บรรยากาศของกลิ่นน้ำมัน
ควันท่อไอเสีย กลิ่นเบรกไหม้ ไอร้อนเครื่องยนต์ กับคนใจถึง
เป็นอะไรที่เป็นองค์ประกอบอันดับต้นๆที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นคำว่า Motorsport
ใครได้เคยได้เข้าถึงมันสักครั้ง ก็คงยากที่จะสลัดมันออกไปให้หมดจดได้
เหมือนเชื้อโรคร้าย
หากผมจะย้อนหลังกลับในหลายปีที่ผ่านมาความบ้าที่เคยมีก็จางหายไปบ้าง
จากงานที่ทำให้มีเวลาน้อยลงไป จากความขี้เกียจเพราะหาเพื่อนเล่นจริงๆไม่ได้
จากความเบื่อที่หาที่ทำรถหรือแหล่งที่จะซื้ออุปกรณ์ต่างๆไม่ได้ ฯลฯ
ทำให้ห่างๆมันไปนิดนึง จนมาในปีที่ผ่านมา ความบ้ามันก็กลับมาเยือนอีกจนได้
จากการที่ซื้อรถมาอีกหนึ่งคัน ทำ ทำ ทำ ทำ แบบที่เราอยากจะให้มันเป็น
จนสนุกสนานเลยเถิดออกไปห่างจากสภาพรถบ้านออกไปทีละนิดๆ
ประจวบเหมาะกับได้มาเจอเหล่าเพื่อนที่มีเชื้อความบ้าอยู่ในตัวเหมือนกัน ถนน
Motorsport ก็ถูกปูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ถึงจะไม่ได้เป็นการแข่งขันอะไรใหญ่โตมากนัก
แต่มันก็ทำให้รู้สึกถึงวันเก่าๆ
ที่ผมกับเพื่อนตะเวณเอารถแข่งขึ้นเทรลเลอร์ไปตามสนามต่างๆในละแวก East Coast
ในอเมริกาได้ดีทีเดียว
สามอาทิตย์ก่อนการแข่ง ไอ้เจ้า 325i ของผมได้มีเกียร์ M/T
อันใหม่ลงไปสิงสถิตย์อยู่เรียบร้อย อย่าถามเป็นของรุ่นไหน แบบไหน อย่างไร
พูดตรงๆว่าหากจะต้องซื้อฟลายวีล หรือแผ่นครัช หรือPressure Plate หรือลูกปืน
หรือปั๊มครัช
ร้านขายอะไหล่คงจะต้องฟังผมอธิบายชิ้นส่วนของมันอยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะไปหยิบของชิ้นนั้นมาให้ถูก
ของบางชิ้นซื้อมาแล้วต้องมีการเอามาโมอีกนิดหน่อยถึงจะใส่เข้าไปได้
แต่รับรองว่าทุกชิ้นเป็นของ BMW ล้วนๆแน่นอน แต่ผลที่ออกมาบอกได้คำเดียวว่า
หากไม่คิดที่จะเอารถคันนี้ไว้ขับในชีวิตประจำวัน รถคันนี้เป็นรถที่ขับสนุกมาก
หนึ่งอาทิตย์ก่อนการแข่ง สปริงหน้าขนาด 6
นิ้วที่ได้แจ้งความจำนงเอาไว้ว่าอยากจะซื้อก็ยังไม่มา และยังไม่ได้คำตอบว่าจะมา
หรือจะมีหรือไม่เสียด้วยซ้ำไป
และตอนนี้สปริงที่ยืมเค้ามาใส่ก่อนก็ต้องเอาไปคืนเพื่อที่จะเอาไปใส่อีกคันหนึ่ง
ที่สั่งซื้อจากอเมริกาก็จะมาวันที่ 4 โน่น มันไม่ทัน ตอนนี้ได้แต่ท่องอัตตาหิ
อัตตโนนาโถ โทรไปตามร้านที่โฆษณาอยู่ในหนังสือต่างๆอีกสี่แห่งก็ไม่มีขาย (แล้วจะลงโฆษณาว่าจำหน่ายสปริงทุกชนิด
หาพระแสงอันใด)
และโทรไปที่โรงงานที่รับทำสปริงอีกสองแห่งที่โฆษณาเอาไว้ในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง
แต่ไม่มีที่ไหนสามารถทำให้ผมได้ภายในเจ็ดวัน (ทั้งๆที่โฆษณาเอาไว้ว่าที่ร้านมีเครื่องจักรทันสมัย
สามารถบริการได้อย่างรวดเร็ว) เป็นเรื่องที่น่าตลกมาก
ที่ผมสามารถเลือกซื้อไอ้สปริงแบบนี้ ไม่ว่ายาวสั้น วงนอก/วงในขนาด กี่นิ่ว กี่หุน
กี่เซนต์ กี่ปอนด์ กี่ K
ก็ตามเถอะจากอีกฟากโลกหนึ่งภายในไม่กี่วินาทีผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะที่ผมนั่งอยู่ในส้วม
แต่ในประเทศเดียวกันแท้ๆ
มันหาซื้อไม่ได้และช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นและยุ่งยากเหมือนกำลังจะติดต่อหาซื้ออุ้งตีนหมีเอามาตุ๋นยาจีน
ห้าวันก่อนวันซ้อม ได้สปริงมาสามชุด แต่มันเป็นขนาด 3.5 x 8 นิ้ว
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี คนขายทำหน้าฉงนเมื่อถูกถามถึงค่า K
ราวกับว่าผมกำลังพูดเพ้อเจ้อเรื่องอะไรอยู่ แต่ไม่เป็นไร โกยเอาขึ้นรถมา
จากการประมาณการด้วยสายตาก็พอจะมองออกได้ว่าอันไหนค่า K มันมากกว่าอันไหน
จัดแจงยกไปที่อู่แห่งหนึ่งที่มีเครื่องอัดไฮดรอลิกแบบที่เอาไว้อัดลูกหมากเพื่อทำการทดสอบ
พอไปถึงปรากฏว่าเข็มวัดแรงดันมีหน่วยเป็นตันเสียอีก
ไม่เป็นไรจัดแจงเอาสปริงขึ้นตั้งเอาเหล็กหนาๆวางข้างบนกันมันดีดกระเด็นออกมาโดนปากแตก
และเอาไม้บรรทัดตั้งเอาไว้กะว่าพอสปริงมันยุบลงมา 1
นิ้วก็จะดูที่เกจ์มันว่าใช้แรงกดเท่าไหร่ จัดแจง กดๆๆๆๆ ลงไปจนถึงขีด 1
นิ้วที่ไม้บรรทัด
ปรากฏว่าเข็มไม่ได้กระดิกกระเดี้ยไปไหนเลยยังชี้อยู่ที่เลขศูนย์อยู่อย่างงั้น
แต่ลูกชายเจ้าของอู่ยืนยันว่าเกจ์วัดมันใช้ได้แน่นอน
เอาเถอะอย่างน้อยก็รู้แล้วว่าสปริงตัวนี้มันมีค่า K น้อยกว่า 1000 kg/นิ้ว
ถึงมันจะกำปั้นทุบดินไปหน่อยก็ตาม แต่จะให้บอกว่ามันเป๊ะๆเท่าไหร่
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
สองทุ่มตรงของวันนั้นหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ จัดแจงเปิดไฟโรงรถให้สว่างไสว
เอาโคมไฟมาต่อสายไฟไว้อีกส่องตามซอกตามมุมมืดอีกอันหนึ่ง กระดกกาแฟหอมฉุยหนึ่งอึก
อัดบุหรี่อีกหนึ่งที และมองไปที่สปริงทั้งสามชุดพลางคิดไปว่าจะเอาอันไหนก่อนดี (วะ)
เลยเสี่ยงทายโดยดีดเอาก้นบุหรี่ทิ้งไปกะวางมันกระเด็นไปโดนอันไหนก็จะเอาชุดนั้นก่อน
ก้นบุหรี่เจ้ากรรมดันไปโดนของ GAB Sports ขนาด 15 mm
ใส่ถุงมือพร้อมเอาแม่แรงยัดเข้าไปที่ใต้ท้องรถ ยกขึ้น ถอดล้อ ถอดน๊อตยึดแกนโช๊คที่
Ball Joint ถอด Camber Plate ถอดกันโคลง ภายในสิบนาที สปริงอันเดิมก็ถูกดึงออกมา
และอีกสามสิบวินาทีต่อมา สปริงอันใหม่ก็ถูกใส่เข้าไป
และใช้เวลาอีกสิบนาทีเท่าเดิมใส่มันกลับเข้าไป ทำแบบนี้กับอีกข้างหนึ่ง
เสร็จเรียบร้อย เอารถลง กระโดดขึ้นไปสตาร์ทเครื่อง
กะว่าจะขับออกไปวนที่ถนนศรีนครินทร์ เข้าถนนพัฒนาการ
และวนเป็นวงกลมกลับมาที่บ้านอีกทีหนึ่ง แต่ขับไปได้ราวแปดร้อยเมตร
ตัดสินใจวนรถกลับเพราะรู้สึกว่าไม่ work รู้สึกได้ชัดโช๊คอัพมันต้านแรง recoil
ของสปริงไม่ได้เพราะสปริงมันแข็งไป (ใช้ของ KONI ปรับแข็งสุด)
ขับแล้วกระเด้งดึ๋งๆๆๆๆ จัดแจงถอดออก ทีนี้เหลือของ GAB Sports 12 mm กับ TEIN 12
mm เหมือนกัน เลยตัดสินใจเอา TEIN เพราะเดาว่าของ GAB มันน่าจะแข็งเกินไป
ใส่เสร็จเอาไปลอง ทีนี้รู้สึกว่าสปริงมันอ่อนไป เลี้ยวแต่ละทีใจหายใจคว่ำ
จัดแจงถอดอีกที
ทีนี้ถอดเสื้อด้วยเพราะมันทั้งเปียกด้วยเหงื่อและเลอะไปหมดทั้งตัวแล้ว
ตอนนี้ไม่มีทางเลือกเพราะเหลือแค่ GAB Sports 12 mm อันเดียว จัดแจงใส่เข้าไป
ตอนใส่น๊อตล้อตัวสุดท้ายเข้าไปพยายามตั้งสมาธิอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกช่วยดลบันดาลให้มันใช้ได้ด้วยเถิด
เพราะนี่มันชุดสุดท้ายแล้ว ปรากฏว่าแจ๋วแฮะ เกาะหนึบดีมาก
จะพูดว่ามันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย สั่งได้ คุมได้ก็ไม่น่าจะเวอร์จนเกินไป
ไม่ว่าจะโยกซ้ายโยกขวารู้สึกติดไม้ติดมือไปหมด มันส์ไม่มีที่ติ
ถึงขนาดขับเลยไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิโน่นทั้งๆที่เสื้อก็ไม่ได้ใส่ ได้ยินเสียงแก็กๆ
ตอนที่รถลอยขึ้นที่คอสะพานแรงๆนิดหน่อย ตอนขับผ่านด่านตำรวจที่ท้ายซอย
จ่าแกมองเหล่ๆ ถ้าแกโบกให้จอดถามว่าทำไมไม่ใส่เสื้อ ก็คงจะบอกแกไปว่าแอร์มันเสีย
หรือไม่ก็โดนจี้ชิงเอาเสื้อไปเมื่อกี้นี้ กลับเข้าบ้าน ถอยรถเข้าจอดเก็บในโรงรถ
ดูเวลา เที่ยงคืนตรงพอดี ไอ้เสียงแก๊กๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
ปาดเหงื่อไปพลางคิดไปว่าทำไมไม่หยิบสปริงอันนี้เสียแต่ที่แรก (วะ)
ป่านนี้อาบน้ำนอนไปเรียบร้อยแล้ว แต่คิดๆไปแล้วถึงเราหยิบอันนี้มาเป็นอันแรก
