HOME

                                                                                                                                          

                                                

         Back to main STORY Page

 

                                                                                                                                         

เรียบเรียงจากกระทู้ของ นาย Keith ใน Roadfly.com
ขออุทิศส่วนกุศลให้ผู้หลอกเค้า และผู้โดนเค้าหลอ

หมายเหตุ: รูปทั้งหมดเป็นรูปแทน ไม่ได้เกี่ยวข้องรถคันที่อยู่ในเรื่องนี้


รื่องราวทั้งหมดนี้เกิดในวันที่ 7 พฤษภาคม หลังจากผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายเดือนว่าจะซื้ออะไรให้กับตัวเองดี เพาเวอร์แอมป์สำหรับกีตาร์สักตัว หรือนาฬิกาข้อมือดีๆสักเรือน หรือเอาเจ้า 320i ปี 1977 ของผมไปทำสีใหม่ หรือว่าจะซื้อชุด performance upgrade ให้กับเจ้า 325i คันโปรดดี สุดท้ายแล้วผมตัดสินใจที่จะซื้อ M3 E30 อีกหนึ่งคัน

เนื่องจากมาคิดดูแล้ว M3 E30 มันน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า 320i หรือ 325i ผมเป็นนักแข่งฝีมือดี เพราะฉนั้นเจ้า M3 น่าจะเหมาะกับผมเพราะมันเป็นตัวท๊อปสุดของ E30 ซึ่งกำเนิดมาจากสุดยอดวิศวกรรมของ BMW นอกจากนี้ อย่างน้อยผมคงจะรู้สึกเจ๋งไม่เบาถ้าได้เป็นเจ้าของมัน ภรรยาผม –Andrea คงจะชอบมันด้วย ผมอาจจะให้เธอขับบางนานๆครั้ง อืม… โอเค…นานๆๆๆๆๆๆๆครั้งละกัน

จากนั้นผมก็ทำการหาข้อมูลแบบคนทั่วๆไปเค้าทำกัน เช่นค้นหาโฆษณาขายใน Roundel Magazine, search ใน ebay และใน classified ในอินเตอร์เนทตาม website ต่างๆ จนมาพบคันหนึ่งที่ลงขายเอาไว้ใน Auto Trader โฆษณาพร้อมลงรูปเบลอๆ เอาไว้ว่า

“1989 BMW M3, red/sand, 107k miles. a/c converted 134A, garage kept, very clean car, $10,500 OBO, 561-383-7985”

อ่านแล้วน่าสนใจ ราคาถือว่ารับได้เมื่อเทียบกับรถที่ใช้มาแค่ 107,000 ไมล์ บางทีอาจจะหาได้ถูกกว่านี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถไม่เดิม แต่งมาเละเทะ หรือไม่ก็ใช้งานมาจนไมล์สูงมาก ผมดูที่รูปแล้วรู้สึกชอบล้อ (ที่เปลี่ยนมาแล้ว) ของมันด้วย เลยรีบยกหูโทรศัพท์โทรไปเพื่อถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วๆไป

หลังจากที่ผมบอกวัตถุประสงค์การโทรมากับเขาไป เขากระตือรือร้นเป็นอย่างมากที่จะแนะนำตัวเขาเองให้ผมฟัง เขาบอกว่าเขาชื่อ Francisco Montoya ทำงานให้กับ NASCAR Technical Institute และเขาเป็นตัวแทนของ Division of the United Technical Institutes Corporation ผมฟังดูแล้วบอกตัวเองว่าน่าจะมาถูกทางแล้ว หมอนี้ต้องรู้เรื่องรถยนต์เป็นอย่างดี ไม่ใช่พวกงูๆปลาๆแน่ ผมจึงเริ่มถามคำถามทั่วๆไป
“ยูใช้รถคันนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”
“สี่เดือน”

“แล้วทำไมจะขายเสียล่ะ?”
“ทีแรกตั้งใจจะเอามาวางเครื่อง M50 แต่ตอนหลังมาคิดดูว่าตอนนี้ก็มี M5 (E28) อยู่คันนึงแล้วก็ 1950’s Studebaker Street Rod อีกคัน ถ้าขืนเก็บเอาไว้อีกคัน เมียคงจะฟ้องหย่าแน่”

“อืม…เข้าใจ แล้วคันนี้ยูได้มายังไงล่ะ?”
“ซื้อมาจาก ‘The Collection’ ใน Miami ที่นี่ขายแต่รถเจ๋งๆเท่านั้น”

“…’The Collection’??”
“ใช่ ‘The Collection’ เป็นดีลเลอร์ขายรถ Porsche นอกจากนี้ยังขาย Maserati, Ferrari, Aston Martin แล้วก็ Lotus ด้วย คันนี้เป็นรถที่ลูกค้าเค้าเอามาเทิร์น”

“ว้าว…น่าสนใจ ส่วนรายละเอียดอื่นๆล่ะ?”
“เอ่อ…รถเพิ่งพ่นสีใหม่”

“หือ…เกิดอะไรขึ้น???”
“ที่นี่มันร้อน ลองเจอแดด Florida เข้าไป รับรองสีรถอยู่ไม่ถึงสิบปีหรอก”

“แล้วตัวถังล่ะ มีอะไรต้องซ่อมไหม?”
“ไม่มี”

“ภายใน?”
“สุดเนี๊ยบ”

“เจ้าของเดิมเป็นคนสูบบุหรี่หรือเปล่า?”
“ไม่….ไอก็ไม่สูบ….เคยสูบ แต่เลิกมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้ได้กลิ่นบุหรี่ก็ไม่ไหวแล้ว ไอ้กลิ่นบุหรี่เนี่ยมันติดนานมาก ไม่มีทางกำจัดมันออกจากรถได้หรอก ถ้าเจ้าของเดิมสูบบุหรี่ ไอน่าจะรู้สึกได้”

“เครื่องยนต์ล่ะดีไหม?”
“รถคันนี้ถูกเช็คมาหมดแล้วจาก ‘The Collection’ ที่นี่ถ้ารถมีอะไรผิดปกติหรือไม่สวยจริงเค้าไม่รับเทิร์นเข้ามาหรอก”

“รวมไปถึงการเช็คกำลังอัด และวาล์ว?”
“ใช่”

“แล้วอื่นๆล่ะ?”
“เพิ่งเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและน้ำมันไฮดรอลิกไป ใช้ของ Redline แบบ Synthetic ด้วยนะ”

“อ้อ แล้ว maintenance record ได้เก็บเอาไว้ไหม?”
“น่าเสียดาย รู้สึกว่าเจ้าของเดิมจะทำหายหรือเก็บเอาไว้นี่แหละ”

“ไม่เป็นไร ไอน่าจะไปตามเอาจากเจ้าของเดิมได้ไม่ยาก แล้วกระจก, ยาง, ล้อ, ระบบไฟ, ระบบเบรก, แบตเตอรี่, เกจ์วัดที่หน้าปัทม์, cruise control, ไฟเลี้ยว, กระจกมองข้าง, ที่ปัดน้ำฝน, ระบบล็อกของประตู, กระจกไฟฟ้า, เครื่องเสียง, แอร์, พวงมาลัยเพาเวอร์, เกียร์, เฟืองท้าย, ระบบหล่อเย็น, ไฟหน้า,ท่อไอเสีย, ซันรูฟ, เฟรมตัวถัง, กันชน, คอนโซล ฯลฯ มีเสีย ฉีกขาด หลุดหาย แตกร้าว หรือมีสนิมเสียหายตรงไหนบ้างหรือเปล่า แล้วมีน้ำมันรั่วหรือมีเสียงแปลกๆดังจากเครื่องยนต์หรือเปล่า”
“ไม่มี…….ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่ PERFECT! รับรองว่ายูไม่ผิดหวังแน่ๆ”

“ไออยู่ที่รัฐ Washington ยูคิดว่าไอสามารถขับมาถึงบ้านได้หรือเปล่า ระยะทางคงจะราวๆ 3000 ไมล์”
“หายห่วง ยูแค่เติมน้ำมันแล้วสตาร์ทรถออกไปได้เลย”

“ฟังดูแล้วเพอร์เฟคมาก แปลกว่าทำไมยังไม่มีใครมาสอยเอาไป”
“ไอเพิ่งเอาลงโฆษณา”

“รู้ไหม ไอยินดีที่จะบินจากที่นี่ไปเพื่อซื้อทันที ถ้ารถมันสวยขนาดนั้น”
“รถคันนี้สวยมาก”

“สีใหม่ที่ทำออกมาดีไหม อย่างเช่นมีเป็นคลื่น?”
“ไม่มีเลย งานออกมาดีมาก”

“ตัวถัง เส้นต่างๆ เข้ารูปดีปกติเหมือนเดิมหรือต้องมาแก้เพิ่มเติมอีกหรือเปล่า?”
“ไม่”

ตอนนี้น้ำเสียงของนาย Francisco ชักจะออกรำคาญหน่อยๆ

“แล้วเรื่องทะเบียนล่ะ ถูกต้องและ clean ไหม?”
“ทะเบียน clean ถูกต้อง แต่ไอยังไม่ได้โอนย้ายมาจดทะเบียนใน Florida เพราะตอนนี้ไม่ได้ขับ”

“ไม่มีประวัติว่าเป็น salvage นะ”
“ไม่มีแน่นอน รถคันนี้ทะเบียน clean”

(หมายเหตุ: ในอเมริกา รถที่พังเสียหายมากๆ หรือที่เรียกว่า “totaled” ประกันจะตีราคาชดเชยให้เต็มราคาให้กับเจ้าของรถ หลังจากนั้นตัวรถอาจจะถูกขายทิ้งให้กับ Junk yard ไปเพื่อเอาไปทำลาย หรือไม่ก็เอาไปประมูลขายเป็นซากรถให้กับ Auction ซึ่งในกรณีนี้หากใครซื้อไปและเอามาจดทะเบียนใหม่ ในระบบจะบันทึกเอาไว้ว่าเป็น “Salvage” และในทะเบียนจะประทับคำว่า “Salvage” เอาไว้ด้วย
จากประสพการณ์ที่ไปเห็น Junk yard ในอเมริกา รถที่รอทำลายสภาพยังดีกว่ารถอีกหลายคันที่วิ่งบนถนนในเมืองไทย- F/D)

“เสียงเครื่องยนต์ล่ะ”
“เสียงยังแน่นมาก เดิมๆเหมือนออกมาจากโรงงาน ยากนะที่ยูจะหารถสภาพดี ใช้น้อย ในราคาขนาดนี้”

“เท่านี้ยูรู้ รถคันนี้เคยเอาไปใช้เป็นรถแข่งในสนามมาบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่เคยแน่นอน”

“ล้อที่เห็นใส่อยู่ในรูปเป็นยี่ห้ออะไรเหรอ?”
“เป็นของ MOMO ขนาด 17 นิ้ว”

“มันขนาดพอดี หรือต้องรอง spacer หรือ hub center ring ช่วยหรือเปล่า?”
“ขนาดพอดี ไม่จำเป็นต้องใช้ spacer”


