ทะยอยตามมาเรื่อยๆในเรื่องราวของ M3 ที่เกี่ยวกับการแข่งขันในสนามของมันนะครับ
บทความนี้ถูกเขียนในราวปี 87 ตอนที่ BMW Motorsport GmbH เพิ่งสร้างเจ้า M3
ที่เป็นสเปกตัวแข่ง Group A ของ FIA (สมัยนั้นยังเรียกว่า FISA) เสร็จหมาดๆ
แล้วผู้เขียนบทความนี้ได้ไปทดลองขับที่สนาม Hockenheim ที่ว่าเพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ
ก็เพราะตอนนั้นมันเพิ่งจะสร้างออกมาได้เพียงสองคัน คันหนึ่งที่ผู้เขียนกำลังลองอยู่
อีกคันหนึ่งจอดโชว์อยู่ที่งานมอเตอร์โชว์
ผู้เขียนแกไม่ค่อยได้เขียนถึงผลของการขับเอาไว้สักเท่าไหร่
แต่จะหลักไปทางเบื้องหลังของสเปกที่เป็น Group A ของมันมากกว่า ซึ่งผมว่าน่าสนใจดี
ลองอ่านดูครับ
เรียบเรียงจากบทความ Saloon Racer- F1 Style เขียนโดย Jerry Sloniger
ที่ลงในหนังสือ Motor Magazine เมื่อเดือนมีนาคม 1987
....................................................................................................................................................................................................................................
รถแข่งคันนี้
เป็นรถที่มีเครื่องยนต์ที่มีเชื้อสายใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ที่เราใช้แข่งรถ
Formula มากที่สุด มีหลายจุดที่ใช้ชิ้นส่วนแบบเดียวกัน นี่คือคำพูดของ Thomas
Ammerschlager ผู้ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของทีมวิศวกรของ
BMW Motorsport ที่พูดถึงการผสมผสานเอาเทคโนโลยี่ของรถแข่ง Formula มาใช้ในรถ M3
คันนี้ ที่เค้าเรียกมันมา BMW M3 Group A
ฟังแค่นี้แล้วคุณอาจจะยังไม่เชื่อ
แต่ผมเชื่ออย่างสนิทใจอย่างทันทีหลังจากมีโอกาสได้เข้าไปนั่งอยู่บนเบาะ Recaro
รุ่นใหม่ล่าสุดของมัน และขับวนไปในสนาม Hockenheim เพียงสองสามรอบ
สรุปแล้วว่าเครื่องมันนี้มีแรงม้า
..???
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ยังรู้สึกทึ่งไม่หายกับสมรรถนะของมัน หลังจากก้าวลงมาจากรถ
ถ้าตามที่เซ็ทมาวันนี้ก็อยู่ในราว 300 แรงม้าที่ 8000 รอบ
วันนี้น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 960 kgแล้วฝนก็ตกด้วย
แล้วอีกอย่างวันนี้เอาท่อไอเสียแบบธรรมดามาใส่ให้
เพราะถ้าหลังเที่ยงแล้วสนามเค้าไม่ให้ใช้ท่อตรง เสียงมันดัง
จริงๆแล้วมันไปได้มากกว่านี้อีกเยอะ
แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
นี่ขนาดแค่สามร้อยแรงม้าในวันที่ฝนตกพรำๆ
ถึงแม้ว่ามันจะแค่หนึ่งในสามของแรงม้าของเครื่องตัวแข่ง Formula
เรายังรู้สึกว่านี่มันคือรถระดับเทพธิดาจากสวรรค์ลงมาเกิดแท้ๆ
ถึงแม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากรถคูเป้ธรรมดา แต่ความรู้สึกโดยรวม