ก็คงจะอยากรู้อยู่ดีแหละว่าไอ้สองอันที่เหลือมันเป็นอย่างไร
สุดท้ายแทนที่จะถอดใส่สามหน ทีนี้ก็จะกลายเป็นสี่หนไป
เพราะต้องวนกลับมาเอาไอ้เจ้าอันนี้ใส่เข้าไปอีกที คืนนั้นล้มตัวลงนอนหลับเป็นตาย
คืนวันรุ่งขึ้นติดงานไม่ว่าง
ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะมาทำต่อก็เป็นอันพับไป เลยต้องเลื่อนไปอีกวันหนึ่ง
ไปๆมาๆถัดไปอีกวันหนึ่งก็ยังไม่ว่าง
มาได้ลงมือทำอีกทีก็วันถัดไปอีกวันซึ่งเหลืออีกสองวันก่อนวันซ้อม
สองทุ่มตรงที่เก่าเวลาเดิม
เริ่มรื้อช่วงล่างออกมาอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุที่มาของเสียงแก๊กๆที่ได้ยินเมื่อสองวันก่อน
จัดแจงถอดเอาล้อออกยกรถขึ้นสามขา เอาไฟยัดเข้าไปใต้รถพร้อมมุดลงไปโยกตามจุดยึดต่างๆ
ทุกอย่างแน่นไม่มีอาการหลวมให้เห็น เลยเพ่งประเด็นไปที่ shock-up จัดแจงถอดชุด coil
over ออกมาอีกที ตรวจเช็คว่ามีอะไรที่มันไม่เข้าที่หรือไม่ จิบกาแฟนั่งพิจารณาบูช
ปลอกบูชทุกตัวอยู่สิบห้านาที ไม่พบว่ามีอะไรผิดพลาด
ทุกอย่างใส่เรียงตามตำแหน่งของมันอย่างถูกต้อง เลยเอา WD-40 ฉีดเคลือบเอาไว้จนชุ่ม
ก่อนประกอบกลับเข้าไปอีกทีหนึ่งแล้วเอารถออกไปลอง
ปรากฏว่าไอ้เสียงแก๊กๆเจ้ากรรมก็ยังอยู่ แถมยังดังกว่าเดิมเสียด้วย
พยายามนั่งนึกความเป็นไปได้ว่ามันน่าจะเกิดมาจากอะไรได้บ้าง
นึกย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อนที่เปลี่ยนจาก Bilstein ไปเป็น KONI
นึกถึงคำพูดของช่างที่บอกว่าตัวแกนโช๊คทุกอย่างกว้างยาวเท่ากัน
ต่างกันแค่เกลียวที่หัวแกนของมันที่มันคนละเกลียวกัน (KONI เกลียวละเอียดกว่า)
เพราะฉนั้นจึงต้องกลึงน๊อตล็อกหัวโช๊คที่ Ball Joint ขึ้นมาใหม่
ผมจึงเอาน๊อตไปที่โรงกลึงแล้วบอกให้เขาขึ้นรูปเอาตามแบบนี้เปี๊ยบ
เพียงแต่ทำให้เกลียวในมันเป็นเกลียวของ KONI เท่านั้นเอง
สองชั่วโมงผ่านไปกับเงินอีกหกร้อยบาท ทุกอย่างออกมาแบบเรียกได้ว่าเปี๊ยบ
ตอนนั้นผมเอา veneer caliper วัดกะมือของผมเอง เพราะฉนั้นมันไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด
แล้วเสียงมันมาได้อย่างไร เริ่มตั้งสมมติฐานว่าเป็นไปได้ไหมว่าขนาดแกนของ Bilstein
กับ KONI มันไม่เท่ากัน เลยจัดแจงถอดออกมาอีกรอบทำการวัดดู ปรากฏว่าจริง แกนของ
KONI ยาวกว่าประมาณ 3 mm (แกนตรงที่เสียบเข้าไปที่บูชของยางพักโช๊ค หรือ Ball Joint
ที่อยู่ใต้ส่วนที่เป็นเกลียว)
มันจึงทำให้ปลอกบูชที่บ่ารับสปริงตัวบนไม่สามารถไปยันกับน๊อตล็อกตัวบนที่ Ball
Joint ได้
เพราะน๊อตล๊อกตัวบนมันไม่สามารถไขลงไปชนกับเจ้าปลอกบูชตัวนี้ได้เพราะเกลียวที่แกนโช๊คมันไปสุดแค่ตรงนั้นซึ่งมันทำให้มี
gap อยู่ 3 mm แต่ที่เมื่อก่อนไม่ได้ยินเสียงตอนใช้สปริงที่ยืมเค้ามา
อาจเป็นเพราะสปริงมันอ่อน และโช๊คอัพก็ปรับเอาไว้อ่อนกว่านี้ น้ำหนัก pre-load
ของรถจึงกดมันเอาไว้ตลอดเวลาและ match กันจนสปริงไม่ rebound ขึ้นมาจนมีเสียง
ตอนนี้สปริงแข็งขึ้นและผมปรับโช๊คให้มันแข็งขึ้นด้วย
โช๊คอัพมันจึงดึงลูกล้อให้ติดพื้นเอาไว้มากขึ้น เพราะฉนั้นเจ้าช่องว่าง 3 mmจึงไปล้อเล่นกับตัวถังเสียงดังแก๊กๆในขณะที่ตัวถัง
rebound ขึ้นไป
Bingo!! รู้ต้นตอของปัญหาแล้ว แค่ทำบูชที่บ่ารับสปริงให้ยาวขึ้นอีก 3 mm
หรือทำน๊อตล็อก Ball Joint ตัวบนให้ยาวกว่าเกลียวที่แกนลงไปอีก 3 mm ก็จบเรื่อง
แต่เรื่องมันไม่จบเพราะตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้วโรงกลึงที่ไหนจะเปิด
ตัดสินใจว่าคืนนี้จะพอแค่นี้ รอพรุ่งนี้เช้าโรงกลึงเปิดก็เอาไปให้เขาจัดการเสีย
แต่ปัญหาก็คือพรุ่งนี้ผมไม่ว่างทั้งวัน
และมานั่งคิดๆดูว่ามันอีแค่ทำบูชกระจอกๆแค่นี้เอง ทำเองก็ได้วะ
อยากเอาชนะมันด้วยแหละ ไปหยิบเอา veneer caliper มาวัดที่แกนโช๊คอีกครั้งหนึ่ง
แล้วจดๆลงไปในกระดาษว่า ø วงนอก 20 mm ø วงใน 15 mm หนา 3 mm
นี่คือโจทย์ที่ผมจะต้องทำ
เดินเข้าครัว เอากาแฟมาอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ๆ และเทกล่องที่ใส่น๊อต
ชิ้นส่วนสัพเพเหระเทออกมากองที่พื้น เลือกเอาดุ้นเหล็กที่มีขนาด 20 mm
เท่ากับชิ้นงานที่จะต้องทำได้ชิ้นหนึ่ง ข้อดีของการเก็บสมบัติบ้าก็มีตรงนี้แหละ
จัดแจงเอากล่องดอกสว่านออกมา มีสารพัดขนาดทั้งแบบเจาะเหล็ก เจาะไม้ เจาะปูน
ตั้งแต่เล็กจนแทบจะเจาะเส้นผมให้เป็นรูตรงกลางได้
จนถึงขนาดที่จะให้เจาะลำกล้องปืนใหญ่ก็แทบน่าจะพอได้ บางขนาดมีมากกว่าห้าดอก
แต่โชคร้ายที่ไม่มีขนาด 15 mm ที่ต้องการเลย ใกล้เคียงสุดก็คือ 13 mm
ไม่เป็นไรขาดไปอีก 2mm เดี๋ยวเอาตะไบแต่งเอาทีหลัง
จัดแจงเอาใส่สว่านไฟฟ้าแล้วเจาะลงไปตรงกลางของเจ้าดุ้นเหล็กนั่น
ภายในห้าวินาทีขี้เหล็กหมุนออกมาตามดอกสว่านเป็นเกลียวเงาวับสวยงามต้องกับแสงไฟหกสิบแรงเทียน
ผมยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะก่อนกระดกกาแฟเข้าไปอีกหนึ่งอึก
จากนั้นไปเปิดตู้เครื่องมือจะเอาเลื่อยตัดเหล็กออกมา
ปรากฏว่าตัวโครงเลื่อยไม่รู้อยู่ไหน มีแต่ใบเลื่อยใหม่เอี่ยมสีฟ้า/เหลืองอยู่หนึ่งอัน
กับอีกอันที่เป็นสนิมแดงเถือกไปทั้งอัน เอาละวะ
มาถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ต้องเอาให้ได้มีใบเลื่อยอยู่กลัวอะไร
ถึงจะไม่มีและจะต้องเอาปากแทะเอาก็คงต้องทำเพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว
เอื้อมมือไปหยิบเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาหุ้มแล้วเอาผ้าขี้ริ้วมาพันเอาไว้อีกทบหนึ่งเป็นด้ามจับ
ลงมือเลื่อยเจ้าดุ้นนี้ให้เป็นแว่นบางๆคะเนเอาว่าให้หนากว่า 3 mm นิดหน่อย
สิบนาทีผ่านไปที่พยายามบังคับใบเลื่อยที่มันดิ้นไปดิ้นมาพลางคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ (กู)
จะไปซื้อโครงเลื่อยตัดเหล็กมาสักยี่สิบสองอันเอามาแขวนให้มันรอบโรงรถไปเลย
ปรากฏว่าใบเลื่อยกินเหล็กลงไปได้แค่ 1 mm คราวนี้มันยิ้มมุมปากเยอะเย้ยผมบ้าง
อีกสี่สิบนาทีต่อมาใบเลื่อยจึงกินทะลุไปอีกข้างหนึ่ง
ถอดเอาดอกสว่านออก แล้วเอาตะไปหางหนูละเอียดใส่เข้าไปแทน
ค่อยๆสอดเข้าไปแต่งในรูด้านในของมันจนได้ขนาด 15 mm พอดิบพอดี
และเอาด้านหน้าและหลังของมันฝนกับตะไบแบนและกระดาษทรายจนได้ความหนา 3 mm พอดี
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงพอดิบพอดี
นี่ถ้าให้โรงกลึงทำแถมให้เค้าเอาเลเซอร์สลักชื่อผมเอาไว้บนนั้นขนาดสามไมครอนก็น่าจะใช้เวลาไม่เกินสามนาที
เป็นเรื่องที่น่าอายมากที่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ใครสักคนมานั่งฝนไอ้แหวนบ้าๆแบบนี้ด้วยตะไบกับกระดาษทรายด้วยมือ
จัดแจงเอามันใส่เข้าไปที่แกนโช๊คตามขั้นตอน
ที่ด้านบนของเจ้าแหวนนี้เสมอกับเกลียวบนของแกนโช๊คพอดี ทั้งนี้ไม่ใช่ฟลุ๊ค
ไม่ใช่โชค ไม่ใช่ดวง แต่มันเป็นความพยายาม แต่คราวนี้มันทำให้บ่าน๊อตตัวบนที่ Ball
Joint อยู่สูงขึ้นไปอีก 3 mm อันนี้เรื่องเล็ก
ไปควานๆเอาแหวนมาได้อันนึงมารองก็เสร็จเรียบร้อย
อีกสิบนาทีต่อมาผมติดเครื่องและเอามันออกไปลองอีกครั้งหนึ่ง ลองกระโดดสะพาน
วิ่งรูดลงไปที่หลุม ฯลฯ คราวนี้เงียบสนิทยิ่งกว่าเป่าสาก จบกันเสียที