จากนั้นนาย Francisco เริ่มอธิบายให้ผมฟังว่า เพราะล้อติดรถมาจากโรงงานของ M3 เป็นแบบหน้าหลังขนาดไม่เท่ากัน ข้างหน้าจะเป็น 7 นิ้วและหลังจะเป็น 7.5 นิ้ว ซึ่งมันจะมีปัญหาเวลาสลับยาง เจ้าของเดิมเลยเปลี่ยนมาใส่ล้อ after market แทนเพื่อตัดปัญหา ผมฟังอธิบายก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะมีอยู่บ่อยๆที่รถบางรุ่นมีล้อหน้าและหลังมีขนาดความกว้างไม่เท่ากันมาตั้งแต่โรงงาน หรือบางทีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกันเลยก็มีเช่นหน้าเป็น 14 นิ้ว และหลังเป็น 15 นิ้ว แต่ในกรณีนี้ผมว่าแกตอแหล เพราะผมมั่นใจว่าล้อลายซี่ๆของ M3 จากโรงงานเป็นขนาดหน้า-หลังกว้างเท่ากันแน่นอน

“แล้วมันใส่กับยางอะไรล่ะ?”
“ยาง Semperit”

ชื่อไม่ค่อยคุ้นหู แต่ผมคลับคล้ายคลับคลามามันเป็นยางเยอรมัน พิจารณารวมๆดูแล้วใช้ได้ ถึงแม้ออกจะน่าสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมรถถึงต้องถูกพ่นสีใหม่ ทั้งๆที่รถราคาแพงแบบนี้ เจ้าของรถน่าจะดูแลรักษามันเป็นอย่างดีกว่าปกติ ไม่น่าจะปล่อยทิ้งขว้างให้สีมันซีดได้ เอาเถอะ ถ้ามันพ่นแล้วออกมาเหมือนเดิม รถคันนี้ก็น่าจะโอเค ผมเริ่มนึกถึงกำหนดการที่จะบินไป Florida

“โอเค, Francisco ขอไอเช็คเที่ยวบินและวันว่างของไอก่อน แล้วจะส่งข่าวไป”
“ได้เลย ถ้าได้กำหนดการณ์แล้วรีบแจ้งไอเสียแต่เนิ่นๆ เพราะสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้าแทบจะไม่ว่างเลย ต้องเดินทางไปบรรยายตลอด”
“โอเค”

หลังจากวางหู ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ดูแล้ววันเสาร์ที่ 10 นี้น่าจะว่าง และเริ่มเช็คเที่ยวบินกับสายการบินทันที เอาแบบเที่ยวเดียว เพราะผมวางแผนที่ขับ M3 คันใหม่กลับบ้าน ผมเอาแผนที่มากางดู คงจะสนุกและประทับใจไม่น้อยถ้าได้ขับ M3 สามพันไมล์จาก Florida ผ่าน Georgia, Tennessee, Missouri, Kansas, Omaha, Nebraska, South Dakota, Wyoming, Montana, Idaho กลับบ้าน

(หมายเหตุ: จริงๆแล้วที่อเมริกามีบริการขนส่งรถ เพราะอเมริกันเดินทาง/ย้ายที่อยู่กันบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ บางคนต้องย้ายไปทำงานอีกรัฐหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปอีกพันห้าร้อยไมล์ ส่วนใหญ่ก็จะขายรถทิ้งแล้วไปซื้อเอาใหม่ที่โน่น เว้นแต่จะเป็นคันโปรดจริงๆก็เอาไปด้วย ถ้าขี้เกียจขับ หรือกลัวว่าขับแล้วมันทำให้ไมล์มันขึ้นโดยใช่เหตุ ก็จ้างเค้าเอาขึ้นเทรลเลอร์ไป เค้าคิดไม่กี่ร้อยเหรียญ เพื่อนผมคนนึงอยู่ Maryland ตอนนั้นเพิ่งซื้อรถใหม่ป้ายแดง (Honda Prelude ปี 2000) เกือบสามหมื่นเหรียญ ขับได้แค่ไม่กี่เดือนปรากฏว่าต้องย้ายไปทำงานที่ California จะขายรถก็ขาดทุนเกือบหมื่นเหรียญ จะขับไปเองก็หลายวัน [ระยะทางราวๆสามพันกว่าไมล์] แถมมูลค่ารถจะลดลงอีก [ที่อเมริการาคารถจะลดลงขึ้นอยู่กับจำนวนไมล์ที่วิ่งไปด้วย] เลยจ้างเค้าเอาขึ้นเทรลเลอร์ไป เสียไป 700 เหรียญหรือยังไงนี่แหละ เวลาเค้าเอาขึ้นเทรลเลอร์ไปนี่ไม่ใช่คันเดียวนะครับ เป็นสิบคันเลย ซ้อนๆกันไปเหมือนกับรถที่ขนรถป้ายแดงออกมาจากโรงงานแบบบ้านเรานี่แหละ เพราะฉนั้นการอีตา Keith แกจะขับรถข้ามทวีปไปสามหันไมล์นี่ เป็นเรื่องที่บ้าเห่ออย่างแรง จะว่าไปความก็เคยบ้าเห่อแบบนี้ทีนึงนะ ตอนปี 1998 ผมซื้อ Porsche 944T มาใหม่ๆ ด้วยความเห่อเลยเอามันขับข้ามทวีปเล่นเสียงั้นแหละ จาก Maryland-West Virginia-Tennessee-Arkansas-Oklahoma-Texas-New Mexico- Arizona-California ขากลับนอกเส้นทางลงใต้ไป Alabama กับ Louisiana อีก ขับมันไปคนเดียวนี่แหละ ค่ำไหนก็นอน ล่อเข้าไปสิบวัน รวมระยะทางไปกลับ 7000-8000 ไมล์เห็นจะได้  - F/D)

ผมบอกเมียผมทันทีเมื่อเธอกลับถึงบ้าน เธอถามว่าราคาเท่าไหร่ ผมบอกว่าตามจริง ว่า $10,500 ทีแรกคิดว่าเธอคงจะไม่เห็นด้วยและไม่ให้ซื้อ ปรากฏว่าเธอบอกว่าก็ไม่แพงนี่ แต่ยังไงก็ตามดูสภาพให้ดีๆละกันหากจะต้องเอามาซ่อม ช่วงนี้ไม่อยากให้ใช้เงินเกิน $13,000-15,000 มีอย่างอื่นที่จำเป็นต้องใช้ จริงๆแล้วผมก็เห็นด้วยนะ จะว่าผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องซื้อรถอีกคันนึงเลย ในขณะที่ตอนนี้ผมมีรถเก๋งอยู่แล้วสามคันและรถปิคอัพทรัคอีกหนึ่งคัน จากนั้นผมจึงบอกเธอถึง Plan ของผมที่จะขับรถกลับมา

“แต่ยังไงก็น่าจะจองเที่ยวบินไป-กลับไว้นะ เผื่อไปดูแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด”
“ที่พูดมาก็ถูกนะ แต่อย่างห่วงเลย หมอนี่เป็นถึงตัวแทนของ Division of the United Technical Institutes Corporation แล้วรถคันนี้แกก็ซื้อมาจากดีลเลอร์ของ Porsche ชื่อดังใน Miami ผมมองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมแกถึงต้องมาโกหกผม ทั้งๆที่แกรู้อยู่เต็มอกว่าผมต้องบินข้ามทวีปมา 3000 ไมล์เพื่อที่จะมาดูรถคันนี้ ถ้าแกเป็นอย่างนั้น ผมก็ว่าแกบ้าเต็มทีแล้วล่ะ แล้วอีกอย่างแกบอกว่าแกมี M5 แล้วก็รถ Street rod ระดับส่งเข้าประกวดได้ถ้วยมาหลายใบแล้ว แถมยังมี GMC Envoy ใหม่เอี่ยมอีกคัน ผมว่าหมอนี้คงไม่ใช่ระดับกระจอกๆแน่”
“ยังไงก็ซื้อตั๋วไป-กลับเอาไว้ละกัน!” เสียงเธอเริ่มขึงขัง พลางชี้ให้ผมดูตารางเที่ยวบินที่เป็นตั๋วไป-กลับแถมราคาถูกกว่าตั๋วเที่ยวเดียวผมจองเอาไว้แล้วเสียอีก แต่ว่ามันเป็นเที่ยวบินวันพฤหัสที่ 14 ผมก็เลยต้องจำใจเอาเป็นวันนั้น จึงรีบโทรไปบอก Francisco

“หวัดดี Francisco, ไอคิดว่าจะบินไปที่โน่นวันพุธที่ 14 นี้”
“สงสัยจะไม่ได้นะ มันจะมีแข่ง NASCAR ในวันที่ 14 และไอจะกลับมาวันที่ 18 แต่ไม่เป็นไร ไอเก็บรถเอาไว้ให้ยูอีกสองสามวันก็ได้ เดี๋ยวไอจะโทรไปบอกพวกที่โทรมา leave message ถามเรื่องรถคันนี้เอาไว้ว่ารถคันนี้ขายไปแล้ว”

ผมวางหูพลางคิดว่าไอ้หมอนี่มันน่ารักจริงโว้ย ที่จริงรถมันก็เจ๋งไม่เห็นต้องง้อใครเลย พร้อมจะมีคนเดินเอาเงินสดมาวางตรงหน้าเมื่อไหร่ก็ได้ นี่กลับมาหวังลมๆแล้งกับคนที่อยู่อีกฟากนึงของประเทศ ขนาดเมื่อก่อนผมเคยลงประกาศขายรถ แล้วมีคนโทรมาขอนัดดูรถ แค่อยู่อีกฟากนึงของเมืองเท่านั้นเอง สุดท้ายมันยังเบี้ยวไม่ยอมมาเลย

สุดท้ายแล้วผมตกลงใจไปวันเสาร์ที่ 10 ตามกำหนดดั้งเดิม โดยบินจากที่นี่ไปลง Ft Lauderdale ใน Florida คืนวันที่ 8 ผมจึงโทรไปหา Francisco อีกครั้งหนึ่ง

“หวัดดี Francisco, ไอจะบินไปโน่นวันเสาร์ที่ 10 นี้ ก่อนอื่นอยากจะถามให้แน่ใจว่า ยูแน่ใจนะว่ายูดูรถเป็น ยูรู้นะว่ารถสภาพห่วยๆมันเป็นอย่างไร และควรจะดูตรงไหนบ้าง อย่างสีรถเนี่ย ยูรู้นะว่าสีที่อยู่ในสภาพดีมันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่ามันไม่เรียบพอมองนานๆแล้วเหมือนเมาคลื่นในทะเลไปเลย ถ้ายูรู้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติกับรถคันนี้รีบบอกไอมาเดี๋ยวนี้เลย ไอไม่อยากเสียเวลาบินข้ามทวีปไป 3000 ไมล์เพียงเพื่อที่จะไปดูของที่ไอไม่อยากซื้อ ยูเข้าใจที่ไอพูดใช่ไหม?”
“ไอบอกไปหลายครั้งแล้วว่า ยูไม่ผิดหวังแน่ รถคันนี้สวยจริงๆ”
“ไอเข้าใจ แต่เพียงแค่อยากจะถามให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะไอไม่อยากเสียเงินและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ก็เท่านั้นเอง โอเค ไอจะไปถึงที่ Ft Lauderdale เวลา 7.14pm วันเสาร์ที่ 10 นี้ ยูช่วยมารับที่สนามบินหน่อยได้ไหม? คืนวันศุกร์ไปจะโทรมา confirm อีกครั้งหนึ่งว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา”

