ไม่จำเป็น
ต้องเป็นรถแรงเสมอไปครับ มันมีองค์ประกอบอย่างอื่นอีก
8:22 นาที Nissan Skyline GT-R R32, 280 แรงม้า
8:22 นาที BMW M3 E46, 343 แรงม้า
8:22 นาที BMW M Coupe E36/7, 321 แรงม้า
8:25 นาที Audi RS4 375 แรงม้า
8:26 นาที BMW 335i E92 Coupe, 300 แรงม้า
8:28 นาที BMW M5 E39, 400 แรงม้า
8:35 นาที BMW M3 E36 Coupe, 321 แรงม้า
เอาล่ะครับ หลังจากเรียบเรียงความคิดเรียบร้อยแล้ว เชิญทัศนา
แล้วลองกลับไปคิดดูว่ามันเป็นเรื่องน่าอายหรือเปล่าในการการที่จะบอกใครๆว่ารถคุณน่ะมันแค่
140 แรงม้า ใครจะอายก็เชิญเถอะ แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล แต่ผมไม่อาย
เรียบเรียง จาก หนังสือ Total BMW จากบทความ Eight Minute Wonder
++++++++++++++Story starts
here+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ในรอบหกปีที่ผ่านมาของหนังสือ
Total BMW ผมแทบจะไม่ได้เห็น BMW E30 318iS ขึ้นปก หรือเป็น Feature car
ประจำฉบับเลย ทั้งๆที่ BMW E30 เป็นรถที่สุดจะคลาสสิก และรุ่น 318iS
ก็เป็นอะไรที่ไม่ใช่ธรรมดา ฉบับนี้ไหนๆก็จะเอามันมาเป็น Feature car แล้ว
เพื่อให้สมศักดิ์ศรีของความเป็นรุ่นที่มีสายพันธ์ Motorsport เราเลยเอามันไปลองที่
Nürburgring เสียเลย ด้วยเครื่อง 136 แรงม้าที่ดูเหมือนจะขำๆจากโรงงานนี่แหละ
แต่ผลออกมาไม่ขำ- 8.20 นาที เร็วไม่เบาเลย
ก่อนอื่นมาดูประวัติของรถรุ่นนี้กันก่อน
318iS ถูกผลิตออกมาขายในช่วงปลายปี 1989 ทั้งในยุโรปและอเมริกา
ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มผู้นิยมและผู้ชื่นชอบความ BMW กำลังรู้สึกว่า BMW
กำลังจะเบี่ยงเบนเอกลักษณ์ของรถ/เครื่องยนต์โหดๆเถื่อนๆแบบดั้งเดิมของ BMW ไป
โดยเฉพาะตลาดในอเมริกา ที่ผู้คนยังคงหลงไหลความดิบของเครื่องสี่สูบของ BMW 2002
และสมรรถนะการขับขี่ที่สุดยอดของช่วงล่างของมัน ถึงแม้ว่าใน generation ต่อมา E21
และ E30 ก็ยังคงกลิ่นอายดิบๆแบบนั้นอยู่บ้าง แต่เครื่องยนต์สี่สูบที่พ่วงมากับ CAT
ขนาด 1800 cc ของมันก็หนักเกินไป ทำให้อรรถรสในการขับขี่เสียไปนิดหน่อย
ดูแล้วออกจะด้อยกว่า DATSUN 510 เสียด้วยซ้ำไป แต่ราคากลับแพงกว่ามาก ส่วนในรุ่น
325i หกสูบก็ดูเหมือนจะเรียกลูกค้ากลับคืนมาได้ แต่กลับเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ VW
Golf GTi และ Opel Astra GTE ที่มากับขุมพลังดิบๆแบบสี่สูบไปไม่น้อยเหมือนกัน
จึงจะเรียกได้ว่า 318iS มันเป็นพระเอกที่ออกมาตอบโจทย์ของลูกค้าได้จังหวะพอดิบพอดี
BMW ตอบโจทย์กลับมาด้วย 318iS ที่ออกแบบเครื่องยนต์ M42ใหม่เกือบทั้งหมด