มันคือรถแข่งแท้ๆที่ถูกสร้างขึ้นมาสืบทอดตำนานความเป็น Motorsport ของ BMW จากยุค
80s คันหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณไปถามแรงม้าจริงๆ พวกเค้าคงจะได้แต่ยืนอมยิ้ม
เพราะ BMW ไม่เคยบอกแรงม้าที่แท้จริงให้ใครรู้จนกว่าเครื่องตัวนั้นจะถูกปลดระวางไป
นี่คือเรื่องปกติของ BMW Motorsport
Thomas Ammerschlager หัวหน้าทีมวิศวกร ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำรถแข่ง Ford Capri
ให้กับทีม Zakspeed กล่าวอย่างถ่อมตัวเมื่อตอนเข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อปี 1985 ว่า
เค้ามีส่วนร่วมในความสำเร็จโครงการ M3 Group A นี้แค่ 10 เปอร์เซนต์
เพราะโครงการนี้มันถูกเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีมาก่อนหน้านี้แล้ว
แม้กระทั่งชื่อของรถรุ่นนี้เมื่อตอนที่เริ่มโครงการตอนแรกๆ
ก็ถูกตั้งเผื่อเอาไว้ก่อนแล้วโดยใช้รหัสว่า M มันหมายถึงรถแข่งของ BMW
และในวันนี้ M3 มันก็มาเป็นรถแข่งสนามแบบแท้ๆจริงๆ
ในอดีตก่อนหน้านี้ การแข่งขันรถ
Touring เป็นอะไรที่คนไม่ค่อยสนใจ ซึ่งมีคนเข้าดูน้อยมากไม่เหมือนกับพวกการแข่ง GP
หรือรถ Formula แต่หลังจาก FISA (FIA ในปัจจุบัน F/D) ให้การสนับสนุนการแข่งขัน
World (Touring) Championship และการแข่งขันรถ Touring
อื่นๆพร้อมทั้งมีเงินรางวัลมากมายเป็นสิ่งจูงใจ
ทำให้ทุกวันนี้การที่ได้ทำสัญญาเป็นนักขับรถแข่ง Touring
ให้กับทีมใดทีมหนึ่งเป็นอะไรที่เย้ายวนใจสำหรับนักขับรุ่นใหม่ๆมาก แต่อย่างไรก็ตาม
BMW จะไม่ส่งทีมแข่งและนักขับของตนเองลงสนาม
แต่จะสนับสนุนแบบเต็มรูปแบบให้กับทีมแข่งที่ได้คัดเลือกเอาไว้แล้ว
เพื่อเป็นตัวแทนของ BMW ลงไปแข่งแทน เช่น ในนามทีม Zakspeed
เพื่อลงแข่งในรายการชิงแชมป์ในเยอรมัน ในนามทีม Linder
เพื่อลงแข่งในรายการชิงแชมป์ระดับทวีปยุโรปทั้งหมด และในนามทีม Schnitzer
เพื่อลงแข่งในรายการระดับชิงแชมป์โลก เป็นต้น นอกจากนี้ BMW Motorsport
ยังขายชุดคิทสร้างรถแข่งที่มากับคู่มือการประกอบเล่มหนาเตอะอีกปึกหนึ่ง
ให้ทีมแข่งอิสระอื่นๆเอาไปประกอบเองได้แบบไม่ยากนัก
หากผู้ประกอบเป็นช่างที่มีประกอบการณ์มากสักหน่อย
เนื่องจากตามกฏของ Group A
ไม่ให้ใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์แบบ Turbo แข่ง จึงไม่มีใครคิดที่จะ Homologate
รถแบบ Turbocharger ออกมา จะเห็นได้จาก M3 ที่ BMW
ผลิตออกมาเตรียมในสายพานการผลิตจำนวน 5000 คันในปีก่อนหน้านี้เป็นเครื่อง Twincam
16 valve ธรรมดาทั้งหมด และอีกอย่างทีมช่างเห็นว่าเครื่องแบบ n/a
บำรุงรักษาง่ายกว่ามากในขณะแข่งขัน ส่วนระบบขับเคลื่อนเป็นแบบสองล้อหลัง BMW
Motorsport บอกว่าไม่สนใจที่จะพัฒนามันให้เป็นรถแข่งขับเคลื่อนสี่ล้อ
เว้นเสียแต่ว่า FISA กำหนดให้ล้อมีความกว้างน้อยลง