ผมโทรหา Francisco อีกครั้งในคืนวันศุกร์ เพื่อ confirm อีกครั้งถึงวัน/เวลา และเพื่อให้แน่ใจว่ารถยังไม่ได้ขายใครไป จากนั้นจัดเสื้อผ้าของส่วนตัวลงกระเป๋าเดินทาง และไปที่โรงรถไปเลือกเอาเครื่องมือที่คิดว่าจำเป็นจากชุดเครื่องมือมูลค่า $2000 ของ Snap-on, ของ MAC, และหยิบเอาชุดเครื่องมือขนาดพกพาของ PROTO และที่วัดลมยางใส่กระเป๋าไปด้วย เผื่อจำเป็นต้องใช้ในระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ผมหวังว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สนามบินคงไม่ตกใจถ้าเปิดมาเจอว่าผมขนเครื่องมือไปไหนมากมายขนาดนี้ และหวังว่าคงจะไม่ขโมยเครื่องมือของผมไป

คืนนั้นผมนอนแทบไม่หลับ รู้สึกว่าฝันร้ายทั้งคืน ผมฝันเห็นรถ M3 สีแดงอยู่ในสภาพสีเลอะเทอะ เยิ้มไหลเป็นทาง ตัวถังเสียทรงไม่ได้รูป ภายในเบาะขาดและคอนโซลร้าว เครื่องยนต์สั่นเป็นเจ้าเข้าควันโขมงและ odometer ถูกย้อมแมวหมุนกลับมาเหลือแค่ 100,000 ไมล์

ผมพยายามบอกตัวเองว่า โอเคน่า หมอนี่ไม่ใช่งูๆปลาๆ…. หมอนี่รู้เรื่องรถยนต์ดีมาก…..หมอนี่ทำงานให้กับ NASCAR Tech Institute…..หมอนี่ซื้อรถคันนี้มาจากร้านดังของเมือง………”ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่ PERFECT! รับรองว่ายูไม่ผิดหวังแน่ๆ”…………………”ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่ PERFECT! รับรองว่ายูไม่ผิดหวังแน่ๆ”…………………”ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่ PERFECT! รับรองว่ายูไม่ผิดหวังแน่ๆ”………… จนม่อยหลับไป....

จบภาคหนึ่ง

                                                                                    ......................................................................

ก่อนจะเป็นภาคสอง มาอ่านภาคหนึ่งจุดห้าของผมก่อน

ขอบคุณที่สนใจติดตามอ่าน ผมว่ามันก็น่าอ่านดีนะครับ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ในโลกนี้ยังมีอะไรๆให้เรียนรู้อีกเยอะ ผมก็เขียนมันไปเรื่อยๆนี่แหละ ตอนดึกๆเงียบๆผมชอบไม่อ่านหนังสือก็เขียนหนังสือ มีความสุขดีครับ ยิ่งช่วงนี้ฝนตกมีเสียงกบเสียงเขียดประสานเสียงกันอยู่ที่สนามข้างล่างโน่น ยิ่งได้บรรยากาศ ส่วนใครจะไปอ่านต้นฉบับของมันเลยมาที่เพื่อนสมาชิกคนนึงแถลงเอาไว้ก็เชิญได้ตามสะดวก ใครอยากอ่านภาษาไทยก็เชิญมาทางนี้ ผมไม่ได้แปลมาตรงๆหรอก เอามาเรียบเรียง เพราะถ้าอ่านตรงๆ ก็คงจะอ่านกันได้ แต่จะเข้าใจหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง ผมพูดในแง่ความเข้าใจในเรื่องราวนะ ไม่ได้หมายความว่าความเข้าใจในภาษา เรื่องภาษาผมมั่นใจว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงสมาชิกของ BMS แต่บางเรื่องมันเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของเค้า เป็นเรื่องของกฏหมาย ระเบียบข้อบังคับของเค้า ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจ ผมก็จะพยายามอธิบายแทรกๆลงไปให้ละกันนะครับ อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆที่จะต้องไปอยู่ ไปเรียน หรือไปทำงานที่โน่น หากจะต้องซื้อหารถสักคันหนึ่ง

สมัยผมไปอยู่ใหม่ๆ มืดแปดด้าน แต่อาศัยว่ามีปากก็ถามชาวบ้านเค้าไปเรื่อยๆว่าจะมีรถคันนึงที่นี่มันต้องมีพิธีกรรมอะไรบ้างวะ โน่นยูต้องมีใบขับขี่ก่อนถึงจะซื้อรถและทำประกันภัยได้ แล้วก่อนจะมีได้ยูต้องมี social security ก่อนด้วย หรือโน่นยูต้องมีหลักฐานรับรองที่อยู่ในอเมริกาก่อน ทำยังไงล่ะ ไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วเอา statement ที่เค้าจ่าหน้าซองถึงที่อยู่เราไปให้เค้าดู ธนาคารอยู่ไหนล่ะ โน่นอยู่ข้าง shopping mall โน่น ชิบเป๋งแล้ว เค้าบอกว่าไอเป็นนักเรียน ถือ Visa F-1 ไม่จำเป็นต้องมี social security เพราะกฏหมายไม่อนุญาติให้ทำงานได้ อ้าว จริงๆแล้วทำได้เหรอ แล้วต้องทำไงล่ะ โน่นไปติดต่อที่ INS อยู่ไหนล่ะ ไหนนะ ที่เมืองนี้ไม่มีสาขาเหรอ ต้องไปเมืองไหนล่ะ และ….และ….และ….. แล้วไปสอบ เสร็จแล้วไปเค้า course อบรมเรื่องเมาไม่ขับ เสร็จแล้วก็…..และ….และ….และ ฟังดูไม่ยาก แต่ในช่วงระหว่างกว่าจะได้มาครบ จะไปไหนมาไหนทีก็ไปด้วยยานพาหนะยี่ห้ออัตตา รุ่นตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เครื่องยนต์ขนาดสองแรงขานี่แหละครับ บางทีเดินท่อมๆกลางอากาศหนาวเหน็บมันไปกลับวันละหลายไมล์ เพียงเพื่อจะไปเช็ค email ที่ห้องสมุดสาธารณะที่ใกล้บ้านที่สุด ยังจำถนนเส้นนึงที่ต้องเดินผ่านไปห้องสมุดได้ดี (ชื่อ Walter Reed Street อยู่ใน Alexandria, Virginia) มันมีอยู่ช่วงนึงเป็นเนินสูงและยาวมากกว่าจะปีนขึ้นไปได้ลิ้นห้อยลงมาถึงพื้น พอไปถึงยอดเนินมองลงไปแล้วท้อใจว่าเดี๋ยวขากลับ (กรู) ต้องผ่านตรงนี้มันอีกเหรอเนี่ย เมื่อปีที่แล้วที่กลับไปอเมริกา ขับผ่านไปที่ถนนเส้นนี้ นึกขึ้นมาได้ เลยเอารถจอดที่ปั๊มน้ำมันที่ตีนเนิน แล้วเดินข้ามไปข้ามมาหัวเราะแหกปากอยู่คนเดียวเสียสองเที่ยว  บางทีคนเราถ้ามันไม่เคยร้องไห้มาก่อน มันก็ไม่รู้ว่าการหัวเราะอย่างมีความสุขมันเป็นอย่างไรนะครับ

หลังจากได้ social security และใบขับขี่มาแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี เพราะนรกเริ่มแตกจากตรงนั้น เริ่มที่คันที่หนึ่ง ตามมาด้วยคันที่สอง…สาม…สี่….ห้า…หก…เจ็ด…..แปด ไม่ได้ร่ำรวย แต่รถมันถูกมาก บางคันที่มีราคาเท่ากับรองเท้าไนกี้สองคู่กับเบียร์อีกหกกระป๋องเท่านั้นเอง เอาไปตรวจแล้วผ่าน inspection แล้วก็วิ่งได้ปกติเสียด้วยนะ แบบที่ไปเที่ยวหาใน classified แล้วไปตะเวณดูแบบนาย Keith นี่ก็บ่อย แต่ไม่เคยไปดูไกลถึงขนาดนั้น ไกลสุดก็ราวๆ 200 ไมล์เห็นจะได้มั้ง ตอนนั้นไปดู M3 E30 ลงขายเอาไว้ สองหมื่นห้าพันเหรียญ บรรยายสรรพคุณชนิดที่ว่าไม่ซื้อก็บ้าแล้ว โทรไปธนาคารที่เป็นลูกค้าอยู่บอกว่าอยากจะให้ finance รถสักคันหนึ่ง รุ่นนี้ ปีนี้ ตอนนี้เครดิตของไอพอจะได้สักเท่าไหร่ Manager บอกมาว่าคงได้ราว หมื่นห้าเป็นอย่างมาก เพราะ credit record ของยูยังมีไม่เยอะมาก [ที่อเมริกา เครดิตขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าราคารถหรือของที่จะกู้เอาไปซื้อ ถึงจะมีเงินฝากเต็มธนาคาร ถ้า credit record ไม่ดี สลึงเดียวเค้าก็ไม่ให้กู้] จัดแจงขายรถทิ้งไปคันนึง รวมเงินสดได้อีกหน่อยแล้วโทรไปบอกธนาคารว่าหมื่นห้าก็หมื่นห้าเตรียม paper work เอาไว้ให้ไอละกัน เพราะถ้ามันสวยจริงกะว่าถ้าไปต่อมันเหลือสักสองหมื่นถ้วน ก็น่าจะจบด้วยดี โทรไปชวนเพื่อนที่บ้า M3 เหมือนกันควบรถกันออกไป ขับไปสามสี่ชั่วโมงเห็นจะได้ ไปถึงเห็น M3 สีดำสนิทจอดอยู่หน้าบ้าน ทักทายกันตามธรรมเนียม พลางเหลือบมองดูรถและพยายามเอามือกดลูกกะตาเอาไว้ไม่ให้มันถลนออกมานอกเบ้า รถสวยจริงๆ เดิมมากๆเหมือนออกมาจากโชว์รูมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว [ณ. วันที่ผมไปดู รถอายุได้ 11 ปีแล้ว] มองเข้าไปรถเพิ่งวิ่งไป 30,000 กว่าไมล์เอง เจ้าของรถอัธยาศัยดีมาก เพื่อนผมที่ไปด้วยเดินไปดูรอบๆรถด้วยความตื่นตะลึง เจ้าของรถก็เดินถือเอาผ้าเช็ดรถ ทำท่าเหมือนจะคอยเช็ดรอยมือของเพื่อนถ้าไปแตะตรงไหนเข้า หลังจากที่คุยๆไปแกรู้ว่าเรานิยมชมชอบอย่างแรงและรู้ว่าเรารู้เรื่อง BMW แบบนี้ยิ่งคุยกันสนุกและเป็นกันเองเลยโยนผ้าเช็ดรถทิ้งแล้วยื่นกุญแจให้แทน บอกว่ายูเอาไปลองขับเถอะ เลยบอกแกว่าไม่ต้องลองหรอก เห็นตัวรถแล้วไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อยนิด ว่าแต่ว่ามาคุยกันเรื่องราคาก่อนดีกว่า เพราะราคาที่ว่ามาบอกตามตรงว่าไอคงซื้อไม่ไหว เป็นไปได้ไหมถ้าจะลดลงมาให้อีกหน่อย