แทบจะไม่มีอะไรเหลือเค้ามาจาก 318i ตัวเดิมที่ใช้เครื่อง M40 เลย
และเครื่องตัวนี้ยังถูกใช้ใน 3-series ตัวถัดไปบนตัวถัง E36 ในรุ่น 318iS อีกด้วย
สิ่งเดียวที่เหลือจากเครื่อง M40 คือเสื้อสูบแบบเหล็กหล่อ
ข้อเหวี่ยงถูกออกแบบและเปลี่ยนใหม่เป็นแบบ forged
แทนที่จะเป็นแบบเหล็กหล่อแบบเดิมของ M40 ฝาสูบถูกออกแบบใหม่เป็นแบบ Twincam 16
valve ขับด้วยโซ่
ซึ่งสามารถรองรับการทำงานอย่างหนักหน่วงที่รอบสูงๆได้ดีกว่าเครื่อง Single-cam
ที่ขับเคลื่อนด้วยสายพานของ M40 ในส่วนตัวถัง ช่วงล่างเกือบทั้งหมดเอามาจาก 325i
โดยใช้โช๊คอัพแก๊สของ Boge แต่ใช้สปริงขนาดใหญ่กว่า (51mm) ที่ออกแบบโดย M-Technic
รวมไปถึงกันโคลงหน้า-หลัง และระบบเบรกก็เอามาจาก 325i เช่นกัน ซึ่งตรงนี้ทำให้การ
handling ของ 318iS ถ้าไม่นับ M3 แล้ว ก็อยู่ในอันดับต้นๆไม่เป็นรองรุ่นอื่นๆ
ถึงจะมีดีเท่า 325i แต่อย่างน้อยก็ดีกว่า 320i แน่นอน
แต่อย่างก็ตาม ถึงแม้ว่า 318iS จะเป็นรถที่ดีคันหนึ่งของ BMW
แต่น่าเสียดายที่มันไม่เคยถูกใช้เป็นตัวแข่งของโรงงาน
อาจจะเป็นเพราะว่าในขณะที่ทีมโรงงานเริ่มปลดระวาง M3E30 ออกจากสนามแข่ง
สายพานการผลิตของ E36 ก็เริ่มพอดี ทีม BMW จึงนำตัวถัง E36 มาลงแข่ง
โดยใช้เครื่องยนต์ S14 เดิมที่เอามาจาก M3 แต่ทำให้ปริมาตรกระบอกสูบลดลงเหลือแค่
2000 cc มาใช้แทน แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานทีม BMW ได้นำเอาเครื่อง M42
ตัวนี้มาโมดิฟายเป็น Race Version โดยใช้รหัสว่า S42 มาใช้แข่งแทนบนตัวถัง E36 นี้
ก่อนที่ S14 จะปลดประจำการไปจากทีมโรงงานของ BMW อย่างถาวร นี่คือส่วนหนึ่งของ
318iS ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของ BMW Mortorsport ผ่านเจ้าเครื่อง M42
ตัวนี้ (เครื่อง S42 นี้ ให้แรงม้า เกือบ 300 แรงม้าแบบเป็นทางการ และราวๆ 350
แรงม้าแบบไม่เป็นทางการ)
จนมาถึงวันนี้
การที่ใครสักคนจะได้มี 318iS แท้ๆอยู่ในครอบครองสักคันหนึ่ง
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เช่นเดียวกับ Fabian Sigwart เจ้าของรถคันนี้ Fabian
เป็นนักแข่งลองเครื่องชาวสวิสเซอร์แลนด์ของ BMW
ซึ่งฝีไม้ลายมืออยู่ในอันดับต้นๆของผู้ทำเวลาได้ดีในสนาม Nürburgring
คนหนึ่งจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่รถดีๆแบบ 318iS เมื่อรวมกับคนขับฝีมือแบบ Fabian
จะสามารถพารถที่เครื่องยนต์กำลังน้อยกว่า 140 แรงม้า ทำเวลาได้ดีขนาดนั้น
รถเข้าโค้งได้อย่างเฉียบขาดและออกจากโค้งได้เร็วมาก
และไม่มีอาการเอียงหรือล้อข้างใดข้างหนึ่งยกขึ้นจากพื้นแม้อต่น้อยนิด