ข้อบังคับของรถแข่งใน Group A กำหนดไว้ว่า
เครื่องยนต์ที่จะลงแข่งจะต้องมีปริมาตรกระบอกสูบเท่ากับเครื่องยนต์ที่อยู่ในตัวที่อยู่ในสายพานการผลิตปกติ
แต่ตัวแข่ง M3 Group A นี้ BMW Motorsport ทำการขยายกระบอกสูบจาก 93.4mm ออกไปเป็น
94mm โดยคงช่วงชักเอาไว้ที่ 84mm เท่าเดิม ทำให้กระบอกสูบมีปริมาตรเพิ่มขึ้นเป็น
2500 cc ซึ่งทำให้ BMW ต้องทำการออกรุ่น Evolution ที่มีเครื่องยนต์ 2500cc
มาขายในสายพานการผลิตปกติด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับกฏ Homologation (ตามกฏของ FIA
บังคับว่าต้องมีจำนวนในสายพานการผลิตปกติอย่างน้อย 5000 คันสำหรับการลงแข่ง
และอย่างน้อย 500 คันในกรณีที่นำรุ่นนั้นๆที่ถูก Homologated แล้วมาทำการ upgrade
ข่าวดีสำหรับ BMW ที่ไม่ต้องผลิตออกอีกห้าพันคัน
แต่น่าเสียดายโลกใบนี้น่าจะมีรถดีๆแบบนี้ผลิตออกมาเยอะๆ-F/D) แต่อย่างไรก็ตามสมรรถนะของเครื่อง 2500 cc ของรุ่น
Evolution ก็ยังไม่แม้แต่จะใกล้เคียงตัว 2500 cc ที่เป็นของตัวแข่ง Group A
แม้แต่น้อย อย่างน้อยเครื่องตัวแข่งนี้ใช้ Camshaft ที่ใช้ในรถ Formula
รวมไปถึงวาล์วสปริงของมันด้วย
นอกจาก Hardware
ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีและแข็งแรงของมันแล้ว BMW ยังยกเครดิตให้กับระบบ Motronic
Engine Management ของมันด้วย ซึ่งถูกออกแบบใหญ่โดยไม่ใช้ Airflow Meter
และการควบคุมทำงานของมันสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสภาพสนาม/การแข่งขัน โดยการเปลี่ยน
Chip เพียงตัวเดียว ซึ่งจะมี Programmer นั่งอยู่ใน pit
เป็นผู้คำนวณให้ว่าควรจะใช้อันไหน (ในยุคนั้นการทำแบบนี้คงเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่เบา
สมัยนี้การเปลี่ยน chip ก็ออกจะกลายเป็นอะไรที่ตกยุคไปแล้ว สมัยนี้เขียน mapping
program กันลงไปใหม่ที่ ECU ตรงๆเลย-F/D)
M3 Group A แบบ Complete car พร้อมแข่ง BMW Motorsport เคาะราคาเอาไว้ที่ DM
150,000 (ตัว ราคานี้เมื่อเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เทียบเป็นมูลค่าเท่าไหร่ในปี 2007
นี้ลองเทียบดูครับ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ตอนนั้น M3 ปกติคันละ DM 58,000 F/D)
ในราคานี้คุณจะได้อุปกรณ์หลักๆ เช่น
- Complete
Engine ของเครื่องยนต์สเปก Group A หนึ่งเครื่อง
- ตัวถังพร้อมดามทั้งคันและ Roll Cage ที่ทำำมาจากโลหะผสมพิเศษที่ BMW Motorsport
เคลมว่ามีน้ำหนักเบากว่าอลูมิเนียม ทำให้น้ำหนักลดลงเหลือแค่ 960 kg
และอาจจะเหลือแค่ 940 kg ในฤดูการแข่งปี 1988 Roll Cage
นั้ทำให้ตัวถังรับแรงบิดได้เป็นสามเท่าของตัวถังปกติซึ่งอยู่ในเกณฑ์พอๆกับตัวถังของรถ
Formula 1
- Air Jack ที่สี่มุมของตัวรถ
- ช่วงล่าง/จุดยึด เบรก ตามสเปก Group A เช่่นกัน