“อืม….คงได้นิดหน่อยนะ ว่าแต่ว่าราคาในใจยูคิดว่าเท่าไหร่ล่ะ”
“ไอคิดว่า สองหมื่นถ้วนน่าจะโอเค” ผมตรงประเด็นไปเลย เพราะไม่ชอบมานั่งเสียเวลาโยกโย้ มาเล่นลูกเล่นกัน ซื้อคือซื้อ ไม่ซื้อคือไม่ซื้อ ได้คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
“คงลำบากนะ พูดตรงๆนะ ไอซื้อคันนี้มาค่อนข้างแพง ที่ต้องขายก็เพราะจะต้องเก็บอีกคันนึงเอาไว้”
“ไอซี เสียดายแทนนะที่ต้องจำใจขายรถดีๆแบบนี้ทิ้งไป แต่ไอเข้าใจนะ คนที่มีครอบครัวแล้ว ส่วนมากสุดท้ายแล้วก็ต้องขายรถสปอร์ตคันโปรดทิ้งไปแล้วเก็บ SUV เอาไว้แทน น่าเสียดาย แต่มันจำเป็น” ผมว่าไปโน่น เพราะตาเหลือบไปเห็นจักรยานคันเล็กๆแบบเด็กๆเล่น กับของเล่นสนามสองสามอันอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านแก
“ที่ยูว่ามาก็จริง แต่ก็ไม่เชิง ไอตั้งใจว่าจะเก็บคันนี้ไว้มากกว่า” แกพูดพลางกดรีโมทประตูเลื่อนโรงรถขึ้น ประตูเลื่อนขึ้นช้าๆ เห็นท้ายรถ M3 E30 สีดำเดียวกับเปี๊ยบอีกคันจอดอยู่ในนั้น แต่คันนี้มีแถบสีแดงคาดอยู่ที่กันชน

คงปิดท้ายเรื่องราวในส่วนของผมเอาไว้ตรงนี้นะครับ ระดับ Hardcore คงจะเข้าใจดีว่า ทำไมเค้าจึงเก็บคันที่อยู่ในโรงรถเอาไว้ และสภาพมันเป็นอย่างไร บอกใบ้ว่าคันนี้ข้างในเป็นเบาะ Recaro ลาย M เข้าชุดกันกับแผงข้าง พร้อมสาย safety belt สีแดงครับ ส่วนคันที่ผมตั้งใจไปซื้อ ตกลงไม่ได้ซื้อเพราะราคาไม่ลงตัวกันและผมไม่อยากใช้เงินเกินตัว ตั้งใจไว้เท่าไหนก็เท่านั้น คนเราถึงจะอยากได้ขนาดไหน มันก็ไม่ควรจะมากไปกว่าเส้นขีดบังคับของคำว่า “เหตุผล” ตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่และมีรายได้ part-time แค่สัปดาห์ละไม่กี่ร้อยเหรียญ และมีรายจ่ายอย่างอื่นที่ต้องใช้อีกเยอะ

แต่แกก็ยังขยั้นขยอให้ผมลองขับเสียให้ได้ ผลออกมาสุดยอด คันนั้นคือ M3 คันที่สภาพดีที่สุดที่เคยเห็นและเคยขับมาในชีวิต หลังจากนั้นผมใช้มันเป็น benchmark ตลอดมาเมื่อเทียบกับคันอื่นๆ

ทุกอย่าง happy ending ไม่มีใครแหกตาใคร หลังจากนั้นผมกับแกก็ยังโทรศัพท์ หรือ email คุยกันเรื่อยๆ

โม้ไปเสียไกล อย่างน้อยเรื่องนี้ใน Thai version ของผมจะได้แตกต่างจากต้นฉบับของมันบ้าง กลับมาเข้าเรื่องของอีตา Keith มันเลยละกันนะครับ ใครกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ให้สร้างความรู้สึกไว้ละกันนะครับว่าเรื่องนี้มันพิลึกพิลั่นมาก ไม่มีใครที่ไหนเค้าทำกันในอเมริกา (แต่ที่บ้านเราอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ) เพราะที่โน่นค่าแรงมันแพงหนึ่งละ อีกอย่างประกันเค้าก็จ่ายให้เต็มราคาไม่มีบิดพริ้วอยู่แล้ว เอาเงินไปซื้อรถใหม่ถูกกว่ามานั่งซ่อม และไม่จำเป็นต้องมานั่งย้อมแมวแหกตาให้เสียเวลาเปล่าๆ

แต่จริงๆแล้ว ผมเคยพลาดนะครับ หนึ่งครั้งและหวังว่ามันคงเป็นครั้งสุดท้าย

ต่อเรื่องของอีตา Keith แกเลยนะครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผมตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเมียผม –Andrea ก็ขับ 325i ไปส่งที่สนามบิน เซย์กู๊ดบายกันตามธรรมเนียมจากนั้นเครื่องบินก็พาผมขึ้นสู่ท้องฟ้า ไปสู่ปลายทางที่ Florida ที่เจ้า M3 รถในฝันของผมมันจอดรออยู่ ระหว่างที่อยู่บนเครื่อง ผมนั่งคุยกับคนที่นั่งติดกันเรื่อง ebay ผมบอกเค้าว่า หัวเด็ดตีนขาดผมไม่มีวันที่จะซื้อของจาก ebay หรอก แม้จะเป็นแปรงสีฟันสักอันก็ตามเถอะ ไอ้พวกขายของในนั้นมีแต่พวกสิบแปดมงกุฏคอยแหกตาชาวบ้านทั้งนั้น ผมบอกเค้าไปว่า มีเพื่อนผมคนนึงจ่ายเงินไป $7,500 เหรียญ เพื่อซื้อนาฬิกา Rolex Daytona พอของมาถึงปรากฏว่าเป็นของปลอม ทาง ebay ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น

นั่นเป็นเรื่องของการแหกตากันใน ebay แต่ผมกำลังบินไป Florida กำลังไปซื้อรถในฝันจากคนขายที่มีตัวตนจริงๆ และมีชื่อเสียงเชื่อถือได้ ไม่ใช่กำลังซื้อจากใครก็ไม่รู้ทาง ebay อีตา Francisco เนี่ย บางทีแกอาจจะเป็นญาติกับ Juan Pablo Montoya นักแข่งรถ F1 ชื่อดังก็ได้นะ บางทีผมอาจจะลองถามแกดู ลองคิดดู ถ้าเกิดใช่ขึ้นมา….ว้าว…ผมกำลังจะเป็นเจ้า BMW M3 ที่เจ้าของเดิมเป็นญาติกับ Juan Pablo Montoya!!! และจะได้ขับมันกลับมาบ้านอย่างสนุกสนานตลอดทาง 3000 ไมล์!!! ผมยิ้มพลางยกกาแฟร้อนๆขึ้นจิบ

เครื่องบินมาถึง Ft. Lauderdale ตามเวลา ผมเดินออกมาข้างนอกสนามบินมายืนรอ Francisco ที่ฟุตบาท รู้สึกได้ถึงแดดอันแรงจ้าของ Florida และรู้สึกว่าเหงื่อออกชุ่มไปหมดเหมือนเพิ่งไปอาบน้ำมา อากาศร้อน ชื้น เหนียวตัวเหนอะหนะ จนรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก

สักพัก Francisco ก็ปรากฏตัวขึ้นมาใน GMC Envoy สีขาวคันใหม่ของเขา แกลงมาช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถ เรียบร้อยแล้วเราก็ขับออกจากสนามบิน ผมรู้สึกว่าที่นี่ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางมันเยอะเหลือเกิน ในรถ Francisco มีแผ่นอะไรติดไว้ที่กระจกอันนึง นั่นคงเป็น tag สำหรับค่าผ่านทาง เครื่องที่ toll คงจะอ่านจากเจ้าแผ่นนี้แล้วไปชาร์จกับบัตรเครดิตภายหลัง แถมยังมีตัว Radar Detector อีกด้วยแฮะ ของ Valentine One ซะด้วย เพิ่งเคยเห็นจริงๆวันนี้แหละ ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่ในโฆษณา ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าราวๆ $400 เห็นจะได้ ยังไม่รวมค่าส่ง ผมนั่งฟัง Francisco โม้ถึงเรื่อง NASCAR มาสักพักก็ถึงบ้านของเขาที่ Wellington แถวนี้ดูแล้วเหมือนย่านที่คนชานเมืองเค้าอยู่กัน รถเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าบ้าน เห็น M5 สีเขียวน่าเกลียดจอดอยู่หน้าบ้าน ช่างมันเถอะ มันอาจจะเป็นรถเจ๋งก็ได้ แต่….M3 E30 เจ๋งกว่าแน่นอน ผมมั่นใจ คิดแล้วใจเต้นโครมคราม อย่างจะบอก Francisco ช่วยเปิดโรงรถให้ดูเสียตอนนี้เลยให้รู้แล้วรู้รอด

Francisco เชิญผมเข้าไปในบ้าน แนะนำเมียกับลูกๆของเขากับผม แล้วถามผมว่าได้กินอาหารเย็นมาหรือยัง ใจจริงอยากจะตอบว่า ช่างหัวอาหารค่ำเถอะ ออกไปดูรถกันดีกว่า แต่รู้สึกท้องร้องจ๊อกๆเพราะตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาเลย แค่ล่อถั่วทอดกับค๊อกเทลผสมน้ำมะเขือเทศมาบนเครื่องบิน เลยไม่ได้ตอบปฏิเสธไป

“โอเค เมียไอกำลังทำอาหารเย็นอยู่พอดี ดื่มอะไรก่อนไหม? Johnny Walker Red ออน เดอะ ร็อค?”
“ฟังดูเข้าที”

ผมนั่งกินอาหารเย็น และกระดกวิสกี้ออน เดอะ ร็อคของผมจนหมด รู้สึกมืนๆหัว อาจจะเป็นเพราะ jet lag หรืออาจจะเกิดจากที่เมื่อคืนนอนไปแค่สามชั่วโมงก็เป็นได้

“เอาล่ะ ได้เวลาพาไอไปดูรถได้แล้ว”