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะรถอีกคันหนึ่งของ Fabian เป็น M3E30 แต่ใส่เครื่อง 400
แรงม้า รหัส M88 แบบที่ใส่อยู่ใน BMW M1 ก็เคยกำหลาบ 507 แรงม้า M5 Ring-Taxi
ของสนาม Nürburgring มาแล้ว
รถคันนี้ Fabian ซื้อมาในราคาแค่ 250 ปอนด์ เป็นสี Diamond black
อยู่ในสภาพที่ผุพอสมควร โดยเฉพาะที่ขอบบังโคลน แต่ที่ตัวถังยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่
Fabian จัดการรื้อรถออกเป็นชิ้นๆ
และขูดสีและแผ่นกันเสียงออกหมดทั้งคันจนเหลือแต่เหล็กล้วนๆ
และถอดเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออก เพื่อทำเป็นรถแข่ง ทั้งหมดนี้ใช้เงินไปอีกราวๆ
15,000 ปอนด์ ส่วนนี้ทำให้รถน้ำหนักลดลงไปเหลือแค่ 1000 kg พอดิบพอดี
ในส่วนของเครื่องยนต์ เนื่องจาก Fabian ใช้รถคันนี้แข่งอยู่ใน German VLN Series
ซึ่งเป็นการแข่งแบบ Endurance ระยะทาง 450-650 กม โดยใช้เวลาราวๆ 4-6 ชั่วโมง
ในสนาม Nürburgring แต่อย่างไรก็ตาม ความเร็วเฉลี่ยจะอยู่ในราว 160 กม/ชม
เลยทีเดียว ในการแข่ง German VLN Series
นี้กำหนดเอาไว้ว่าเครื่องยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐานจากโรงงาน
เค้าจึงไม่ได้ทำการโมดิฟายอะไรเพิ่ม ปล่อยเอาไว้เป็น 136 แรงม้าตามเดิม
เพียงแต่ถอดออกมาเพื่อทำการ Overhaul
ตามปกติโดยทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในทุกชิ้นใหม่หมด และใช้ครัชที่เค้า Balance
ขึ้นมาใหม่ โดยประกบเข้าไปกับชุดเกียร์เดิมที่มาจากโรงงานของมัน
อุปกรณ์อื่นๆเช่นพวงมาลัยพาวเวอร์, ABS, และท่อไอเสีย รวมไปถึง CAT
ยังคงเป็นของเดิมจากโรงงาน ตามกฏที่ German VLN Series กำหนดไว้
ตามกฏครอบคลุมไปถึงระบบเบรกด้วย Fabian จึงต้องใช้เบรก (ขนาดเท่า) เดิม
แต่ใช้จานของ ATE Power Disk และใช้ผ้าเบรกของ Pagid Yellow Pad
มีคนถามว่าสายไฮดรอลิกที่เป็นแบบถักไม่จำเป็นต้องใช้หรือ Fabian
บอกว่าแค่ใช้สายเดิมจากโรงงานแต่ซื้อมาเปลี่ยนใหม่ก็พอแล้ว
เบรกมันไม่ได้ทำงานหนักอะไรมากมายขนาดนั้น ของเดิมก็เอาอยู่ (นี่ขนาดรถแข่งวิ่งใน
Nürburgring นะเนี่ย เค้ายังบอกว่ามันเอาอยู่
เห็นรถบ้านบางคันขนเอาอะไรต่อมิอะไรใส่เข้าไป ไม่รู้จะไปวิ่งกันที่ไหน)
เฟืองท้ายยังคงเป็น 4.1 LSD จากโรงงาน ซึ่ง Fabian บอกว่าอัตราทดขนาดนี้เหมาะกับ
Nürburgring มาก ทั้งการดึงออกจากโค้งที่ 6700 rpm และในทางตรง ส่วนล้อยังคงใช้เป็น
BBS ขนาด 15 นิ้วจากโรงงาน แต่เปลี่ยนเป็นยาง Toyo Proxes R888
ถึงยางนี้จะเป็นยางกึ่ง slick ที่สามารถใช้บนถนนทั่วไปได้ แต่ Fabian