จากนั้นก็พยายามขับเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปพลางลงไปเปิดกระโปรงรถปรับ Camber Plate
ไปพลาง เอาทีละนิดๆ ทั้งซ้ายทั้งขวา
ค่อยๆจับความรู้สึกจนถึงจุดที่คิดว่านี่น่าจะอยู่ที่ประมาณ -3
องศาเท่ากันทั้งสองข้าง ก็ขับกลับเข้าบ้าน มองดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนนิดหน่อย
เป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยอีกวันหนึ่ง ถ้าทำงานวันละสอง job หามรุ่งหามค่ำได้ขนาดนี้
น่าจะรวยไปเสียตั้งนานแล้ว ขณะเบิ้ลเครื่องสองสามครั้ง
ตอนปล่อยคันเร่งแล้วรอบมันจะลงมาจนเกือบดับแล้วสวิงกลับไปที่ idle RPM อีก
แต่เครื่องเดินเรียบปกติดี อาการนี้น่าจะเป็นที่ ICV วาล์ว ไปเปิดตู้หยิบเอา ICV
วาล์วที่ซื้อสแปร์เอาไว้อีกสองอันมาลองเปลี่ยนดู เหมือนเดิม เอาละสิ
แต่อาการนี้จิ๊บจ๊อย
ถ้าไม่ได้จริงๆเดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหานายชายบอกให้เอาแบบใหม่ๆมาให้อีกตัวนึงเลย
ได้ยินมาว่าตัวละหกพัน เอาเถอะหกพันก็หกพัน มากันถึงขั้นนี้แล้ว ดับเครื่อง
เก็บเครื่องมือ กะว่าพรุ่งนี้จะเอารถไปตั้งศูนย์อีกทีหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อย
กะว่าจะแวะไปที่ร้านตั้งศูนย์ทางผ่านก่อนไปทำงานก่อน เอารถขึ้นเครื่องตั้ง
จัดแจงบอกความประสงค์กับช่างไปว่าเมื่อวันก่อนผมขับไปตั้ง Camber ไปเอาไว้คร่าวๆ
ถ้า Camber มันไม่เป็น -3 ช่วยทำให้มันเป็น -3 ด้วย
ช่างก้มๆเงยๆอยู่สักพักจนผมเดินสูบบุหรี่ที่หน้าอู่หมดไปหนึ่งมวน
ช่างเดินยิ้มมาหายกนิ้วโป้งให้บอกว่าพี่แน่จริงๆ ผมก็สงสัยว่าแน่เรื่องอะไร
ช่างหยิบรีพอร์ทที่ print ออกมาจากเครื่องให้ดู
แล้วชี้ให้ดูว่า Camber หน้าไม่ต้องตั้งเพราะมันใกล้เคียงกับที่ต้องการมาก
มองดูในกระดาษใบนั้น ด้านซ้ายเป็น -3.0 องศา ด้านขวาเป็น -3.01 องศา
ยืมอมยิ้มด้วยความภูมิใจว่าไอ้เราก็ยังไม่แก่นี่หว่า
และอารมณ์ดีจนอยากจะชวนช่างไปเลี้ยงเบียร์สักสองสามขวด ดีว่าติดงานไม่งั้นชวนไปแล้ว
เช้าวันนี้เครื่องเดินเรียบเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์
ตกเย็นกลับบ้าน ลองรถมาทั้งทาง ทุกอย่างเป็นปกติ
เอารถจอดเข้าโรงและขนเอาเครื่องไม้เครื่องมือและอะไหล่ที่คิดว่าจะต้องใช้พรุ่งนี้ใส่รถ
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ อาบน้ำอาบท่า
เอากาแฟหนึ่งแก้วเดินถือลงมาที่โรงรถว่าจะมายืนชื่นชมมันสักครั้งก่อนนอน
ใจก็คิดไปว่า ไอ้ที่เครื่องมันมีอาการแปลกๆเมื่อวานนี้ เป็นไปได้ไหมที่มันมี Vacuum
รั่วตรงไหนสักจุด อาจจะเป็นที่ท่อใดท่อหนึ่งมันหลวม
หรือปะเก็นตัวใดตัวหนึ่งมันไม่ดี อย่างกระนั้นเลยลองไล่มันดูดีกว่า
ปัญหาเล็กๆแบบนี้แก้ไขไม่ยาก
ดีกว่าไปดับอยู่กลางสนามเป็นเป้านิ่งให้รถที่ตามมาข้างหลังชนเล่น
เดินไปหยิบเอากล่องเครื่องมือที่ใส่เอาไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้วออกมา ถอดกล่อง
Airflow ถอดท่อยาง ถอดสายไฟ ถอดสวิทช์เซนเซอร์ของลิ้นอากาศ ถอด ICV วาล์ว
ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ เลยขยายผลต่อไปที่ Throttle Body ของมัน
ตรงนั้นมันมีปะเก็นอยู่อีกตัวหนึ่งตรงส่วนที่ติดกับท่อไอดี จัดแจงปลดสายคันเร่ง
ถอดท่อระบายไอน้ำมัน ไขน๊อตรอบๆ Throttle Body สี่ตัวออก แล้วดึงมันออกมา Bingo!!
นั้นไง ปะเก็นมันแบนเสียจนไม่รู้จะแบนยังไงแล้ว
มองเผินๆเหมือนกับไม่มีปะเก็นเสียด้วยซ้ำไป ขนาดเอามือค่อยๆลอกมันออกมา (เพื่อจะเอาไปทาบเป็นแบบเพื่อตัดใหม่)
ก็กรอบหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
ไม่รู้ว่าติดมากับเครื่องตั้งแต่ปีหนึ่งเก้าแปดหกเลยหรือเปล่า
เลยช่างหัวมันเดี๋ยวใช้ ปะเก็น silicone ของ Permatex ก็ได้ ง่ายกว่าด้วย เลยเอา
Throttle Body แช่น้ำมันเอาไว้ทั้งตัว เอาแปรงล้างๆๆๆๆและเอา Carburetor Cleaner
ฉีดๆๆๆๆๆเข้าไปในช่องที่ท่อของ ICV วาล์วมันต่อเข้ามา
โอ้โห สกปรกราวกับมีน้ำหมึกสีดำๆไหลออกมา
เลยเอาลงไปแช่น้ำมันอีกรอบและเอาลมเป่าจนสะอาดเงาวับ
และเอากระดาษทรายละเอียดลูบที่หน้าแปลนของมัน และที่ท่อไอดีด้วย
พลางยิ้มในใจว่างานนี้หวานหมูง่ายเหมือนปอกกล้วย ในขณะที่รอมันแห้งสนิท
เดินไปเปิดตู้เครื่องมือ พบ silicone ของ Permatex หลอดหงิกๆอยู่หลอดนึง
แต่บีบไม่ออกเสียแล้ว รีบกระโดดขึ้นรถอีกคันขับไปที่ร้านปากซอยโชคดีที่ยังไม่ปิด
แต่ถึงจะปิดแล้วผมคงจะยืนทุบประตูจนเค้าเปิดมาขายให้ผมจนได้แหละ
กลับมาบ้านจัดแจงประกอบมันกลับเข้าไป
และปล่อยมันเอาไว้ให้แห้งอีกหนึ่งชั่วโมงแล้วเดี๋ยวว่าจะลงมาสตาร์ทเครื่องดูอีกที
ผบ.โทรมาจากอเมริกา บอกว่าซื้ออะไรกันนักกันหนา มีกล่องพัศดุเอามาส่งเต็มไปหมดแล้ว
ลองเปิดดูอันนึงเป็นเหมือนหมอนรองรอบคอที่เอาไว้นั่งหลับในรถ
หลานชายอายุสามขวบเอาไปใส่นอนเล่นบอกว่าชอบมาก เลยบอกว่าเฮ้ยๆๆๆๆ นั่นมันเป็น
Helmet Support เอาไว้รองที่หมวกกันคอหักเวลาแข่งรถ อุตสาห์ไปนั่ง bid แทบตายใน
ebay กว่าจะได้ ราคาเต็มตั้งเกือบร้อยห้าสิบเหรียญ นี่ได้มาแค่หกสิบห้าเหรียญเอง
เป็นผ้า NOMEX เสียด้วย
บอกหลานละกันเดี๋ยวจะซื้อไอ้หมอนแบบนั้นเอาไปให้ปีหน้าที่นี่มีขายเยอะแยะราคาไม่เกินร้อยบาทไทย
วางหู เปิดทีวีดูเรื่อยเปื่อยไปราวหนึ่งชั่วโมงรอให้ปะเก็น Silicone
มันแห้งจึงลงไปติดเครื่อง อาการไม่ได้ดีขั้นหรือเลวลง
แต่มันมีผลทางใจระดับหนึ่งเหมือนกัน เลยปรับ meter ใน Airflow
อีกนิดและสกรูด้านนอกของมันด้วย
ดมกลิ่นที่ท่อไอเสียจนประมาณได้ว่าน้ำมันกับอากาศมันผสมกันพอดี
หลังจากนั้นไขเอาสกรูตั้งขาคันเร่งให้เข้าไปอีกนิดนึงให้ Idle อยู่ที่ราว 1100 RPM
เผื่อเหนียวเอาไว้ เผื่ออาการรอบตกเบาดับจะตามมาอีก
เก็บเครื่องมือ และไปเอาน้ำมาถังหนึ่งกับผ้าเช็ดทำความสะอาดรถ
พลางนึกไปตั้งแต่วันแรกว่ามันอะไรกันนักกันหนา เปลี่ยนโช๊ค เปลี่ยนสปริง ถอดเข้า
ถอดออกจนจำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้ง สว่าน ตะไบ กระดาษทราย เลื่อย ฯลฯ
และการนั่งหลังขดหลังแข็งเกินเที่ยงคืนอยู่หลายวัน แต่ถึงมันจะยุ่งยาก เหน็ดเหนื่อย
มันก็จบลงได้สักที ขณะที่กำลังบรรจงเช็ดกระจกหน้าอยู่นั้น
ตาเหลือบไปเห็นป้ายภาษีที่ติดไว้ที่กระจก
ขยี้ตาสามทีก่อนจะเพ่งดูให้ชัดอีกครั้งหนึ่งว่าอ่านไม่ผิดแน่ มันเขียนว่า วันสิ้นอายุ
6 ก.ค 2550
ให้มันได้อย่างงี้สิวะ !!!
จบภาคหนึ่ง
.........................................................................................................................................................................................................................................................................................
On a given day, a given circumstance, you think you have a limit. And you then
go for this limit and you touch this limit, and you think, 'Okay, this is the
limit'. And so you touch this limit, something happens and you suddenly can go a
little bit further. With your mind power, your determination, your instinct, and
the experience as well, you can fly very high."