(หมายเหตุ: Flight แบบบินข้ามทวีปแบบนี้ถึงแม้จะอยู่ในประเทศเดียวกัน [flight แบบนี้เค้าเรียกว่า ‘red eyes’ คงเคยได้ยินกัน เคยเอามาทำเป็นหนังด้วย เมื่อเร็วๆนี้] มันก็ทำให้เกิด jet lag ได้นะครับ เพราะมันไกลมาก ถ้าบินตรงเลยก็ใช้เวลาบินราวๆ 4-5 ชั่วโมง ไกลถึงขนาดว่ามันอยู่คนละ time zone กันเลย เวลาของประเทศอเมริกาฝั่งตะวันตก [ที่เรียกว่า Pacific Time] กับทางฝั่งตะวันออก [เรียกว่า Eastern Time] จะต่างกัน 3 ชั่วโมง เวลาอยู่อเมริกา ไม่เป็นเรื่องแปลกที่เวลาได้ยินคนเค้านัดเวลากัน เช่นเวลาที่จะโทรไปหา แล้วต่อท้ายบอกด้วยว่า “your time” หรือว่า “my time” ถ้าอยู่คนละ time zone กัน-F/D)

อีตา Francisco เปิดโรงรถของแกออกมา พอเปิดไฟสว่างขึ้น

“โอ้….มาย มันสีแดงจริงๆด้วย สวยจริงๆ” แต่ผมเหลือบตาไปเห็นว่าที่ผิวสีของมันมีรอยไม่เรียบ ทำไมไม่มีใครมองเห็นมันนะ หรือผมตาดีผิดมนุษย์มนาเกินไป ผมเดินถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อดูให้เต็มตา มันดูเล็กไปถนัดตา เมื่อมีเจ้า Street rod คันเป้ง กับตู้เครื่องมือของ Snap-on ใบโต(รุ่นพิเศษที่ทำออกมาสำหรับ NASCAR เสียด้วย) อยู่ข้างๆ

ผมเดินไปรอบๆรถดูรายละเอียด เห็นรอยบุบที่ประตูสองสามรอย ในใจคิดว่านิดหน่อยไม่เป็นไร แกคงจะลืมบอกผมไป เมื่อเดินวนมาด้านข้างท้ายรถ ผมเห็นที่กระจกข้างเป็นรอยขูดลึกที่เนื้อกระจกเป็นวงกว้างขนาดฝ่ามือนึงเห็นจะได้ นี่จะหาซื้อของใหม่มาเปลี่ยนได้หรือเปล่าเนี่ย ผมได้ยินมาว่ามันเป็นรุ่นเฉพาะสำหรับ M3 ซึ่งกระจกมันจะสูงกว่ารุ่น E30 ธรรมดาหน่อยนึง ผมมองดูสีส่วนที่กระทบกับแสงไฟ เห็นได้ชัดว่ามันไม่เรียบ เป็นผิวส้มเต็มไปหมด ดูน่าเกลียดมาก เลยชี้บอกให้แกดู

“ไม่ต้องห่วง เรื่องเล็ก รถมันเพิ่งพ่นสีมา รอให้เนื้อสีแห้งสนิทเสียก่อน แล้วขัดอีกทีก็เรียบสนิท” Francisco บอกว่าอย่างนั้น (จากประสพการณ์ ผมว่าผมเคยได้ยินประโยคควาeๆ แบบนี้มามากกว่าห้าครั้งเหมือนกัน – F/D)

กระจกติดฟิลม์กรองแสงมาแต่มีฟองอากาศเต็มไปหมด อาจจะเป็นเพราะฟิลม์มันเก่าเสื่อมสภาพหรือไม่ก็ฝีมือการติดมันห่วยมาตั้งแต่แรก ผมคงต้องลอกมันออกทิ้งแน่ๆ ทนดูมันอยู่ในสภาพนี้ไม่ไหวหรอก นี่ก็คงจะเป็นอีกจุดนึงที่อีตา Francisco แกลืมบอกผม มองไปที่ล้อที่แกบอกผมทางโทรศัพท์ว่าสภาพสวยสุดเนี๊ยบ ปรากฏว่ามีรอยขีดๆเล็กน้อย แต่โอเคแค่เล็กน้อยพอรับได้ แต่พอมองไปที่ยาง อะไรวะนั่น “SUMITOMO” ผมสาบานได้ว่าผมได้ยินแกบอกผมว่า “SEMPERIT” แล้วอะไรวะนั่น มี spacer รองอยู่หลังล้อแถมยังพ่นเป็นสีแดงเดียวกันกับตัวรถอีกด้วย มันช่างสวยบ$$ลัยเลย

“ไหนยูบอกว่าเป็นล้อตรงรุ่น ไม่ได้รอง spacer ไง???”
“ล้อชุดนี้เป็น 17x9 มันต้องรองเอาไว้กันไม่ให้ล้อเบียดกับตัวถังด้านในเวลาเลี้ยวสุด”

เจ๋งเป้งไปเลย ล้อชุดนี้ต้องเอา spacer รองเอาไว้ไม่งั้นวิ่งไม่ได้ ผมจำได้ว่าแกบอกผมทางโทรศัพท์ว่าล้อชุดนี้ตรงรุ่น ผมไม่ชอบการเอา spacer มารองล้อรถเลย นอกจากจะอันตราย มันจะทำให้รถวิ่งห่วยมากด้วย ผมยืนยันว่าควรจะใช้ล้อแบบที่เป็น Hubcentric ตรงรุ่นแบบที่โรงงาน BMW ออกแบบมาหรือแบบที่ออกแบบมาสำหรับรถ BMW เท่านั้น แล้วนี่เอา spacer รองเข้าไปแล้วน๊อตล้อมันจะยาวพอที่จะกินเกลียวเข้าไปอยู่ในระยะปลอดภัยหรือเปล่าเนี่ย ผมไม่ชอบที่จะไปเสี่ยงกับเรื่องบ้าๆอย่างนี้เลย แต่เอาเถอะผมขี้เกียจไปเถียงกับแก แกคงลองขับดูแล้วว่ามันไม่มีปัญหาอะไร ไม่งั้นแกคงไม่ซื้อมาหรอก ผมพยายามมองโลกในแง่ดี บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองจู้จี้จุกจิกมากเกินไปเหมือนกัน

จบภาคหนึ่งจุดห้

                                                                                 .......................................................................................

 

ต่อภาคสองครับ

มีคนถามผมว่าทำไมเขียนเร็วจัง จริงๆแล้วเรื่องราวอันนี้อยู่ในหัวหมดแล้วล่ะครับ อ่านมาหลายสิบครั้งแล้ว ตั้งแต่สมัยเค้าโพสลงไปเมื่อสามสี่ปีก่อน ไม่ได้เป็นโรคจิตที่ชอบอ่านความหายนะของผู้อื่นนะ ผมว่ามันสนุกและเตือนใจดี

ส่วนใครที่แนะนำว่าน่าจะไปเขียน/แปลหนังสือขาย เมื่อก่อนก็เคยทำครับ ตอนนี้ขอเป็น hobby ขำๆดีกว่า ทุกวันนี้งานประจำที่ทำอยู่ บางทีต้องนั่งอ่าน contract, TOR, POC, spec sheet, requirement spec ที่เป็นภาษาอังกฤษทีละเป็นร้อยๆพันๆหน้าตาก็แทบจะกลับอยู่ข้างหลังอยู่แล้วครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผมมองเข้าไปดูภายใน มันดูสะอาดเรียบร้อยอย่างสภาพเหมือนออกมาจากโชว์รูมในปี 1989 หนังของเบาะดูใหม่เอี่ยม ไม่มีรอยแตกลายงาทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง รวมไปถึงพนักพิงศีรษะของมันด้วย พรมพื้นรถก็สะอาดตามที่แกบอกเอาไว้เลย ผมเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ภายในดูสะอาดมาก แต่ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือมีรอยบุบและรอยถลอกอยู่ที่ฝาปิดเก๊ะเก็บของเต็มไปหมด และที่ด้านข้างของคอนโซลด้านที่ประกบกับแผงประตูก็มีรอยถลอกอยู่ทั้งสองด้านเหมือนกัน นึกในใจว่ามันแปลก พยายามคิดว่าไอ้รอยแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดจากอะไร แต่ไม่เป็นไรผมอาจจะหาของใหม่มาเปลี่ยนมันภายหลัง ไม่ใช่คงจะสิ มัน “ต้อง” เปลี่ยน ไม่ใช่แค่อาจจะ

เมื่อเปิดเก๊ะรถดู มีแค่คู่มือของวิทยุติดรถวางอยู่อันเดียว ไม่ใช่ของเดิมจากโรงงานมันชัวร์ คงเป็นของไอ้เจ้า Blaupunkt CD player ที่หน้าตาหน้าเกลียดที่แปะที่ที่คอนโซลนั่นแน่ๆ อีตา Francisco แกบอกว่า วิทยุรุ่นนี้ใส่กับรุ่นนี้ได้เป๊ะ สามารถเสียบเข้ากับชุดสายไฟ/สายสัญญาณเดิมมันได้โดยไม่ต้องไปยุ่งกับระบบไฟเดิมของมันเลย แกบอกว่าแกทำเองเสียด้วยนะ อยากจะบอกแกเหมือนกันว่าคราวหน้าถ้าคิดที่จะเปลี่ยนวิทยุติดรถใหม่ควรจะดูรุ่นที่มันมีหน้าตาเข้ายุคกับคอนโซลสักหน่อยนะ รถที่ภายในเป็นสไตล์ปี 1989 แต่วิทยุหน้าตาล้ำสมัยเหมือนเพิ่งถอดออกมาจากยานอวกาศ Enterprise ในเรื่อง Star Trek ดูแล้วมันจั๊กกะจี้น่าดู ผมชี้แกให้ดูนาฬิกาที่ OBC แล้วถามว่าทำไมตัวหนังสือ UHR มันถึงกระพริบแว๊บๆอยู่อย่างนั้น แกบอกว่าแกเพิ่งเปลี่ยนแบตเตอรี่มา แล้วยังไม่มีได้ reset มัน อืม…ฟังแล้วก็มีเหตุผล

ผมมองไปที่พวงมาลัย เฮ้ย..มีสีติดอยู่ด้วย ดูเหมือนเป็นละอองสีขาวที่พ่นมาโดนโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูแล้วมันรำคาญลูกกะตามากเวลามันอยู่บนหนังสีดำ ไอ้เจ้า 325i อีกคันของผมตอนซื้อมาก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเพราะเจ้าของเดิมทำธุรกิจรับทาสีบ้าน แกคงจะขับไปที่ site งานแล้วจังหวะซวย เค้ากำลังพ่นสีกันอยู่แล้วสีมันฟุ้งกระเด็นเข้ามาในรถเต็มไปหมด ไอ้สีแบบนี้ถ้าติดลงไปบนหนังแล้วมันล้างออกยากแบบไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นกว่าจะล้างออกหมดอ้วกแทบแตกเหมือนกัน ถึงขนาดต้องเอาใบมีดโกนมาค่อยๆขูดที่ละจุดๆเลย แต่คันนี้แปลกแฮะ ทำไมมันเลอะแค่ที่พวงมาลัยกับหัวเกียร์

อีตา Francisco แกบอกว่า เจ้าของเดิมอาจจะเป็นคนชอบแต่งรถ ที่ไปเอาชุดแต่ง after market เช่นของ MOMO หรือของ ALPINA เอามาใส่ แล้วถอดของเดิมเก็บเอาไว้ในโรงรถเผื่อว่าวันนึงถ้าคิดจะขายรถจะได้ถอดออก แล้วเอาของเดิมจากโรงงานใส่กลับคืนเข้าไปเสียเสีย และเป็นไปได้ที่เก็บเอาไว้ไม่ดีแล้วบังเอิญเค้าไปทาสีโรงรถแล้วสีมันกระเด็นไปโดนเข้า แล้วอีกอย่างหัวเกียร์แบบเป็นหนังชิ้นเดียวที่หุ้มลงไปถึงคันเกียร์แบบของ M3 มันเลิกผลิตหาซื้อไม่ได้แล้ว เลยต้องปล่อยเอาไว้แบบนั้น นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวของความตอแหล แต่ก็เอาเถอะพอรับได้ แต่ถ้าผมเห็นมันเลอะที่อื่นอีกแม้แต่จุดเดียว ก็คงต้องบอกว่า….นาย Francisco เราจบกันแค่นี้ ไอไม่ซื้อแล้ว!