ตำแหน่งจุดยึดช่วงล่างทุกจุดต้องอยู่ที่เดิมตามกฏของ FIA
แต่สามารถให้เปลี่ยนวัสดุของจุดยึดได้ BMW Motorsport จึงทำมันออกมาเป็น Ball Joint
ทั้งหมด รวมไปถึงลูกปืนล้อที่ใหญ่ขึ้นที่นำมาจากตัวแข่ง 635CSi
จุดยึดด้านหลังถูกออกแบบมาให้สามารถปรับ Camber และ Caster ได้อย่างรวดเร็ว
- ถังน้ำมันนิรภัยที่ออกแบบมาเป็นพิเศษที่ใชช้เซนเซอร์ที่ดัดแปลงมาจากเซนเซอร์ของ
Airbag
จะส่งสัญญาณไปตัดการทำงานของปั๊มน้ำมันทันทีเมื่อรถเบรกหรือลดความเร็วลงด้วยแรงที่มากกว่า
5 จี โดยมีโฟมเป็นเปลือกหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่งขนาดความจุ 24.2 แกลลอน ที่ BMW
Motorsport การันตีว่าสามารถดูดน้ำมันออกมาจากถังได้แม้ตอนที่เหลือน้ำมันแค่ 1%
ของถัง ด้วยความจุขนาดนี้บวกกับการกินน้ำมันอยู่ที่ 8.1 mpg ทำให้ M3
สามารถลดจำนวนการเข้า pit ในระหว่างการแข่งได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในบางสนาม
ท่อเติมน้ำมันแบบแรงดันสูง ที่ถูกออกแบบไว้ที่แผ่นปิดท้ายรถด้านนอก
เพื่อให้เจ้าหน้าที่เติมน้ำมันไม่ต้องเสียเวลายกถังหรือท่อน้ำมันสูงขึ้นไปที่ระดับไหล่
ทำให้เติมน้ำมันได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังไม่เกะกะเจ้าหน้าที่เปลี่ยนยางด้วย
- เกียร์ของ Getrag มี่เอามาจากตัวแข่ง 635CCSi เบรกด้านหน้าเป็นของ Brembo
ที่มีร่องระบายและเจาะรู ส่วนเบรกหลังเป็นของ ATE แต่ BMW เห็นว่า ABS
ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในสนามแข่งจึงถอดมันออก (จริงๆแล้วในการแข่งขัน Group A
ไม่อนุญาติให้ใช้ และต่อมา BMW เอา ABS มาใช้เป็นทีมแรกในตัวแข่ง M3 ในการแข่งขัน
DTM F/D) และเฟืองท้ายที่มีอัตราทดให้เลือกตั้งแต่ 3.15:1 จนถึง 5.28:1
ซึ่งจะทำให้ M3 Group A มีอัตราเร่ง 0-60mph เร็วที่สุดที่ 4.5
วินาทีที่อัตราทดเฟืองท้าย 4.44:1 (เมื่อเทียบกับ 6.7 วินาที ที่อัตราทด 3.25:1
ในตัว M3 รุ่นปกติ) และที่ความเร็วสูงสุด 145 mph
- ในตัวรถ เบาะสี่ที่นั่งถูกลดลงเหลือที่นั่่งคนขับที่เดียวที่ทำมาจาก Kevlar
น้ำหนักเบาแค่ 4 kg และอุปกรณ์เครื่องวัด รวมไปถึงที่คอนโซลจะมีหลอดไฟสามหลอด
สีเขียว-เหลือง-แดง
ที่บอกนักแข่งให้รู้อัตราการกินน้ำมันของเครื่องยนต์ในขณะนั้นด้วย
ในส่วนของเครื่องยนต์ BMW Motorsport
เน้นเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แนะนำให้ทีมแข่งไปรื้อมันออกมาหรือไปยุ่งอะไรกับมัน
แต่ช่างของ BMW Motorsport ที่ส่งไปช่วยทีมแข่งนั้นๆ
มักจะได้รับการบอกเล่าความลับที่พวกทีมเหล่านั้นค้นพบบ่อยๆ
แต่จะให้รู้ความลับทั้งหมดนะเหรอ? ยาก
เพราะ BMW Motorsport
มักจะทำการอัพเกรดชิ้นส่วนต่างๆที่อยู่ในนั้นอยู่เสมอ
จากการทดลองขับในวันนั้น รู้สึกได้ว่ารถสามารถขับได้ไม่ยากอย่างที่คิด