Ayrton Senna (March 21, 1960 May 1, 1994)
เช้าวันซ้อม
หลังจากจัดการเรื่องต่อทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
เต็มน้ำมันเต็มถังแล้วเริ่มออกเดินทางสู่สนาม ท่านขุนโทรเข้ามาถามว่าอยู่ไหนกันแล้ว
ผมบอกว่ากำลังออกจากกรุงเทพ ส่วนแกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว อยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างทาง
ผมใช้เส้นทางบางนา-ตราด วิ่งมันทางธรรมดาข้างล่างนั่นแหละ เพราะกะว่าจะวิ่งแค่
80-90 km/h หรือไม่เกิน 100 เพราะเกียร์/เฟืองท้ายมันจัดทำให้รอบเครื่องยนต์สูงมาก
ที่ความเร็ว 100 km/h ที่เกียร์ห้า เครื่องยนต์ทำงานอยู่ที่ 3600 rpm และที่ Cruise
Speed ปกติที่ 120 km/h เครื่องทำงานอยู่ที่ 4400 rpm
ซึ่งมันเป็นอะไรที่สูงกว่าการทำงานปกติมากจึงไม่อยากจะแช่รอบเอาไว้ที่ตรงนั้นนานๆ
กลัวเครื่องและเฟืองท้าย
และพวกท่อไฮดรอลิกต่างๆมันจะทนแรงดันต่อเนื่องขนาดนั้นไม่ได้และเดี๋ยวมันจะขอกลับบ้านเก่าก่อนถึงสนาม
แอร์ก็ไม่เปิด เอากระจกลงหมดสองบาน เพราะกลัว Compressor มันจะพังด้วยเหมือนกัน
หากเป็นเครื่อง Twincam-16 รอบแค่นี้จิ๊บจ๊อยมาก 6000 rpm
แช่เอาไว้เป็นครึ่งชั่วโมงก็ยังเคย แต่นี่มัน Single Cam แถมหกสูบเสียอีก ความ
Stable มันต่างกัน
เพราะฉนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเสียเงินห้าสิบห้าบาทเพื่อขึ้นไปด่วนอะไรอยู่บนนั้น
เพราะยังไงผมก็ต้องวิ่งด้วยความเร็ว 80-90 km/h อยู่ดี
ดูๆไปเหมือนว่าผมก็เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์เหมือนกันแฮะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปกับความเร็วคงที่ที่ 80 km/h
และหลังจากที่ถูกคุณป้าคนนึงที่ดูเหมือนกำลังขับรถไปส่งหลานไปโรงเรียนยิงไฟไล่อยู่ข้างหลังสองครั้ง
ก็ขยับขึ้นมาที่ 100 km/h รู้สึกว่าเร็วขึ้นมาอีกยี่สิบกว่าเปอร์เซนต์
แต่เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมาอีกแปดสิบห้าเปอร์เซนต์
ขับแซงรถคุณป้าคันเมื่อกี้แล้วยกมือขึ้นโบกบ๊าย บายแกไป
เห็นแกทำปากมุบมิบไม่รู้ว่าแกพูดอะไร
ขับไปได้อีกพักหนึ่งรถบนถนนบางนา-ตราดเริ่มเยอะ
ที่ตั้งใจว่าจะขับทะลุตัวเมืองชลบุรีไปเป็นอันเปลี่ยนใจ เลยตัดเข้าเส้นเลี่ยงเมือง
สุดยอดแห่งถนน มีการก่อสร้างเต็มไปหมด เดี๋ยวเบี่ยงซ้าย เดี๋ยวเบี่ยงขวา
หลุมขนาดเป้งๆก็ไม่น้อย เสียดังโครมครามๆไปตลอดทาง ทีนี้ต้องขับไปราวๆ 50 km/h
ไม่งั้นช่วงล่างจะมาลาขอกลับไปบ้านเก่าบ้าง ทำให้ยิ่งช้าลงไปกว่าเก่า
พอมาถึงช่วงโล่งๆเรียบๆ เลยอัดไม่ยั้งเพราะมันเริ่ม late แล้ว ขึ้นไปที่ 120 บ้าง
140 บ้าง ตามองดูเข็มวัดรอบกวัดแกว่งที่ 5000 กว่า rpm ด้วยความลุ้นระทึก
ราวยี่สิบนาทีจึงมาถึงแยกไประยองที่จะผ่านหน้าสนามพีระฯ
จอดที่ปั๊มน้ำมันอันแรกและลงจากรถเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ
หยิบเอาเบอร์เกอร์ที่เขียนที่กระดาษห่อว่าเป็นชนิดหมู (ไม่อยากใช้คำว่าเบอร์เกอร์หมู
เพราะรสชาดมันไม่ได้ใกล้เคียงเลย)
มาสองอันกับแซนวิชที่กระดาษห่อเขียนว่าแฮมชีสอีกหนึ่งอัน รูทเบียร์หนึ่งกระป๋อง
กับน้ำเปล่าอีกสองขวดใหญ่ หอบออกมาที่รถ เด็กปั๊มบอกว่าค่าน้ำมันแปดร้อยกว่าบาท
What the fu
! นี่มันกินน้ำมันเป็นสองเท่าจากปกติเลยนี่หว่า
นี่ขนาดเที่ยวเดียวและเป็นการขับทางไกลนะเนี่ย ครั้งหน้าจ้างเค้ายกมาน่าจะดีกว่า
แต่มันก็ควรจะกินหรอก
เพราะเครื่องยนต์มันทำงานเหมือนกับลากเกียร์สามเกียร์เดียวมาเกือบตลอดทางแบบนั้น
บอกให้เด็กเติมลมยางให้เป็น 37 PSI เด็กก้มลงไปเช็คแล้วบอกว่ามัน 37 PSI อยู่แล้ว
ก็เลยบอกว่างั้นเติม 42 เพราะจริงๆแล้วเมื่อตอนเช้าเติมมา 32
แต่ตอนนี้ยางมันร้อนมันเลยขึ้นไปขนาดนั้น ถ้าตอนนี้มัน 42 PSI
ตอนยางเย็นมันก็น่าจะเป็น 37 PSI พอดี เด็กพยักหน้าหงึกๆ
ไม่รู้ว่าเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า
แต่ก้มลงไปเติมให้ผมใหม่ทั้งสี่ล้อแบบไม่มีปากเสียงตามแบบฉบับลูกจ้างที่ดี
ขับเข้าไปในสนาม เห็นท่านขุนจอดรออยู่ใน Pit อยู่คันเดียว รถของชินอยู่บนเทรลเลอร์
เจ้าของรถยังไม่มา เห็นคนขับรถเทรลเลอร์ยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างรถ
ก็เลยตะโกนบอกว่าให้เอารถมาลงไว้ที่ Pit บนนี้เผื่อเค้าจะรีบไปไหน
ตอนนี้ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ
ผมเอากล่องเครื่องมือลงจากรถในขณะที่กินของที่เหมือนเบอร์เกอร์หมูกันตาย
พลางเช็คใต้ท้องรถ ดูรอยรั่ว รอยซึม มีอะไรหลุดหลวมหรือไม่
จากนั้นเอาปะแจมากวดเช็คน๊อตล้อและเช็คลมยางอีกครั้ง
ขึ้นไปนั่งบนรถเอาหกเหลี่ยมเช็คน๊อตที่ Adapter พวงมาลัย เช็คเบรกมือ และเอา Pad
ที่รองเสริมเอาไว้ที่เบาะออกเพื่อให้ตัวมันจมลงไปในเบาะให้มากที่สุด
มันรู้สึกปลอดภัยดี มันเป็นช่วยเพิ่มความรู้สึกทางใจอย่างหนึ่ง
ที่รองเอาไว้เพราะตอนที่ขับมาทางยาวๆแล้วนั่งจมๆแบบนั้นมันปวดหลัง ทุกอย่างปกติ
พร้อม!! ชินมาถึงพอดีจึงชวนกันไปลงทะเบียนซ้อมที่ที่ทำการของคณะกรรมการ
ได้สติกเกอร์บัตรผ่านเข้าสนามมาติดหน้ากระจกหนึ่งอัน
ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดหนักกว่าเดิม
ประมาณสิบนาทีฝนซาลงเป็นแค่ละลองบางๆ ผมเดินไปดูที่ผิว Track เห็นว่าพอได้
แค่ชื้นๆคงไม่น่าจะลื่นอะไรมากนัก จึงเดินไปหยิบถุงมือ หมวกนิรภัย ออกมาจากกระเป๋า
หันไปชวนท่านขุนบอกว่าให้ออกไปวิ่งด้วยกันไหม
แกบอกว่าพี่เอาก่อนเลยตอนพี่ยังไม่มาผมวิ่งไปสิบรอบแล้ว
ส่วนชินกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อลงไปซ้อมและกำลังจัดสติกเกอร์ที่จะต้องติดรถออกเป็นชุดๆเพื่อจะแจกจ่ายให้เพื่อนที่กำลังจะตามมา
ผมเข้าไปนั่งในรถจัดแจงเอาสายรัดตัวคาด เสียงกดเข้าล็อคดัง คลิ๊ก คลิ๊ก คลิ๊ก คลิ๊ก
ช่วยคอนเฟริมความมั่นใจได้อีกห้าสิบเปอร์เซนต์ เอามือดึง Shoulder Straps
ลงมาให้แน่นแล้วลองโยกตัวไปข้างหน้าทดสอบความแน่น
ก่อนที่จะใส่ถุงมือและเอาหมวกนิรภัยสวมหัวลงไป เอื้อมมือไปสตาร์ทเครื่องยนต์
เครื่องเดินเรียบแต่เหมือนกับส่วนผสมน้ำมันกับอากาศมัน Rich มากไปหน่อย
อาจจะเป็นเพราะฝนตกแล้วอากาศมันเย็น
มันจึงเร่งรอบเองเพื่อให้เครื่องยนต์เข้าสู่อุณหภูมิทำงาน นั่งมองดูเข็มวัดรอบ Idle
อยู่ที่ 1100 RPM อยู่พักนึงจนแน่ในแล้วว่ามันจะไม่สวิง
และรอจนเข็มวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์พ้นขีดสีฟ้า จึงเข้าเกียร์เหยียบครัชออกไปจาก Pit
รอบแรกขับไปช้าๆ เพื่อจะดูว่าตรงไหนมีน้ำขังอยู่บนผิว Track บ้าง
โดยทั่วๆไปแล้วใช้ได้ ยกเว้นแต่ที่ Apex
สองสามจุดที่มันเอียงลาดทำให้น้ำไหลไปอยู่บริเวณนั้น เครื่องยนต์เดินปกติ เกียร์/ครัชปกติ
พวงมาลัย/เบรกตอบสนองปกติ จนรอบที่สองเริ่มทำความเร็วหลังจากออกโค้ง C3
ลากไปสุดที่เกียร์สี่ที่ C4
ก่อนยกคันเร่งและเปลี่ยนเกียร์ลงสามมีเสียงล้อล็อกเบาๆพอได้ยิน
โดยกะว่าจะวิ่งที่เกียร์สามให้ท้ายรถมันกดเอาไว้อย่างนั้นตลอดทางจนออก 100R
หักรถเข้าไปที่ Apex ขวาและปล่อยให้กำลังของรถมันดึงรถออกไปที่ด้านซ้ายของ C5
ตอนนี้รอบอยู่ที่ Redline แล้วแสดงใช้เกียร์ไม่เหมาะสม
มันควรจะเป็นเกียร์ห้าและลงมาเกียร์สี่ตอนก่อนเข้า C4 แต่ก็ยังคง Hold
เอาไว้แบบนั้นเพราะไม่อยากเปลี่ยนเกียร์กลางโค้ง จนกระทั่งหักรถเข้า Apex
ทางขวาของมันและรถเริ่มตั้งลำได้และวิ่งเป็นเส้นตรงไปทางซ้ายไปที่ C6
จึงรีบเหยียบครัชเปลี่ยนเป็นเกียร์สี่ พร้อมทั้งหักรถเข้าไปที่ Apex
ทางขวาของตาเหลือบมองวัดรอบอยู่ที่ Redline อีกแล้ว จึงลงเกียร์ห้าที่ตรง IRC พอดี
จากนั้นมีความรู้สึกว่าวันนี้เกียร์สามคงจะไม่ได้มีบทบาทอะไรแน่ๆ
ใช้แค่สี่กับห้าก็พอ แม้กระทั้งตอนที่ยิงเข้าไปที่ตัว S
สองตัวนั้นก็เข้าไปด้วยเกียร์สี่ รู้สึกว่าที่ล้อขวาสะดุด Curb
เล็กน้อยแสดงว่ายังเร็วไม่พอ แต่ล้อขวารู้สึกเหมือนจะบินข้าม Curb
ขวาไปเลยเพราะไม่รู้สึกว่ามันไปสะดุดอะไร มาเบรกแบบเต็มที่ตรง C11
เปลี่ยนเกียร์ลงสาม มีเสียงล้อล็อกเบาๆอีกทีและกดปล่อย
กดปล่อยเอาไว้อย่างนั้นจนกระทั่งเข้าทางตรง จึงเปลี่ยนเป็นเกียร์สี่ ลากจนถึง
Redline ที่ประมาณตรงกลางๆ Stand ก่อนลงเกียร์ห้าและลากไปจนสุด Redline
อีกทีที่ป้ายเบียร์สิงห์ มองความเร็วอยู่ที่ราว 140 km/h
ก่อนยกคันเร่งและเปลี่ยนเกียร์ลงสามตามสัญชาตญาณเตรียมตัวเข้า C1 ที่อยู่ข้างหน้า
ในวินาทีที่ลงมาที่เกียร์สาม ล้อหลังล็อกเสียงดังสนั่น ท้ายรถมีอาการซวนเซไปทางขวา
จึงเอาเท้าซีกขวาเลื่อนไปแตะที่แป้นเบรกเบาๆในขณะที่เท้าซีกซ้ายกดคันเร่งค้างเอาไว้ที่เกียร์สามให้มันมี
Load อยู่ที่ล้อหลังเอาไว้ ถ้าขืนเบรกอย่างเดียวหรือยกคันเร่ง
น้ำหนักจะลงไปที่หน้ารถทำให้ท้ายรถไม่มี Grip กับพื้นถนนแล้วมันจะไปกันใหญ่
เพราะโค้งนี้มันมุดต่ำลงไปนิดๆด้วย
ไอ้เจ้าแผ่นที่แป้นคันเร่งที่ผมทำขึ้นมาใหม่โดยให้มันมีปีกยื่นออกไปใกล้กับแป้นเบรกมากมากขึ้น
work มาก
ทำให้ขยับเท้าเพียงเล็กน้อยก็สามารถควบคุมการเชื่อมต่อของเบรกและคันเร่งหรือทำ heel