(ที่อเมริกา การที่รถมี Manual หรือ Maintenance Record ติดรถอยู่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดานะครับ เพราะอเมริกันเค้าเป็นคนที่ชอบจด ชอบบันทึก รถใครไม่มีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลก แต่ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ จะได้รู้ว่ารถทำอะไรไปแล้วบ้าง และครั้งหน้าจะต้องทำเมื่อไหร่ ผมเลยมีนิสัยติดตรงนี้มา ไม่ว่าไปดูรถใครที่ไหน [ไม่ว่าจะรถของเพื่อน หรือรถที่จะไปซื้อก็ตามเถอะ] ผมมักจะขอเค้าเปิดดูเก๊ะรถด้วยว่าเอกสารพวกนั้นมันยังอยู่หรือเปล่า ผมว่ามันบอกถึงระดับการดูแลรักษารถของคนๆนั้นได้อย่างดีเลยนะครับ ถ้าแค่หนังสือเล่มเล็กๆไม่กี่หน้าที่มันอยู่ในรถ เค้ายังเก็บดูแลรักษาไม่ได้ เค้าจะไปดูแลเครื่องยนต์อันเบ้อเริ่ม หรืออุปกรณ์อื่นๆที่มันอยู่ข้างนอกรถได้อย่างไร เป็น logic ง่ายๆ

ผมว่า Manual หรือ Maintenance Record มันเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวรถด้วยนะ ที่เมืองไทยผมเคยเจออยู่สองคันที่เป็นแบบนั้น [ผมหมายความว่าเท่าที่ผมเคยเจอนะ อาจจะมีคันอื่นอีก แต่เค้าไม่ได้เอามาให้ผมเจอ] คันแรกเป็น E36 Coupe ของผม แต่คันนี้เฉยๆ เพราะปีมันยังใหม่ ไม่น่าจะสูญหาย อีกคันเป็น E30 [คันที่ผมขายต่อให้น้องชายผมไปนั่นแหละ] คันนี้น่าทึ่งมาก วันที่ผมไปซื้อเปิดเก๊ะดูตกใจไม่อยากเชื่อว่ารถยี่สิบกว่าปี ทุกอย่างมันยังอยู่ในนั้นครบถ้วน ดูเหมือนเจ้าของรถยังไม่เคยหยิบมันออกมาดูเลยเสียด้วยซ้ำไป – F/D)

ภายในดูทั่วๆไปแล้วรับได้ ยกเว้นที่แผงลำโพงด้านหลังดูสกปรกมาก และดูเหมือนว่ามันถูกเปลี่ยนเอามาจากรถอีกคันหนึ่ง ไม่ใช่ของเดิมที่มากับรถ ลำโพงที่ติดอยู่เป็นของ after market ราคาถูกๆ ไม่ใช่ของเดิมมันอีกเช่นกัน ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงชอบถอดเอาของดีๆที่มาจากโรงงานออก แล้วเอาของกระจอกๆใส่เข้าไปแทน

ผมล้วงมือลงไปดึงคันเปิดฝากระโปรงหน้า แล้วเดินออกมาจากรถเปิดฝากระโปรงขึ้นดู พยายามกวาดตาไปรอบๆห้องเครื่องว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า นั่นไง clamp รัดท่อไม่ใช่ของ BMW นี่หว่า นี่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของช่างมือสมัครเล่นที่ไม่รู้จริง เครื่องยนต์ดูรวมๆแล้วสะอาดมาก จนถึงสะอาดมากที่สุด ไม่มีรอยน้ำมันรั่วเยิ้มแม้แต่น้อยนิดทั้งด้านบนและด้านล่าง ผมดึงไม้วัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาดู น้ำมันสะอาดใสแจ๋ว อีตา Francisco แกบอกว่าแกใช้กรองน้ำมันเครื่องของ Mahle และคุยให้ฟังถึงความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องยนต์ต่างๆ จนผมชักเคลิ้มไปว่าไอ้หมอนี่ความรู้มันก็เป็นระดับ guru คนนึงทีเสียแฮะ

(เรื่อง Clamp รัดท่อเนี่ยผม serious กับมันเหมือนกันนะ ผมเคยเอารถไปทำที่อู่แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ [เน้นว่าโดยบังเอิญนะครับ ไม่ใช่อู่ประจำสิบกว่าปีของผม หรืออู่ที่ผมพูดถึงบ่อยๆแน่นอน] รถกลับมาพร้อมกับความใหม่ของ Cramp แบบสังกะสีชุบแพรวพราวเต็มห้องเครื่องไปหมด ผมรีบออกไปที่อู่ถามว่าของเดิมมันอยู่ที่ไหน เค้าบอกว่าโน่นมันติดอยู่กับท่อต่างๆที่ถอดเอาออกมาเปลี่ยนทิ้งไป มันเก่าแล้วเลยเปลี่ยนให้ใหม่ ผมเลยบอกให้เค้าโกยใส่ถุงเก็บมาให้หมด ผมกลับมาบ้านเอามาถอดเอา Clamp ออกทีละอันๆ แช่น้ำมันล้างให้สะอาด ใส่กลับเข้าไปใหม่ ถึงมันจะดูเก่าไปบ้าง แต่มองแล้ว stainless หมองๆมันดูดีและมีคุณค่ากว่าแบบเล็กชุบสังกะสีเงาแว๊บมากเลย ผมไม่โกรธเค้าหรอก ผมรู้ว่าเค้าหวังดี แต่มันมองคนละมุมกัน ผมว่าตรงนี้น่าจะอธิบายเหตุได้ดีนะครับว่าทำไมคนถึงเอารถเก่าๆมานั่งบูรณะกัน มันมีคุณค่าอย่างอื่นนอกเหนือกว่าแค่ยานพาหนะหนึ่งคันที่พาเราจากจุด A ไปจุด B ถ้าจะเอาแค่นั้นไปซื้อรถยี่ห้ออื่นก็ได้ราคาพอๆกันแถมใหม่กว่าด้วย หรือโหนรถเมล์ก็ได้มันก็พาเราจาก จุด A ไปจุด B เหมือนกัน หรือไม่จริง? – F/D)

Francisco เอื้อมมือไปสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงไดสตาร์ทดังออกมาแปลกๆระหว่างที่มันพยายามที่จะหมุนเครื่องยนต์ ผมปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไรมากน่าจะเป็นเสียงปกติของการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่มีกำลังอัดสูงๆ สักพักหนึ่งเครื่องยนต์ติด กลิ่นน้ำมันเบนซินคลุ้งตลบไปหมด

“เสียงเครื่องยนต์ไม่เลว แต่ดูเหมือนว่าท่อไอเสียคงรั่วตรงไหนสักแห่ง และก็ไอคิดว่าน้ำมันมันลงหนามากเลยนะ” ผมตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์บอก Francisco
“น่าจะปกตินะ อากาศมันหนาว และเครื่องมันก็ยังเย็นอยู่ สักพักเดี๋ยวก็เดินปกติเอง….สงสัยปะเก็นท่อไอเสียด้านล่างตรงข้อต่อแถวๆ KAT มันไม่ค่อยดีเลยเป็นอย่างนั้น” Francisco เบิ้ลเครื่องสองสามครั้งก่อนดับเครื่องยนต์

ผมพยักหน้าหงึกๆ พลางคิดว่าอุณหภูมิ 90 องศาตอนสามทุ่มเนี่ยนะ คนแถว Florida เค้าเรียกว่าหนาวแล้วเหรอ เรื่องท่อไอเสียรั่วนี่คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แกลืมบอกผม แล้วตำแหน่งที่รั่วดันมาอยู่ตรงใต้เบาะคนขับพอดี การที่ขับรถนั่งสูดคาร์บอนมอนนอกไซด์ไปตลอดทาง 3000 ไมล์ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ผมเลยบอก Francisco ว่าอยากจะซ่อมจุดรั่วมันให้เรียบร้อยก่อนขับกลับบ้าน แกก็บอกว่าท่อไอเสียเวลามันเก่าๆสนิมมันจับแน่น คงถอดออกยาก ผมเลยบอกแกไปว่า ไม่มีปัญหาหรอก เอา Liquid Wrench ฉีดทิ้งไว้สักคืน พรุ่งนี้รับรองไขออกได้สบายมาก ไอทำมาหลายคันแล้ว แกเลยบอกว่าวันนี้อย่าเพิ่งเลย แกเหนื่อยเหลือเกิน

เอา วันนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้ แล้วนี่ผมจะนอนไหนล่ะ กำลังจะคิดว่าแกคงจะชวนไปให้ไปค้างที่บ้านของแกหรือเปล่านะ แกก็บอกว่า

“ที่จริงก็อยากจะให้ยูนอนค้างที่บ้านไอเลย แต่ลูกไออายุห้าขวบ ซนเหลือเกิน กลัวจะส่งเสียงดังรบกวนแล้วยูนอนหลับไม่สบาย เดี๋ยวไอพายูไปพักที่โรงแรมใกล้ๆนี้ดีกว่า”

(ผมชอบชื่อ “Liquid Wrench” นี้มากเลย ตั้งชื่อหวือหวาดี ที่จริงแล้วเป็นเหมือนสเปรย์หล่อลื่นอย่างพวก Sonax หรือ WD-40 นั่นแหละครับ เอาไว้ฉีดตามน๊อตที่เป็นสนิมให้ไขออกได้ง่ายๆ เปรียบเสมือนว่าเป็นประแจเหลว เรื่องอุณหภูมิก็น่าขำมาก ใน Summer ปีนึงตอนที่ผมอยู่ Maryland อุณหภูมิขึ้นไปที่ 90F [ประมาณ 32C] และคาดการณ์ว่าอีกวันสองวันข้างหน้าจะขึ้นไปถึง 100F [ประมาณ 37C] คนแตกตื่นกันยกใหญ่ ประกาศเป็น Red Alert สั่งให้โรงเรียน หน่วยราชการปิดทำการหมด กลัวว่าคนจะออกไปแล้วโดนแดดเผาตาย วิทยุประกาศ instruction วิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ [dehydration] เช่นดื่มน้ำมากๆ ฯลฯ บ้านเราล่อเข้าไปสี่สิบเป็นเรื่องปกติ ยังไม่เห็นมีใครตายกันเลย - F/D)