บอกว่ามันเป็นยางที่เหมาะกับสนามแข่งมาก
มาถึงระบบช่วงล่าง
ในกฏการแข่งขันส่วนใหญ่จะไม่ได้บังคับเอาไว้ว่าต้องเป็นของโรงงาน
สามารถใช้อะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าจุดยึดและ Geometry ของช่วงล่างจะต้องอยู่ที่เดิม ใน
Germany และในยุโรป รถแข่งส่วนใหญ่จะใช้ KW หรือไม่ก็ H&R แต่ Fabian
ชอบแบบหลังมากกว่า จึงใช้ชุด Coil Over ของ H&R
โดยทำการดัดแปลงบ่ารับสปริงและตัวสปริงเป็นออกเป็นสองช่วง
ด้านบนใหญ่และด้านล่างเล็ก ส่วนด้านหลัง ยังคงเอาไว้เป็นแบบเดิม
โดยเปลี่ยนแค่สปริงเป็นของ H&R และโช๊คอัพของ H&R รุ่นที่ปรับได้
เหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลังยังเป็นของเดิม
เพียงแต่ใช้ตัวหูยึดแบบปรับได้ที่ทำจากอัลลอยเข้าไป
Roll cage เป็นชุด Kit แบบ Full race ของ OMP
ซึ่งดามออกไปที่เบ้าโช๊คหลังในกระโปรงท้ายด้วย พวงมาลัยเป็นของ OMP
เช่นกันที่มีน้ำหนักแค่ 300 กรัม และเบาะเป็น Race seat ของ OMP
เช่นกันซึ่งกระชับตัวแน่นพอดี ตอนผมไปลองขับดู
กว่าจะลุกออกมาได้ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน
จากการวิ่งในสนามวันนั้น มีแค่ Dodge Viper และ Porsche เท่านั้นที่เร็วกว่ามัน
จากการดูข้อมูลที่ Data Logging System พบว่าบางโค้งมันเลี้ยวด้วยแรงถึง 1.6 g
และอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง 50:50 พอดี ตัวรถมีน้ำหนักประมาณ 1000 kg
บวกลบเล็กน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของคนขับ
โดยมีแผ่นถ่วงน้ำหนักแปะเอาไว้เพื่อให้รถมีน้ำหนักไม่เบาไปกว่าน้ำหนักตามที่กฏการแข่งขันระบุเอาไว้และเพื่อให้อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักใกล้เคียงกับ
50:50 มากที่สุด
รถคันนี้เพิ่งลงสนามแข่งได้เพียงสองครั้ง และผลการแข่งขันที่ดีที่สุดก็คือ
มันเป็นที่ 25 Overall ของรถทั้งหมด 125 คัน และเกือบเป็นที่ 1 ใน class
และอันหลังนี้คือเป้าหมายของมัน และนี่คือเหตุผลที่ Fabian นำรถมาทดสอบในสนามวันนี้
ชีวิตมักเป็นเรื่องยากเสมอ เช่นเดียวกับการแข่งรถในสนามแข่ง หรือไม่จริง?
Flying Dutchman:
June 2007
.................................................................................................................................................................................................................................
Flying Dutchman/October 2007
Back to main STORY Page
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Copyright 2000-2008. The Flying Dutchman