& toe ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
ในรอบถัดไปตรงที่เดิมตรง C1 นี้
ผมลองลงมาที่เกียร์สี่แทนที่จะเป็นสาม มันก็ยังมีอาการล้อล็อกอยู่อีก
นึกถึงคำพูดอาจารย์เล็กบอกกำชับตอนที่ทำเกียร์อันนี้ให้ผมเสร็จใหม่ๆว่า อย่าใช้
Engine Brake เด็ดขาด ทำให้บรรลุขึ้นมาทันทีว่าแกหมายความว่าอะไร
และนึกไปถึงตอนที่ถอดเปลี่ยนเอาแผ่นผ้าครัชแบบที่มีสปริงใส่เข้าไปแทนอันเดิมเมื่ออาทิตย์ก่อน
ยังรู้สึกหงุดหงิดว่ามันไอ้เจ้าสปริงที่จานครัชมันอ่อนไปเลยทำให้การถ่ายกำลังมัน
Delay อยู่นิดนึงก่อนที่ Torque จะถ่ายไปที่ล้อ
ร่ำๆว่าจะเปลี่ยนเอาอันเดิมมันใส่เข้าไปแล้ว ซึ่งมันตอบสนองแบบ Real Time กว่ามาก
ยกครัชปุ๊บรู้สึกได้ในวินาทีนั้นเลยว่า Torque มันลงไปที่ล้อหลังเรียบร้อยแล้ว
แต่พอมาเจอสถานะการณ์แบบนี้บอกตัวเองว่าคิดถูกที่ใช้แบบมีสปริงที่จานครัช
เพราะสปริงมันช่วย Absorb แรง Torque ให้มัน Delay อยู่นิดนึงโดยที่ไม่ไปทำให้ Grip
ที่ยางเสียไปมากนัก (นี่ขนาดมัน Absorb เอาไว้แล้วนะ!!) ขืน Real Time
ขนาดนั้นและเฟืองท้ายยังเป็นเบอร์นี้อยู่ คงจะขับยากเสียจนต้องเกร็งทำให้หมดสนุกไป
หรือไม่ก็หมุนติ้วๆทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์จนเวียนหัวตาลาย
ลองขับแบบนี้เปี๊ยบอีกสองสามรอบ รู้สึกว่าไม่ Work รู้สึกว่ามันไม่ใช่
มันเหมือนมีอะไรขาดไปนิดนึง มันควรจะต้องเร็วกว่านี้
การเชื่อมต่อความเร็วระหว่างโค้งต่อโค้งดูตะกุกตะกักและกระโชกโฮกฮากเป็นช่วงๆ
ซึ่งจริงๆแล้วการขับที่ดีมันต้อง Smooth กว่านี้
นี่เหมือนเด็กหัดใหม่ที่อัดรถโชว์พลังกันตามถนนหลวง เลยเอารถกลับมาที่ Pit
เพื่อมาลองทบทวนดูว่ามีอะไรตรงไหนที่ควรจะต้องแก้ไข เข้าไปเจอกี้ มากับ BMW 2002
คันสวย กับ โป้ง มากับ 131 Racing วันนี้เสียงเครื่องยนต์ดุดันเป็นพิเศษ
สักพักนายอู๋มากับ Alfa Romeo GTA สีแดงสดสะดุดตา เพื่อนคันผมก็มาถึงแล้วเหมือนกัน
แต่รถยังไม่มา เห็นบอกว่ากำลังใส่ Rack พวงมาลัยอยู่ที่กรุงเทพอยู่เลย
สงสัยว่าวันนี้รถจะมาไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป
นั่งทบทวนดูพบว่า หนึ่ง เราขับเกิน Peak Torque ของเครื่องยนต์ออกไปโดยไม่จำเป็น
สอง การใช้ Engine Brake
ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นไปไม่ได้และทำให้เสียเวลาไปปล่าวๆ สาม ผมปวดท้องฉี่!
หลังจากเรียบเรียงความคิดใหม่ได้แล้ว
ก็จัดแจงเข้าไปในรถอีกทีหนึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อย เห็น กี้/โป้ง/อู๋
กำลังเอารถออกไปซ้อมเหมือนกัน นึกสนุกขึ้นมาในทันที เอารถวิ่งไปตาม Pit Lane
ปรากฏว่ากรรมการสนามบอกให้รอก่อน
เพราะมีรถของใครสักคนเกิดอุบัติเหตุอยู่ในสนามนั้นต้องไปลากเอาออกมาและจะต้องตรวจ
Track ว่ามีน้ำมันหกอยู่บนผิวสนามด้วยหรือไม่ เลยเอารถวนกลับมาที่ Pit อีกทีหนึ่ง
นั่งโม้สัพเพเหระกันอยู่ราวยี่สิบนาที สนามก็ Clear สามารถเอารถลงไปได้
รอบนี้ผมพยายามทำตามที่วางแผนเอาไว้ ที่ C4 ผมวิ่งด้วยเกียร์สี่รวดเดียว
ใช้ปั๊มคันเร่งเป็นช่วงๆตอนที่เบารถลงโดยไม่เตะเบรกจนออกไปที่ 100R
รู้สึกได้ว่ารถวิ่งไปที่ Apex ซ้าย-ขวา-ซ้าย-ขวา
อย่างเป็นอัตโนมัติโดยไม่ต้องไปฝืนอะไรมันเลย
และรู้สึกว่ามันเร็วกว่าที่เราจะไปพยายามบังคับรถให้มันเลี้ยวเข้าไปเสียอีก
จากนั้นเปลี่ยนเป็นเกียร์ห้าตอนที่ลอด IRC และแตะเบรกเบาๆหนึ่งทีให้รถวิ่งเข้าไปใน
S ด้วยเกียร์ห้าที่ค้างเอาไว้
รู้สึกว่าเร็วกว่าเดิมมากจนแทบไม่รู้สึกว่าล้อซ้ายสะดุดอะไรที่ Curb เลย
เมื่อตั้งลำได้ที่ปลาย S ก็เปลี่ยนลงสี่ ลากถึงแค่ 5000 rpm
และเปลี่ยนเป็นเกียร์ห้าอีกทีเข้าไปที่ S อีกอันหนึ่งเหมือนเคย
กดเบรกค่อนข้างหนักที่ C11 ซึ่งเป็น Sharp Turn พอดู (เข้าใจว่า 25R ถ้าจำไม่ผิด)
โดยทำ Heel & toe เลี้ยงรอบเอาไว้เพราะไม่ต้องการลงไปที่เกียร์สาม (ซึ่งมันจะทำให้ไปหมดตรงกลางโค้งก่อนถึง
C12 ทำให้เราไม่กล้าลงเกียร์ที่กลางโค้งอีก ทำให้ต้องทนลากเกียร์สามไปตลอดโค้ง
เสียเวลาปล่าวๆ) เมื่อตั้งลำได้
เปลี่ยนเป็นเกียร์สี่อย่างรวดเร็วและเหยียบปล่อยๆๆคันเร่งไว้ที่เกียร์สี่ไปจนถึงกลางโค้งและกดรวดเดียวจนออกไปที่ทางตรงลากเอาไว้แค่
5000 rpm ก่อนเปลี่ยนเป็นเกียร์ห้า มันจะไปสุด Redline
ที่ราวๆเลยป้ายเบียร์สิงห์ไปนิดนึง พอจะเข้า C1 ทีนี้ไม่เปลี่ยนเกียร์แล้ว
ยกคันเร่งแล้วกระทืบเบรกตูมนึง และปล่อยให้รถไหลไปอีกนิด กระทืบอีกตูมนึง
แล้วให้รถไหลลึกเข้าไปโดยที่กดคันเร่งเป็นจังหวะๆช่วยสร้าง Grip ที่ล้อและหักเข้า
Apex ซ้ายทั้งๆที่เกียร์ห้าอย่างงั้นแหละ จากนั้นเปลี่ยนเป็นเกียร์สี่
ให้รถวิ่งพุ่งไปที่ Apex ขวาอีกที ซึ่งตรงนี้ไม่กังวล
ถึงจะเดินคันเร่งผิดพลาดอย่างไรจนต้องลงเกียร์สามก็ไม่มีปัญหา
เพราะมันเป็นทางขึ้นเนิน น้ำหนักมันจะกดลงที่ล้อหลังเต็มๆ โอกาสที่จะ Loose Grip
มีน้อย
ผมทำแบบเดิมนี้ซ้ำๆอีกห้าหกรอบ ลองเปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่างๆกันไปที่ทางตรง จาก 5000
rpm เหลือ 4900 rpm จนเหลือ 4700 rpm พบว่าที่ทางตรงวินาทีสุดท้ายก่อนยกคันเร่งเข้า
C1 รถมีความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 140 เป็น 150 และ 160 km/h
ซึ่งผมลองสลับไปมาอีกสองสามรอบก็คิดว่าการเปลี่ยนเกียร์ที่ 4700 rpm
น่าจะเป็นจุดที่มันสามารถ Utilize
เกียร์ห้าให้ยืดออกไปทำความความเร็วได้สูงสุดในช่วงทางตรง
ซึ่งไม่คิดว่ามันจะเร็วไปกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจเอารถกลับเข้า Pit
น่าแปลกใจมากที่คราวนี้ไม่มีอาการหมุนเหมือนที่นครไชยศรี
และไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถมีอาการ Understeer เลยแม้แต่น้อยนิด
ตอนที่ผมชลอรถเพื่อเลี้ยวกลับเข้าไปใน Pit Lane ตาเหลือบไปเห็น M3
ของท่านขุนจอดนิ่งอยู่ในสนาม เลยปากทางเข้า Pit Lane ไปหน่อยนึง
ผมเลยเอารถเลี้ยวเข้าไปใน Pit Lane
เอารถจอดหลบบนหญ้าข้างๆทางนั่งมองอยู่สิบห้าวินาที เห็นว่ารถคงไปไม่ได้แล้วแน่ๆ
จึงส่งสัญญาณเงียบโดยเอามือปาดคอถามไป ท่านขุนเอามือปาดคอตอบกลับมา
ผมเลยดับเครื่องลงจากรถเดินปีนข้ามรั้วสนามเข้าไปจะไปช่วยเข็นรถกลับเข้ามา
ซึ่งตรงนั้นเป็นโค้งค่อนข้าง High Speed และเป็นจุดที่ลับตาเมื่อรถออกมาจาก C12
และรถต้องวิ่งเข้าไปที่ Line ซ้ายตรงที่รถจอดอยู่ใน Line พอดีซึ่งอันตรายมาก
มองซ้ายมองขวาแล้วรีบวิ่งไปที่ห้วโค้งของ C12 ก่อนเพื่อเตือนรถที่อาจจะวิ่งมา
ปรากฏว่ามีสองคันกำลังอัดกันเข้ามาพอดี จำได้ว่าเป็น E36 Coupe สีเงิน (เสียงเครื่องยนต์สะใจมาก)
อีกคันจำไม่ได้แล้วว่ารถอะไร เลยส่งสัญญาณให้เบารถลง
พอดีเหล่าเพื่อนร่วมทีมวิ่งมาพอดี เลยช่วยกันเข็นรถเข้ามาใน Pit Lane
โดยที่ชินยืนดูต้นทางที่หัวโค้งให้ นายกี้หอบแฮกๆมากเป็นพิเศษ
สงสัยเมื่อคืนกินเบียร์มากเกินไป
เปิดฝากระโปรงดู
ท่านขุนลองสตาร์ทอีกสองสามครั้งก็ไม่ติด ผมไปช่วยเช็คดู พบว่าไฟมี เครื่องหมุน
ปั๊มทำงาน น้ำมันมา แรงดันถูกต้อง ฟิวส์ทุกตัวอยู่ครบ แต่เครื่องไม่ติด
จากการที่ตั้งใจฟังเสียงตอนสตาร์ทดูอีกที จะว่ามันสตาร์ทไม่ติดก็ไม่เชิง
เครื่องมันติดแต่มันเหมือนกับว่าพอมันติดแล้วมันเบาดับมากกว่า
เพราะฉนั้นสาเหตุมาจาก Vacuum ตรงใดตรงหนึ่งมันรั่วมากกว่า
เลยกวาดสายตาไล่ไปตามท่อของเครื่องยนต์ไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จริง พบว่าท่อ Vacuum
ที่ไปเข้ากล่องรวมอากาศมันหลุดออกมา จึงใส่กลับเข้าไป ทีนี้ตูมเดียวติดไม่มีปัญหา
สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันหลุดออกมาได้อย่างไร
เพราะมันก็ต้องใช้แรงสักนิดนึงเหมือนกันที่จะดึงมันออกมา อาจจะเกิดจากการ Back Fire
ก็น่าจะเป็นได้ พอเข้าไปใน Pit ท่านขุนเอา Strap Wire
มาต่อกันสี่เส้นรัดเอาไว้กับกล่องรวมอากาศเผื่อมันหลุดออกมาอีก
จากนั้นผมก็เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน เพราะเดี๋ยวมีธุระต้องไปสัมนาที่หัวหินต่ออีก
เอาเครื่องมือข้าวของเก็บใส่รถ ปล่อยลมยางออกให้เหลือ 32 PSI
พรรคพวกก็เตรียมจะเลิกเหมือนกัน เลยตกลงว่าจะไปกินข้าวกันในพัทยาก่อนแยกย้าย
บางส่วนจอดรถทิ้งไว้ที่สนามเพราะคืนนี้จะค้างกันที่นี่เลย
ที่แรกผมกะว่าจะทิ้งรถเอาไว้เหมือนกันแล้วนั่งรถทัวร์กลับ
หรือจะโบกรถสิบล้อแถวนั้นของเขาติดรถกลับกรุงเทพไปด้วยก็แล้วแต่
เพราะขี้เกียจขับแบบ 80-90 km/h กลับไป มันง่วงนอน
สุดท้ายเอารถกลับเพราะกะว่าจะเอาไปเปลี่ยนสปริงเป็น 15 mm ด้วย
ขณะที่ขับรถกลับเข้าไปในเมืองและจอดติดไฟแดงอยู่
รู้สึกแปลกใจว่าอะไรๆทำไมมันราบเรียบไปหมด นึกถึงคำพูดของ Lt. Col. Hal Moore
ที่แกเคยเป็นผู้บังคับกองพันสมัยที่อเมริกันไปรบในเวียดนาม ที่แกเขียนไว้ในหนังสือ
We were once soldier
and young (ต่อมาเอามาสร้างเป็นหนัง ให้ Mel Gibson เล่น)
ที่อ่านเมื่อเดือนก่อนว่า Nothing's wrong except there's nothing wrong!