แกพาผมไปที่ Royal Inn แกเดินอาดๆอย่างกับว่าเป็นเจ้าของโรงแรมเองอย่างงั้นแหละ พร้อมควักบัตรของ NASCAR Technical Institute ที่เคาเตอร์โชว์ว่าแกเป็นใครมาจากไหน

“ไอคือ Francisco Montoya จาก NASCAR Technical Institute น่าจะรู้จักนะ ไอพาแขกมาพักที่นี่บ่อยๆ นี่คือหนึ่งในแขกของไอเหมือนกัน มีส่วนลดพิเศษให้หรือเปล่า?” ปรากฏว่าหน้าแตก โรงแรมไม่ได้ลดให้สักสลึง ผมเลยแจ้งไปว่าจะพักสองคืน Francisco บอกว่าจะมารับผมพรุ่งนี้เช้า แต่บอกผมว่าไม่ต้องโทรมาปลุกเค้าเช้านักล่ะ

ผมเช็คอินเข้าห้องพัก ต่อโทรศัพท์ถึง Andrea

“หวัดดีที่รัก…. ผมมาถึงแล้ว…สบายดี…….บลา….บลา….บลา…..รถสวยทีเดียว มีตำหนิบ้าง….ใช่…แกไม่ได้บอกผมมาก่อน….คงจะลืมน่ะ แต่ราคาแค่ $10,500 ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ราคานี้คงหาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้วล่ะ….ยัง ยัง ยังไม่ได้ลองขับเลย ต้องรอวันพรุ่งนี้….เอาไว้พรุ่งนี้จะไปดูอีกทีแล้วลองขับด้วย……แล้วถ้าได้เรื่องยังไงจะโทรไปหายูอีกทีนะ….Miss You, Bye” ผมวางหูจาก Andrea ก็อาบน้ำเตรียมตัวนอน มานอนคิดๆดูว่า อีตา Francisco มันแกล้งให้ผมอยากได้มากๆหรือเปล่านะ เพื่อที่ผมจะได้ตัดสินใจผิดๆแบบอารมณ์ชั่ววูบลงไป



มีเสียงเคาะห้องเรียก ผมงัวเงียยกนาฬิกาข้อมือมาดูบอกว่าตีสี่กว่าสงสัยว่าใครมาเรียกเอาป่านนี้วะ แต่นึกขึ้นได้ว่าที่ Florida นี่มันเจ็ดโมงกว่าแล้วนี่หว่า ลุกขึ้นไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมานุ่งลวกๆเอาไว้ แล้วเดินไปเปิดประตู เห็น อีตา Francisco แกยืนอยู่ตัดกับแสงแดดอัดจัดจ้าของ Florida ที่ส่องเข้ามาแยงตา

“อ้าว ยูยังไม่ตื่นเหรอเนี่ย ไม่เป็นไรๆๆๆ เดี๋ยวไอกลับมาอีกทีก็ได้”
“โนๆๆๆๆๆๆ ตื่นแล้วๆๆๆ รอเดี๋ยว ขอเวลาห้านาที” ผมลุกลี้ลุกลนรีบไปอาบน้ำเพราะอาจจะไปดูรถใจจะขาด วิ่งเข้าห้องน้ำทำทุกอย่างเสร็จสรรพอย่างรวดเร็วภายในสองนาที และลงไปเจอ Francisco ที่นั่งรออยู่ที่ชั้นล่างของโรงแรม

“เดี๋ยวยูช่วยแวะสตาร์บัคให้ไอลงไปซื้อกาแฟหน่อยได้ไหม อยากจะกิน Tripple Americano สักถ้วยก่อน ไอเห็นมีร้านนึงตรงทางไปบ้านยู” ผมเป็นคนติดกาแฟอย่างแรง หัวสมองผมยังไม่ตื่นถ้าไม่ได้ล่อกาแฟแรงๆเข้าไปก่อน
“ไม่ต้องหรอก เมียไอเตรียมกาแฟกับอาหารเช้าเอาไว้รอแล้ว” Francisco ว่าอย่างนั้น นี่แกคงเจตนาแกล้งให้สมองผมมึนงงแน่ๆจะได้ตัดสินใจผิดๆได้ง่ายขึ้น

เมื่อไปถึงบ้าน ผมยังไปดูรถไม่ได้ ต้องนั่งรอจนอีตา Francisco แกค่อยๆกระเดือกอาหารเช้าเข้าไปจนหมด ส่วนผมก็กรอกๆๆๆกาแฟลงไปปลุกสมอง แต่ไม่มีผลอะไรเลย กาแฟแบบธรรมดาสำหรับคนที่ติดกาแฟอย่างผม เหมือนกินน้ำเปล่าๆ ตอนหลังยังมานั่งคิดเลย ถ้าเช้าวันนั้นผมได้กิน Espresso แก่ๆสักแก้ว หูตาผมคงจะมองสิ่งผิดปิดปกที่รถคันนั้นได้ดีกว่านี้ และผมคงไม่ตัดสินใจผิดๆซื้อมันมาแน่ Francisco เดินไปที่โรงรถ เปิดโรงรถขึ้นและถอยรถออกมา รถเป็นสีแดงสดสะท้อนกับแสงแดดตอนเช้าทำให้แทบจะไม่เห็นริ้วรอยอัปลักษณ์ที่เห็นเมื่อคืนเหล่านั้นเลย แกออกมาจากรถไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งและบอกให้ผมลองขับดู

“รถยังไม่มีทะเบียนนะ คงขับไปไหนไกลไม่ได้ ขับระวังๆหน่อยก็แล้วกัน”

ผมเหยียบครัชเข้าเกียร์พารถเลี้ยวออกมาจากซอย พลางคิดว่า เออ อะไรกันวะ รถแบบนี้มันต้องลองกันที่ถนนใหญ่ หรือบนไฮเวย์โน่น มาลองบนถนนเล็กๆแบบนี้มันจะรู้เรื่องอะไร พอมาถึงถนนโล่งๆพอที่จะลองกำลังเครื่องยนต์ได้ ผมเริ่มเร่งเครื่องขึ้นไป ขณะที่ผมกดคันเร่งลากออกไปที่เกียร์สาม ได้ยินเสียงหวีดหวิวมาจากใต้ท้องรถ เดาเอาว่า งานนี้ไม่เกียร์ก็เฟืองท้ายแน่นอน หรือว่ามันปกติสำหรับ M3 วะ ขณะที่เร่งขึ้นไปและผมกำลังพยายามฟังเสียงว่ามันมาจากไหนแน่ พวงมาลัยก็เริ่มสั่นน้อยๆ ผมรู้สึกว่าเครื่องยนต์ไม่ค่อยมีกำลัง แต่น่าจะปกติ เพราะเครื่องยนต์ตัวนี้จะไปให้มันดึงแบบ 325i ของผมคงจะไม่ได้ ผมรู้มาว่าเครื่องของ M3 นี้ถ้าต่ำกว่า 4000rpm ก็ไม่ต่างจากลูกแมวเชื่องๆตัวนึงเท่านั้นเอง

“เป็นไงบ้าง รู้สึกเหมือนกำลังขับ Porsche Carrera Twin Turbo เลยใช่ไหม” Francisco ถามขึ้นมา
“ไม่ใกล้เคียงเลย (วะ) ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนกำลังขับอีแก่ SAAB ของไอคันที่บ้านมากกว่า แล้วเบรกมันก็แปลกๆยังไงชอบกล” ผมว่าไปตามตรง
“พูดเป็นบ้าไปได้ ไหนลองเบรกซิ เบรก!!!! ไอบอกให้เบรก!” เสียงของ Francisco เหมือนจะฉุนหน่อยๆ ผมกระทืบเบรกลงไปเต็มแรง รถหยุดกึกทันที
“เห็นไหมๆ เบรกมันใช้ได้ ยูเอาอะไรที่ไหนมาพูด”

ผมสงสัยว่าแกพยายามจะพิสูจน์อะไรวะเนี่ย เมื่อกี้นี้รถมันวิ่งอยู่แค่ 30 เอง เบรกอะไรมันก็อยู่ทั้งนั้นแหละ ถ้าจะว่าไปเมื่อกี้ผมไม่รู้สึกว่า ABS มันทำงานเสียด้วยซ้ำไป ช่างหัวมัน บางทีอาจจะเป็นสาเหตุเพราะล้อมันเป็นขนาด 17 นิ้วก็ได้ ผมเลยเปลี่ยนไปพูดเรื่องเครื่องยนต์กับแก

“ไอว่าเครื่องยนต์มันเหี่ยวเหมือนไม่มีแรงเอาซะเลย ที่จริงเครื่องระดับ High-performance ขนาดนี้ ตอนที่ลากไปถึง power band ของมันที่ 4000 rpm เครื่องมันน่ากวาดปรู๊ดไปที่ 6000-7000 rpm หรือไปที่ redline ทันที นี่ไหงกลับตื้ออยู่แค่ที่ 4000 rpm เสียงั้น”
“จอดๆๆๆ เดี๋ยวไอขับให้ดู”

Francisco มานั่งขับ กดคันเร่งออกตัวไป อาการไม่แตกต่าง แกลากอยู่สองสามเกียร์กว่าเครื่องยนต์จะวิ่งขึ้นไปถึง 7000 rpm และตอนช่วง 4000 rpm ขึ้นไปที่ 7000 rpm มันใช้ระยะทางราวๆแยกไฟแดงนึงเห็นจะได้ ผมไม่รู้ว่าเป็นที่เครื่องยนต์หรืออัตราทดเฟืองท้ายมันไม่ถูกต้องกันแน่ เพราะยังไม่เคยมีรุ่นนี้มาก่อนเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคือรู้สึกว่า power band มันแคบแบบแปลกๆ ส่วนอื่นๆเช่นอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง เป็นปกติไม่มีปัญหาอะไร

“เครื่องรถแข่งมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ต้องขับเป็นมันถึงจะเรียกพลังออกมาจากเครื่องยนต์ได้” Francisco เริ่มตอแหลบรรยายวิชาของโรงเรียนสอน NASCAR “วันนี้สงสัยต้องเท่านี้ก่อน วันนี้เป็นวันแม่ ต้องรีบกลับบ้านหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวเมียด่าตายชักเลย….เดี๋ยวไอไปส่งยูที่โรงแรมแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากัน แต่พรุ่งนี้ช่วงเช้าไอไม่ว่างต้องไปเลคเชอร์ตอนสิบเอ็ดโมงเช้า แล้วนี้ยังไม่ได้เตรียมอุปกรณ์การสอนเลย คงไม่มีเวลาให้ยูลองรถอีกที”