ด้วยช่วงครัชมีระยะจับเพียง 1 mm
ทำให้สามารถควบคุมการส่งกำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็วและรู้สึกได้ว่า Power
Band ของเครื่องกว้างมาก เริ่มตั้งแต่ 5500 รอบจนไปตัดที่ 8300
รอบตามที่เซ็ทเอาไว้สำหรับการขับของเราในวันนั้น ที่ 7000
รอบเป็นจุดที่รู้สึกได้ชัดถึงพละกำลังของมันมากที่สุด BMW Motorsport
ได้ทำการทดสอบชุดครัชหลายแบบจนสุดท้ายมาจบที่ของ Fichtel & Sachs
ซึ่งให้ความรู้สึกที่เบาแต่หนึบมาก
เกียร์ Getrag ให้ความรู้สึกที่ชิดและกระชับ
และนุ่มนวลจนแทบจะไม่ต้องใช้แรงบังคับหรือใช้ชุด Quick-shift มาช่วยเลย
ส่วนเบรกต้องใช้เวลาสักพักรอจนมันเข้าสู่อุณหภูมิทำงานจึงจะรู้สึกว่ามันมีประสิทธิภาพสูงมาก
ล้ออัลลอยผสมถึงแม้จะมีขนาดกว้างถึงเก้านิ้ว
แต่มันก็มีน้ำหนักเบากว่าที่คิดเอาไว้มาก เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังที่ 24.2 แกลลอน
ทำให้ Weight Distribution หน้า/หลังของมันเท่ากับ 50/50 พอดี
ที่จุดนี้รู้สึกว่าการทรงตัวของรถเป็นธรรมชาติและควบคุมทิศทางของท้ายรถได้ง่ายมากโดยใช้กำลังของเครื่องยนต์เป็นตัวควบคุม
ซึ่งจุดนี้จะเป็นข้อได้เปรียบของมันเหนือคู่แข่งที่ BMW Motorsport
ได้คาดการณ์เอาไว้เช่น Ford, Holden, Nissan, และ Maserati
รวมไปถึงทีมอื่นๆที่มีแนวโน้มที่จะเอารถแนว Touring มาลงแข่งใน Group A
ทั้งที่เพื่อเป็นการแข่งขันจริงๆและเพื่อเป็นการสร้าง Brand Awareness
ของตนต่อสาธารณชน เหมือนกับตอนที่ BMW เริ่มวางมือจากการแข่งขัน Formula
เพราะชนะเสียจนคนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้วว่า BMW จะชนะหรือไม่
จึงได้เบี่ยงเบนความสนใจมาที่การแข่งขันรถ Touring แทน โดยนำมันมา Homologate ในรถ
M3 และนำออกขายในสายพานการผลิตปกติ
และทำมันออกมาจนเป็นรถแข่งพันธุ์โหดแบบแท้ๆและแบบเต็มๆสำหรับสนามแข่งโดยเฉพาะแบบเจ้า
M3 Group A คันนี้ โดยผสมผสานเทคโนโลยีของรถ Formula ลงไปแบบไม่ยากเย็นนัก
แต่ตอนที่ยากเย็นที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่ BMW Motorsport
จะต้องนำรถคันนี้ไปตรวจเพื่อให้ผ่าน Inspection ตามกฏของ Group A พวก FIA
เค้าคงอยากฟังคำอธิบายเหมือนกันว่าเทคโนโลยีจากรถแข่ง Formula มันลงมาอยู่ในรถแข่ง
Group A ได้อย่างไร !
The Flying Dutchman: October 2007 .......................................................................................................................................................................................................................................
Back to main STORY Page
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Copyright 2000-2008. The Flying Dutchman