ตอนที่แกนั่งอยู่กลางป่าอันเงียบสงัดในหุบเขา Ia Drang ติดชายแดนกัมพูชา
ก่อนที่กองพันของแกจะโดนทหารเวียดนามเหนือที่มีกำลังมากกว่าสามเท่าล้อมถล่มอยู่สองวันสามคืน
ตายกันหลายร้อยคนและเจ็บอีกหลายร้อยจนต้องเอาเฮลิคอปเตอร์มาขนศพกันออกไปแบบเต็มๆลำหลายเที่ยว
(นักบินเฮลิคอปเตอร์ที่เสียงตายแอบเอาเครื่องปิดไฟทั้งลำ
ดำดึ่งลงไปในหุบเขาตอนกลางคืน [กลางวันเข้าไปไม่ได้ โดนยิงตกหมด]
เข้าไปขนคนเจ็บออกมา [คนตายเอาไว้ก่อน ตอนเลิกแล้วค่อยมาเก็บก็ได้ ไม่รีบ]
และเอาเสบียงอาวุธเข้าไปส่งให้เพิ่งได้รับเหรียญกล้าหาญเมื่อกลางปี 2007
ที่ผ่านมานี่เอง ไม่รู้พิจารณาอะไรกันนานขนาดนั้น
เอ่ยชื่อไว้เป็นเกียรติหน่อยก็ได้ว่าชื่อพันตรี Bruce Crandall)
แล้วหัวเราะเบาๆขึ้นมาคนเดียวว่าแกเป็นคนรอบคอบหรือเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายเสียเหลือเกินกันแน่
ขณะที่เสียงหัวเราะยังไม่จบไฟเขียวก็ขึ้น ผมหมุนพวงมาลัยไปทางขวา มีเสียง
อื้ดดดดดดดดด
..และรู้สึกว่าพวงมาลัยมันฝืดมาก ทั้งซ้ายและขวา
ฟันธงลงไปได้เลยว่ามันไม่มีน้ำมันพาวเวอร์อยู่ในนั้นแน่นอน
และสามารถฟันธงลงไปได้อีกด้วยว่ามันเพิ่งมารั่วตอนที่ขับมาที่ร้านนี่แหละ
เพราะที่ขับออกมาจากสนามก็ไม่มีอาการอะไร และที่พื้นใน Pit
ก็ไม่ได้เห็นมีน้ำมันอะไรหยดทั้งสิ้น ขับแบบออดแอดๆๆๆๆไปได้อีกสามไฟแดงจนถึงร้าน
จอดรถ จัดแจงเปิดฝากระโปรงขึ้น เปิดฝากระเปาะน้ำมันพาวเวอร์ เอาไฟฉายส่องลงไป
มันแห้งสนิทไม่มีน้ำมันพาวเวอร์เหลืออยู่แม้แต่หยดเดียว
Lt. Col. Hal Moore แกพูดถูก
Nothing's wrong except there's nothing wrong!
จบภาค 2
......................................................................................................................................................................................................................................................................................
One day a man had a dream. He dreamed he was walking along the beach with the
LORD. Across the sky flashed scenes from his life. For each scene he noticed two
sets of footprints in the sand: one belong to him, and the other to the LORD.
When the last scene of his life flashed before him, he looked back at the
footprints in the sand. He noticed that many times along the path of his life
there was only one set of footprints. He also noticed that it happened at the
very lowest and saddest times in his life. This really bothered him and he
questioned the LORD about it: LORD, you said that once I decided to follow you,
you'd walk with me all the way. But I have noticed that during the most
troublesome times in my life, there is only one set of footprints. I don't
understand why when I needed you most you would leave me."
The LORD replied:
" My son, my precious child, I love you and I would never leave you. During your
times of trial and suffering, when you see only one set of footprints, it was
then that I carried you."
Mary Stevenson
เมื่อ
The Moment of Truth ผ่านไป
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการยอมรับมัน การไปนั่งด่าทอโมโหมัน ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
ที่จริงผมก็นึกอยู่แล้วว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดได้ตั้งแต่ตอนขามาถึงได้ขับประคองรอบเครื่องยนต์มาเกือบตลอดทาง
คิดเสียว่ามันทำงานอย่างซื่อสัตย์อย่างอดทนมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันนี้วินาทีนี้เป็นเวลาพักผ่อนของมันแล้ว
มันคืออดีต แต่ปัจจุบันในวันนี้ก็คือจะแก้ไขมันอย่างไร เพื่อให้นำรถกลับมาให้ทัน
Qualified ในเช้าวันอาทิตย์ และตอนนี้ โคตรหิวข้าวเลย
วิ่งข้ามถนนฝ่ารถมากมายที่ติดราวกับกรุงเทพไปที่ร้านแดง-ดำที่พรรคพวกไปนั่งอยู่ก่อนแล้ว
กินกันเสียจนเจ้าแบงค์ลูกชายเพื่อนคันที่ติดสอยห้อยตามมาเชียร์พ่อถึงสนามสะกิดผมให้ดูชามก๋วยเตี๋ยวที่วางกองพะเนินอยู่โต๊ะข้างๆแล้วหัวเราะ
ทุกคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครทุกข์โศกอะไร
ทั้งๆที่รถชินก็น้ำเดือดเสียจนพุ่งทะลักออกมาจากฝาหม้อน้ำ
ซึ่งโทรไปกรุงเทพบอกว่าถ้าใครสักคนจะมาที่สนามให้ถือฝาหม้อน้ำอันใหม่ติดมือมาให้ด้วย
หรือถ้าไม่ได้เดี๋ยวหายางในรถเก่าตัดเป็นปะเก็นรองเอาไว้ก่อนก็ได้ รถกี้
ทั้งน๊อตและปะเก็นที่ Flang ที่ท่อรวมเฮดเดอร์หลุดหายไปทั้งกระบิอย่างไร้ร่องรอย
จนรอบสุดท้ายที่รถวิ่งเข้ามาใร pit เสียงเครื่องเหมือนใครเอาปี๊บมาตีอยู่ข้างๆ
พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาหายเมาแล้วหาน๊อตแถวๆนั้นสักสองตัวไขกลับเข้าไปก็จบ
หรือถ้าหาไม่ได้เอาลวดแถวๆนั้นรัดเอาไว้ก่อนก็ยังพอไหว
หรือถ้าไม่มีจริงๆวิ่งมันไปทั้งยังงั้นเลยก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
เหมือนรถท่อตรงออกข้างดี รถโป้งอยู่ดีๆระบบบังคับเลี้ยวก็อีกอาการเอียงขึ้นมา
เจ้าตัวบอกไม่เป็นไรยางยังดีและเกาะถนนมาก เลี้ยงพวงมาลัยกะๆเอาได้
พร้อมกระดกเบียร์หัวเราะก๊ากๆอย่างมีความสุข
ทุกคนรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้และมันเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน
ใครที่เถียงกันเอาเป็นเอาตายจากการใช้ Logic ง่ายๆจากการแค่เปิดสเปกของรถรุ่นนั้นมี
Torque เท่านี้รุ่นนี้มีแรงม้าเท่านั้น ดูโน่นสิรถคันโน้นออกเอี๊ยดได้ห้าเกียร์
เพราะฉนั้นคันนี้แรงกว่าคันโน้น คันโน้นจะต้องสวนคันนี้ คันนี้จะต้องชนะคันนั้น
ลองมาร่วมสนุกกันดู
แล้วจะรู้ว่ามันมีอะไรอีกเยอะที่จะบอกได้ว่าใครจะชนะใครในสนามแข่ง
จ่ายเช็คบิลเงินกันเรียบร้อย (สมัยนี้กินก๋วยเตี๋ยวกันทีก็เป็นพันๆบาทเหมือนกันแฮะ)
พรรคพวกยังนั่งล่อเบียร์กันต่อ ผมเห็นว่าท่าจะยาวเพราะเค้านอนค้างที่นี่กัน
ส่วนผมต้องโขยกเอารถพิการคันนี้กลับกรุงเทพและต้องเอาไปทิ้งไว้ที่อู่ก่อนที่เค้าจะปิดและจะต้องขับรถไปหัวหินต่อ
เลยขอเอวังด้วยประการฉะนี้ก่อน
ขับรถออกถึงถนนสุขุมวิท แวะปั๊มแรกเพื่อซื้อน้ำมันไฮดรอลิก ปรากฏว่าไม่มี
ปั๊มที่สอง ไม่มี ปั๊มที่สามก็ไม่มี
ไปได้ที่ปั๊มที่สี่ที่อยู่ห่างออกไปอีกสิบกว่ากิโล
ซื้อมาหนึ่งลิตรเติมลงไปจนหมดกระป๋องนี่แสดงว่ามันรั่วออกไปหมดจดจนหยดสุดท้ายเลยนี่หว่า
เลยซื้อติดรถเอาไปอีกหนึ่งลิตร รู้สึกพวงมาลัยหมุนเป็นปกติ
ขับไปเรื่อยๆไม่เร่งร้อนไปทางเส้นเลี่ยงเมือง
กระแทกตูมๆๆไปทั้งทางได้สักยี่สิบกิโลเมตร
จึงจอดรถลงไปเช็คระดับน้ำมันพาวเวอร์ดูอีกที
เหลียวซ้ายแลขวาเพราะได้ข่าวว่าแถวๆนี้ชอบมีพวกเอาหินปากระจกรถแล้วชิงเอารถไป
กะว่าถ้าใครจะมาปล้นรถ ก็จะบอกว่าพวงมาลัยพาวเวอร์มันเสีย แล้วนี่ BMW นะโว้ย
ซ่อมอ้วกแน่ๆเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน มันรู้แบบนี้แล้วคงจะเปลี่ยนใจไม่กล้าเอาไป
เปิดฝากระเปาะน้ำมันพาวเวอร์ดูอีกที แห้งสนิท แบบนี้มันไม่ใช่แค่รั่วแล้ว
มันทะลักแน่ๆ เลยเปิดกระป๋องกรอกใส่ลงไปอีกหนึ่งลิตรและติดเครื่องทิ้งไว้
เอาไฟฉายส่องดูใต้รถไม่พบว่าหยดตรงไหน แต่พอหมุนพวงมาลัยมันทะลักออกมาที่ปลาย Rack
ทั้งสองข้าง แสดงว่าเป็นที่ซีลที่ปลาย Rack แน่ๆไม่ใช่ที่ท่อของมัน
เลยคิดว่าถ้ามันกินน้ำมันพาวเวอร์หนึ่งลิตรทุกๆยี่สิบกิโลเมตร (หรือน้อยกว่า)
ก็อย่าไปเติมมันเลยวะ ขับมันไปทั้งอย่างงี้แหละมันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
แต่เดี๋ยวถอดสายพานปั๊มพาวเวอร์ออกก่อนดีกว่า
เพราะเดี๋ยวปั๊มไม่มีน้ำมันไฮดรอลิกไปเลี้ยงแล้วมันหมุนอยู่แห้งๆแบบนั้น
ปั๊มกลับบ้านเก่าไปอีกตัวทีนี้จะไปกันใหญ่ ไม่ได้เสียดายหรอกแต่กลัวว่าจะไป
Qualified ไม่ทันวันอาทิตย์
และอีกอย่างยังไงก็กะว่าคราวหน้านี้จะถอดเอาพวงมาลัยพาวเวอร์ทิ้งแล้วเอาพวงมาลัยธรรมดาใส่แทนอยู่แล้ว
ไม่กินกำลังเครื่องดีแล้วก็ไม่ต้องมีชิ้นส่วนที่จะต้องสึกหรอเพิ่มขึ้นมาอีกโดยไม่จำเป็น
ความสะดวกสบายมักจะมากับการบำรุงรักษาราคาแพงเสมอ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
โทรไปที่อู่ดำเนินสปีดที่ใกล้บ้านที่สุด บอกว่าเดี๋ยวจะเอารถไปทิ้งไว้ให้
และอยากจะเอาไปสนามให้ทันวันอาทิตย์ ช่วยเห็นแก่ลูกนกลูกกาด้วยเถิด ที่อู่บอกได้เลย
เดี๋ยวจะเปิดประตูอู่รอไว้ให้เอารถเข้ามาจอดแล้วทิ้งกุญแจเอาไว้เลย ขึ้นรถ
ขับออกไปแบบ Nothing to Lose เอากระจกลงหมดสองบาน
ได้กลิ่นลมหนาวพัดเข้ามารู้สึกสดชื่น เปิด CD ของ Metallica
จินตนาการเหล็กกับเหล็กเสียดสีกันแบบแห้งๆที่ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ใต้ท้องรถนั่นแล้วได้อารมณ์ดี
ไฟหน้าสาดไปป้ายข้างทางบอกว่า กรุงเทพ 96 กม.
แต่ป้ายที่อยู่ในใจของผมบอกว่า หัวหิน 296 กม.
กลับถึงกรุงเทพ เอารถไปทิ้งไว้ที่อู่ และนั่ง Taxi กลับมาที่บ้าน
หยิบกุญแจรถอีกคันเดินไปที่โรงรถสตาร์ทเครื่องเตรียมเดินทางไปหัวหินต่อ
แต่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินและอีกอย่างกว่าจะไปถึงก็น่าจะดึกดื่นพรรคพวก/ลูกน้อง
ก็คงจะหลับกันไปหมดแล้วคงไม่ได้สนุกสนานกัน เลยเปลี่ยนใจว่าไปตอนเช้ามืดดีกว่า
เพราะกว่าจะสัมนาพรุ่งนี้ก็เก้าโมงครึ่ง เลยดับเครื่อง
อาบน้ำอาบท่าและตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ที่ตีสี่
คืนนั้นความฝันเป็นสีแดงทับทิมงดงามเหมือนสีน้ำมันไฮดรอลิก Dexron III
ตีสี่ตรง สะดุ้งตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุก อาบน้ำแต่งตัว ขับรถออกไป
ตอนอยู่บนทางด่วนยังงงๆอยู่เหมือนกันว่ากำลังจะไปไหน อากาศตอนเช้าเย็นสบายดีมาก
เลยปิดแอร์เอากระจกลง จุดบุหรี่สูบแดงวาบๆในความสลัวรางของเช้ามืด
พร้อมกระดกกาแฟที่เอาใส่กระบอกติดรถมา What a wonderful world!!
ถนนโล่งมาก รถก็ขับสนุก ช่วงล่างของ Öhlins
อันใหม่ตั้งแต่เปลี่ยนมาก็เพิ่งได้ขับเป็นเรื่องเป็นราวก็วันนี้แหละ
รู้สึกว่ามันนุ่มนวลแต่เกาะถนนแบบปึ้กๆดีมาก (อาจจะเป็นเพราะยังคุ้นเคยกับการกระแทกตูมๆบนรถคันโน้นจากเมื่อวานนี้อยู่)
ดึงซ้ายดึงขวาไม่มีซวนเซ ของดีๆขับแล้วมันมีความสุขแบบนี้นี่เอง
จากนั้นเหยียบแบบไม่ยั้งให้มันหายจากการอัดอั้นตันใจที่ต้องคลานกระดื๊บๆเมื่อวานนี้
พักเดียวก็ถึงแยกวังมะนาว ตอนนี้รู้สึกว่าถนนเรื่มมีการก่อสร้างเต็มไปหมด หลบซ้าย
เบี่ยงขวา หลุม บ่อ ฯลฯ
ไม่น่าเชื่อว่าผมขับมาอีกฟากนึงของประเทศแล้วถนนมันยังคงเป็นโลกพระจันทร์อยู่เหมือนเดิม
แล้วตกลงตรงว่าถนนตรงไหนของประเทศนี้มันเรียบ (วะ)
ชาตินี้อยากจะไปขับก่อนตายสักครั้ง เลยแวะจอดที่ปั๊มเอามือล้วงไปใต้รถ
หมุนตัวปรับความแข็งของโช๊คหน้าให้คลายออกมาอีกสองคลิ๊ก
วิ่งไปได้อีกสักหน่อยรู้สึกว่ามันนิ่มไป เลยจอดอีกทีแล้วหมุนกลับมาหนึ่งคลิ๊ก
คราวนี้พอดี ของ Öhlins นี่มันแน่จริงๆ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างในทุกๆคลิ๊กเลย
บางยี่ห้อหมุนกันเป็นรอบๆกว่าจะรู้สึกถึงความแตกต่าง
อีกราวชั่วโมงเศษๆก็มาถึงอีกฟากทะเลหนึ่งของประเทศ จัดแจง Check-in
เข้าห้องพักที่เค้าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว เปิดประตูห้องเข้าไป ตกใจว่า
โอโหมันหรูหราปานนี้เลยเหรอเนี่ย
เข้าไปในห้องนอนเห็นมีประตูทะลุออกไปที่ระเบียงและมีบ่อ Jacuzzi
ส่วนตัวหันหน้าไปทางภูเขาเสียด้วย
แต่คิดว่าคงจะไม่มีเวลาได้ลงไปนอนเล่นอยู่ในนั้นหรอก
เพราะเดี๋ยวตอนเที่ยงสัมนาเสร็จก็ต้องรีบบึ่งกลับไปกรุงเทพเพื่อไปเอารถแล้วบึ่งไปสนามพีระต่อแล้ว
รู้สึกเสียดายมากได้ยินมาว่าคืนละตั้งเจ็ดแปดพัน ส่ง SMS ไปหาเพื่อนคันว่า
The fucking steering rack leaks badly on both ends. Uncle Damnern is trying
to fix it up by today
จากนั้นลงไปกินอาหารเช้านั่งคุยกับพรรคพวก
เพื่อนร่วมงาน จนถึงเวลา นั่งฟัง Team Leader ของแต่ละทีม Brief และอธิบายให้ฟังถึง
Roadmap ของทีมตนทีละทีมๆ
ด้วยความทึ่งในความสามารถและความสำเร็จในปีที่ผ่านมาขององค์กรจนเติบโตแบบก้าวกระโดด
หลังจากนั้น กินอาหารกลางวัน ทุกอย่างเฟอร์เฟ็คแบบไม่มีที่ติ (สถานที่ชื่อ
Springfield Resort Golf f& Spa โฆษณาให้ฟรี เพราะของเค้าดีจริง แต่ถ้าจะส่งบัตรฟรี
หรือบัตรลด 50% มาให้ผมก็จะดีไม่น้อย) สนุกสนานจนลืมเรื่องแข่งรถไปเลย
จนบ่ายโมงเศษๆ The moment of truth ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
พี่ดำเนินบอกมาทางโทรศัพท์ว่า
ซีลที่ปลาย Rack รั่วและที่เสื้อ Rack เป็นรอยลึกมากถึงเปลี่ยนซีลก็ไม่น่าอยู่
ต้องทำปลอกเหล็กสวมเอาไว้ ตอนนี้ส่งไปที่โรงกลึงแล้ว
แต่คิดว่าไม่น่าจะเสร็จทันในวันนี้
น่าจะเกิดจากที่ผมวิ่งมาแห้งๆเมื่อวานนี้? ผมถามไป
ไม่น่าใช่ ดูแล้วเป็นรอยเก่า แต่ที่ซีลมันแตกน่าจะเกิดจากแรงดันน้ำมัน
มันเอาไม่อยู่ เดี๋ยวจะเร่งให้ แต่ดูแล้วไม่น่าจะทันนะ
ถ้างั้น
.วันอาทิตย์
ผม
..
ไม่เป็นไรน่า คราวหน้ายังมี
ประโยคสุดท้ายที่แสนจะอบอุ่นจากพี่ดำเนินตำนาน BMW Motorsport
อีกคนหนึ่งของเมืองไทย ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ผมวางหู มองไปที่ไอ้เจ้าบ่อ
Jacuzzi แล้วยิ้มให้มัน
เสียงโทรศัพท์ปลุกผมให้สะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นมาเห็นน้ำเดือดพลักๆอยู่รอบๆตัว
มองไปที่นาฬิกาที่ข้างฝา โอโห
ผมนอนหลับแช่อยู่ในบ่อนี้เกือบสองชั่วโมงแล้วเหรอเนี่ย
ดีนะที่ไม่จมน้ำตายคาอ่างไปแล้วเดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่น
เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ในใจคิดว่าพี่ดำเนินคงโทรมาบอกว่าเมื่อกี้เทพเจ้ารอมิวรุส
ลงมาจากสรวงสวรรค์เพราะเห็นแก่คุณงามความดีของผมครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ
ตอนที่เป็นลูกเสือแล้วพาคนแก่เดินข้ามถนน ได้เอาไม้คทาศักดิ์สิทธิ์มาแตะที่ Rack
พวงมาลัยทำให้มันใช้งานได้อย่างอัศจรรย์ ปรากฏว่าเป็นเพื่อนคันผมโทรมา
พี่ ออกมาจากกรุงเทพหรือยัง?
ยังอยู่หัวหินอยู่เลย พี่ดำเนินคอนเฟริมแล้วว่าวันอาทิตย์นี้ลงสนามไม่ทันแน่นอน
อ้าว มันซ่อมไม่ได้เหรอ?
ซ่อมได้ แต่มันไม่ทัน มันต้องรอโรงกลึงทำปลอกขึ้นมาใหม่
เอางี้พี่ เดี๋ยวไปเอาของผมที่ถอดออกมาเอาไปใส่ก่อน
เดี๋ยวผมโทรบอกที่อู่เฮียเล็กให้
ไม่เป็นไร ผมไม่ได้อยู่ที่โน่นไม่รู้จะไปเอายังไง มันจะยุ่งยากคนอื่นเขาเปล่าๆ
ที่จริงเมื่อวานก็รู้สึกเต็มเหนี่ยวและก็รู้สึกพึงพอใจกับการขับมากๆแล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้ตามไปเชียร์เฉยๆดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน
นี่สิถึงจะเรียกว่าเพื่อนคัน เสียงเครื่องยนต์ที่แผดลอดตามโทรศัพท์ออกมา
มันช่างทำร้ายจิตใจผมเสียจริงๆ นี่ถ้าผมอยู่กรุงเทพ
ผมอาจจะวิ่งไปที่เชียงกงซื้อชุดพวงมาลัยธรรมดามันมาใส่มันทั้งชุดเลยก็ได้
ไม่ต้องไปซ่อมมันให้เสียเวลาหรอก ถูกกว่าและเร็วกว่าด้วย
ลุกขึ้นจากน้ำ อาบน้ำอีกที ดูเวลาแล้วยังไม่ได้เวลา Party ตอนเย็น
เลยเอาคอมพิวเตอร์มาเปิดเขียนเรื่องนี้ (ภาค 1) เอาไว้ได้สองสามหน้า
หลังจากนั้นเอารถออกไปขับเล่นตรงเส้นเลี่ยงเมืองที่จะไปปราณบุรี ฝนตกปรอยๆ
แวะร้านกาแฟสดเจ้าประจำที่เป็นเพิงอยู่ข้างทาง ที่เปิดมั่งไม่เปิดมั่ง
แต่วันนี้เปิด นั่งกินกาแฟหอมๆ ตอนฝนตกปรอยๆ รู้สึกได้อารมณ์ดี
คืนนั้นบรรจุผลิตผลของแอลกอฮอล์เข้าไปกี่ขนานจำไม่ได้
เดินโซเซกลับมาห้องพักและล้มตัวนอนตอนตีหนึ่งพอดี
ลืมตาขึ้นมาตอนเกือบเก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัว
ลงไปกินอาหารเช้า
ราวสิบโมงครึ่งล้อก็เริ่มหมุนสู่จุดหมายปลายทางที่อีกฟากหนึ่งของอ่าวไทย- สนามพีระ
พัทยา
สองชั่วโมงเศษๆต่อมา
ขณะอยู่บนเส้นเลี่ยงเมืองชลบุรี เพื่อนคันโทรเข้ามา ผมบอกว่าอีกยี่สิบนาทีน่าจะถึง
แกบอกว่าเข้ามาแล้วขึ้นมาที่ Pit ที่เดิมเลย เพิ่งควอลิฟายเสร็จ
เสียงแกรื่นเริงผิดปกติ มารู้ตอนหลังว่าแกควอลิฟายได้ Pole Position
แวะจอดที่ปั๊มน้ำมันหน้าสนามที่เดิมอีกที เข้าไปหยิบเบอร์เกอร์ชนิดหมูมาอีกสอง
แซนวิชอีกหนึ่งเหมือนเดิม ขับเข้าไปที่สนาม
ที่ปากทางเข้ามีโต๊ะเอามาตั้งไว้มีป้ายบอกว่าค่าเข้าห้าสิบบาท เลยกดกระจกลง
เตรียมอธิบายเรื่องราวให้เค้าฟัง น้องผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินเห็นหน้า
เธอเลยบอกว่าอ้าวพี่เองเหรอ เข้าไปเลยค่ะๆๆ
เข้าไปสนาม เห็นบรรยากาศแห่งความสนุกแบบเต็มๆ ประมาณคร่าวๆแล้วรถ (ที่จะลงแข่ง)
น่าจะมีเป็นร้อยคันขึ้นไป มีทั้งแบบเดิมๆ และแบบเต็มๆจอดอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด
คิดไปว่าบ้านเราก็มีคนสนใจกีฬาแบบนี้ไม่น้อยเหมือนกันแฮะ
รัฐบาลน่าจะสนับสนุนให้มากๆหน่อย
ค่าใช้จ่ายในการแข่งจะได้ถูกลงเพราะค่าทำรถมันหนักหนากันอยู่แล้ว กีฬา Motorsport
จะได้มีผู้สนใจเข้าร่วมสนุกมากกว่านี้ เอารถวนขึ้นไปบน Pit ที่เดิม
ที่ว่างเมื่อวันก่อนไม่มีแล้ว เลยเอารถไปจอดเอาไว้ที่หน้าส้วม
เดินทักทายพวกพ้องไปรอบๆ Pit ทุกคนดูพร้อมและมั่นใจ
แต่ดูขรึมๆกันไปเหมือนกำลังใช้สมาธิ เลยไม่ได้ไปรบกวนมากนัก
เป็นผมอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนลงสนามจริง ผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่ได้กลัว
ไม่ได้ปอดแหก แต่อยากอยู่เงียบๆคนเดียว เลยเดินไปที่ขอบสนาม
รุ่นขับสี่ล้อกำลังแข่งกันอยู่ สะใจมาก ได้เห็น Race Line
ชนิดที่รถขับสองล้อไม่มีทางที่จะทำได้แน่นอน เจ้าแบงค์เดินมาดูด้วย ดูสนใจเป็นพิเศษ
ถามโน่นถามนี่อย่างสนใจตลอดเวลา ตอนหลังบอกเพื่อนคันไปว่าอีกสองสามปี
เตรียมเงินเอาไว้ได้เลย ดูท่าทางคงจะไม่หนีพ่อเท่าไหร่
จนถึงเวลาของรุ่น C12 จึงเดินกลับไปที่ Pit ไปช่วยเพื่อนคันจัดเอา Safety Harness
รัดเข้ากับเบาะ ใส่ถุงมือ ใส่หมวกเรียบร้อย ช่วยเช็คสาย Harness
ทุกเส้นว่ามันแน่นแบบที่ควรจะเป็น
เสียงเครื่องเดินอย่างหนักแน่นด้วยกำลังอัดสิบเอ็ดกว่าๆของมัน
ยกมือขึ้นจับกล่าวคำโชคดี และในใจบอกว่า เพื่อนเอ๋ย ที่บ้ากันมาเกือบสองปี
ก็วันนี้แหละ Go for it!! ก่อนที่เพื่อนคันจะเหยียบครัชเข้าเกียร์นำรถออกจาก Pit ไป
ที่ Grid Start ดูเหมือนผู้ชมจะให้ความสนใจกันมาก โดยเฉพาะรถ BMW 2002 ของกี้
คนยืนรุมถ่ายรูปกันต็มไปหมด จนคันที่อยู่ในแถว Start แรกๆงงว่าตกลงคันไหนมัน Pole
Position กันแน่ (วะ) รถของกี้สวยมากครับ ยิ่งตอนที่จอดอยู่ใน Track
รถสีขาวตัดกับล้อสีสองที่ค่อนข้างกว้าง เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกแบบ Motorsport
ในยุค 60s มาก ภาพแบบนี้คงหาดูไม่ได้บ่อยๆ ถัดๆในแถวสตาร์ทลงมาเป็นรถจาก VW/Audi
และ Alfa คลับ จอดลดหลั่นกันตามความดุดันของรถกันลงมา Alfa 155 สีส้มแบบ Full Race
ก็มา จำได้ว่าเมื่อ Track Day ครั้งที่แล้วก็มาลงร่วมสนุกด้วย
น้องนะของลงร่วมสนุกแบบไม่แข่ง ถูกจัดให้ไปอยู่ที่แถวสุดท้ายของ Grid Start
ซึ่งอยู่ห่างจากคันสุดท้ายของ Grid ไปอีกสามสี่แถว จอดคู่กับ Alfa GTA
ของอู๋ที่ไม่ได้ลงควอลิฟาย หลังจาก Warm-up Lap ผ่านไปรถเข้าสู่ Grid Start
ตามตำแหน่งอีกครั้ง เสียงสัญญาณ 1 นาทีเตือนพร้อมให้รถทุกคันสตาร์ทเครื่อง
เสียงเครื่องยนต์จากเยอรมันสามยี่ห้อสิบกว่าคันและจากอิตาลีสองยี่ห้ออีกสามคัน (เสียดายที่
Maserati ลงไม่ได้เพราะเครื่องมีปัญหาไปก่อนหน้านี้ ไม่งั้นคงจะเป็นสาม)
ดังระงมเพราะพริ้งอย่างบอกไม่ถูก สัญญาณไฟเขียวสว่างขึ้น
เสียงคันเร่งปนกับเสียงยางบดลงไปบนผิมสนามดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว
รอบแรกวนมา รถยังวิ่งติดๆกันโดยไม่ทิ้งช่วงมากนัก VW Turbo ของหม่อมตุ้ยนำออกจาก
C12 มา ตามมาด้วย E30 S14 ของเพื่อนคัน และ E30 M3 ของท่านขุนเป็นอันดับสาม
พอเข้ารอบที่สองเริ่มจะห่าง VW Turbo จับคู่กันออกมากับ E30 S14 จากโค้ง และอีกราว
2-3 วินาที E30 M3 ก็ตามออกมากับรถที่เหลือ รอบที่สาม-สี่
รถสองคันแรกเริ่มทิ้งห่างกลุ่มหลังออกไปมากขึ้น ผมคิดว่าอยู่ในราว 1/3
ของสนามเห็นจะได้ ส่วนรถของชินเกียร์มีปัญหาต้องจอดที่รอบที่สี่ รถเพื่อนคันตามบี้
VW Turbo แบบเรียกได้ว่าหายใจรดต้นคอมาตลอดทางทุกรอบ แต่ในช่วงทางตรง
ถึงแม้จะพิกัดสองร้อยกว่าแรงม้าพอๆกันก็เถอะ Turbo ก็ดึง VW
ยืดออกไปอย่างเห็นได้ชัด ผมยืนตะโกนลุ้นอยู่ที่หัวโค้ง
เจ้าแบงค์ก็ตะโกนเชียร์พ่ออยู่เหมือนกัน แต่ดูแล้วน่าจะลำบากเพราะที่ทางตรง VW
Turbo แรงจริงๆ และผมดูจากที่รถของเพื่อนคันบานออกมาเต็มๆจาก C12
แบบนั้นก็คิดว่าคงอัดออกมาแบบ 100% แล้ว จนรอบสุดท้ายอีกประมาณ 500
เมตรก่อนเข้าเส้นชัย VW Turbo ก็น๊อครอบได้
ส่วนเพื่อนคันขับมาดีๆก็เกิดหมุนเสียงดังสั่นหวั่นไหวขึ้นมาตรง C11 เสียอย่างงั้น
แต่ก็ยังตั้งลำเอารถเข้าเส้นเป็นที่สองได้ ตามมาด้วย E30 M3 ของท่านขุนเป็นที่สาม
การแข่งขันจบ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
ผมรู้สึกได้ว่าไม่ได้มีใครแคร์เสียด้วยซ้ำไปว่าใครจะชนะจะแพ้ใคร
ทุกคนมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ตนเองรัก
รางวัลเป็นแค่สิ่งที่เตือนใจให้นึกถึงภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในใจซึ่งไม่มีใครเห็นและจับต้องไม่ได้
และใครจะขโมยเอาไปก็ไม่ได้ด้วย ใครจะคิดอย่างไรไม่รู้
แต่สำหรับผมคิดว่าการที่ลงไปสนามแบบนั้น ชีวิตมันเสี่ยงตายไม่น้อยทีเดียว
ซึ่งมันเป็นสีสรรเย้ายวนใจเหมือนกับกีฬา Extreme แบบอื่นๆ
การที่ได้กลับขึ้นมาด้วยอาการครบสามสิบสอง
ก็ถือว่ามันเป็นชัยชนะอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
และเป็นมันเหมือนเป็นการทดสอบความเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง
และสิ่งนี้มันจะอยู่ในลมหายใจที่คอยเรียกให้เรากลับไปหามันอยู่อีกเรื่อยๆ
เรื่องราวแบบนี้มันจะยังคงมีต่อไปอีกแน่นอน
จนกว่าจะถึงวันนั้น
จบ
.................................................................................................................................................................................................................................
Back to main STORY Page
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Copyright 2000-2008. The Flying Dutchman