Francisco จอดรถที่หน้าบ้าน ผมลงไปเปิดฝากระโปรงดูอีกที ทุกอย่างยังอยู่ดีครบถ้วน ไม่หลุดหายไปไหน เครื่อง S14 นี่มันสวยจริงๆ ให้ตายเถอะ ผมรัก BMW จัง ผมถามแกอีกครั้งถึงเสียงแปลกๆของเครื่องยนต์ตอนสตาร์ท แกก็ยืนยันอีกครั้งว่าทุกอย่างถูกเช็คมาเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ทั้งกำลังอัด และวาล์ว

“จำได้ไหม ไอเคยบอกยูว่า ที่ ‘The Collection’ น่ะ เค้าขายแต่รถดีๆ เค้าเช็คมาหมดเรียบร้อยแล้ว รถกระจอกเค้าไม่ขายหรอก” อีตา Francisco แกยืนยันผมอีกทีหนึ่งเหมือนกัน

ผมเดินไปรอบๆรถตรวจความเรียบร้อยอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เห็นรอยสีเป็นคลื่นเพิ่มขึ้นมาอีกประตู ทำไมตาผมมันดีผิดมนุษมนาเค้าอย่างนี้นะ โน่นอีกสองสามรอยที่แก้มบังโคลน อีกสองสามรอยที่แก้มหลัง โน่นฝากระโปรงหน้าด้วย นี่ฝากระโปรงหลังก็มี สงสัยถ้าจะให้ดีต้องลอกสีมันทิ้งให้เหลือแต่เหล็กทั้งคันแล้วพ่นใหม่แล้วมั้งเนี่ย ไม่งั้นยืนมองนานๆแล้วรู้สึกเวียนหัวเหลือเกิน อย่างกับเมาคลื่นในทะเล จริงๆแล้วถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น อยากรื้อมันออกมาเป็นชิ้นๆออกมาดูเลยมากกว่า ผมเพ่งมองเข้าไปในห้องเครื่องยนต์ และจ้องดูบางอย่างในนั้นอยู่พักหนึ่งจึงได้ยินเสียง Francisco เดินมา

“ยูพยายามจะดูว่ารถคันนี้โดนชนมาหรือเปล่าเหรอ……ยูไม่มีทางเจอหรอก เพราะรถคันนี้ไม่เคยโดนชน”

พอผมพูดถึงตำหนิที่ตัวถัง รอยที่กระจก และสีที่ไม่เรียบเป็นผิวส้ม แกดันเดินกลับไปที่โรงรถไปคุยกับเมีย ผมได้ยินเสียงโขมงโฉงเฉงเป็นภาษาสแปนิชแว่วๆ ไม่รู้ว่ากำลังเถียงกันเรื่องไปเที่ยววันแม่ หรือกำลังด่าผมที่ไปถามซอกแซกเกี่ยวกับรถกันแน่

ในระหว่างนั้นผมมองไปทียาง เป็นยี่ห้อ SUMITOMO เกรด ZR แต่ไหงลูกศรที่ชี้ทิศทางการหมุนของยางมันกลับด้านกันหมดเลยหว่า เหมือนกับล้อซ้ายมันสลับไปขวา ล้อขวามันสลับไปซ้ายมั่วไปหมด สงสัยจะใส่ผิด ตอนนี้แกเดินกลับมาพอดี ผมเลยชี้ให้แกดู และบอกว่า วันพรุ่งนี้น่าจะเอาไปให้ร้านยางเปลี่ยนให้ถูกต้องเสีย จะได้ถือโอกาศให้เค้ายกตัวรถขึ้นดูลูกปืนล้อ เบรก และส่วนอื่นๆใต้ท้องรถด้วย

“นี่!! ไอบอกยูกี่ครั้งแล้วว่ารถคันนี้ถูกเช็คมาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างปกติ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเติมน้ำมันแล้วก็ขับได้เลย” เสียงอีตา Francisco เหมือนจะเหนื่อยหน่ายรำคาญผมขึ้นทุกที
“แต่ยังไงก็ตาม พรุ่งนี้ตอนเช้าเมื่อร้านยางเปิดแล้ว ไอยังอยากเอามันไปยกขึ้นเช็คดูอยู่ดี” ผมยืนยันเจตนาเดิม

จะเป็นยังไงก็ตามเถอะ ผมตัดสินใจแล้วว่า นี่คือรถที่ผมกำลังมองหาอยู่...... ..และผมจะซื้อมัน

ผมจึงเอ่ยปาก Francisco ขอดูทะเบียนรถ


จบภาคสอง


                                                                    ........................................................................................

ต่อภาคสาม


นายFrancisco เดินไปหยิบเอาเล่มทะเบียนรถออกมาให้ผมดู ตรวจดูแล้วไม่พบว่ามีระบุว่าเป็น Salvage หรือ Rebuilt แต่ทะเบียนไม่ได้เป็นชื่อของอีตา Francisco แก

(หมายเหตุ: จริงๆแล้วที่อเมริกา ทะเบียนรถมันไม่ได้เป็นเล่มแบบที่บ้านเรา มันเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว แผ่นสักฝ่ามือนึงได้ ที่ส่วนท้ายจะฉีกออกมาได้ ขนาดพอๆนามบัตร มีรายละเอียดของรถ เจ้าของรถ อยู่บนนั้น เอาไว้พกติดตัวเวลาถูกขอตรวจดู ทะเบียนรถไม่ได้เป็นเล่มแบบที่ใช้ต่อๆกันไปแบบบ้านเรา ที่โน่นเวลารถเปลี่ยนเจ้าของ ต้องเอารถไปจดทะเบียนใหม่ และเค้าจะออกแผ่นป้ายทะเบียนให้ใหม่ รวมไปถึงกระดาษทะเบียนที่ว่านี้ด้วย ส่วนกระดาษทะเบียนอันเก่ากรมขนส่งเค้าจะเอาคืนไป [หรือถ้าเรามีแผ่นป้ายทะเบียนที่โอนออกมาจากรถคันเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วและยังไม่หมดอายุ ก็สามารถเอามาใช้กับรถคันใหม่นี้ได้]- F/D)


“ไหงชื่อในทะเบียนไม่ได้เป็นชื่อของยูล่ะ แล้วนี่เจ้าของเดิมเค้าเซ็นต์สลักหลังโอนเอาไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2003 โน่นแน่ะ รู้สึกว่ามันเกินกำหนดโอนตามกฏหมายของรัฐที่ไออยู่แล้วนะ” ผมเริ่มได้กลิ่นของปัญหาอีกแล้ว
“ก็บอกไปแล้วว่ารถมันจอดเอาไว้เฉยๆไม่ได้ขับ เลยยังไม่ได้เอาไปจดทะเบียน ส่วนเรื่องวันที่เซ็นต์สลักหลัง ไม่น่าจะมีปัญหา เดี๋ยวไอแก้ให้ใหม่”
“อะไรนะ!!! แค่นี้ไอก็ปวดหัวกับตัวรถมากพอแล้ว อย่าให้ไอต้องไปตอบคำถามกับ DMV ที่โน่นอีกเลยว่าทำไมวันที่ในทะเบียนถึงถูกแก้มา เอางี้ กฏหมายที่รัฐของไอ สามารถใช้วันที่ระบุในสัญญาซื้อขายที่ทำต่างหาก เอามานับวันครบกำหนดโอนแทนวันที่เซ็นต์สลักหลังไว้ในทะเบียนได้ ยูบอกว่าซื้อมาจาก ‘The Collection’ ใช่ไหม งั้นเดี๋ยวให้ ‘The Collection’ ทำสัญญาซื้อขายให้ใหม่เป็นชื่อไอละกัน”

ผมมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้า ‘The Collection’ เค้าไม่ยอมทำให้ใหม่ ผมคงจะเขียนยกเมฆมันขึ้นมาเองเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมไม่อยากทำหรอก เอาเป็นว่าถ้ามันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ผมคงต้องทำ รัฐบาลเค้าคงไม่สนใจหรอกว่ามันเป็นของจริงหรือยกเมฆ เค้าสนแต่ว่าเค้าจะฟันภาษีได้เท่าไหร่เท่านั้นเอง

“เรื่องสัญญา ที่จริงเรื่องเล็กจะตายไป เอาไปให้เตนท์รถทั่วไปที่ไหนทำให้ก็ได้” อีตา Francisco ว่ามาอย่างนี้ ผมชักสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่าทำไมแกถึงแนะนำแบบนี้ แทนที่จะกลับไปที่ร้านที่แกซื้อมา หรือบางทีแกอาจจะมีเพื่อนๆที่รู้จักตามเตนท์รถ อาจจะพูดกันง่ายกว่าก็ได้ ผมเริ่มคิดในแง่ดีอีกแล้ว
“แล้วราคาในทะเบียน ทำไมถึงระบุเอาไว้แค่ $3000 เองล่ะ” ผมเพิ่งสังเกตุเห็นว่าราคาที่ลงไว้ในช่องถัดไปจากช่องลายเซ็นต์โอนจากเจ้าของเดิมมันลงเอาไว้แค่ $3000 เอง
“อ๋อ….เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีค่าโอนแพงๆไง”
“โอเค เข้าใจ” ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ ใครๆก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่นี่ไหงมันต่ำจัง

(หมายเหตุ: DMV ย่อมาจาก Department of Motor Vehicle [บางรัฐจะเรียกว่า MVA - Motor Vehicle Administration] คล้ายๆกรมขนส่งบ้านเรานั่นแหละ จะไปต่อทะเบียน/จดทะเบียนรถ โอนรถ ทำใบขับขี่ ฯลฯ ต้องมาที่นี่ หน้าที่งานหลักๆเหมือนกันแต่อาจจะแตกต่างกันไปในข้อปลีกย่อยขึ้นอยู่กับกฏหมายของรัฐนั้นๆ ที่อเมริกา ผู้ขายสามารถเซ็นต์สลักหลังโอน/ลงวันที่พร้อมระบุราคาซื้อขายลงไปในกระดาษทะเบียนนั้นได้เลย [ที่จริงมันก็เซ็นต์ด้านหน้านั่นแหละ แต่ภาษาไทยเราเรียกการเซ็นต์แบบนี้ว่าเซ็นต์สลักหลัง –หรือเปล่า???] โดยไม่จำเป็นต้องทำสัญญาซื้อขายต่างหากอีกอันหนึ่ง ส่วนจะเซ็นต์ลอยเอาไว้เฉยๆโดยไม่ระบุวันที่และราคาก็ได้ แต่ไม่ค่อยเห็นใครเค้าทำกัน ในเรื่องนี้เจ้าของเดิมเค้าลงวันที่เอาไว้เสร็จสรรพ ตา Keith แกเลยปวดหัว และที่แกออกความคิดแบบนั้น แกคงคิดว่าเจ้าของรถคนเก่าเอามาเทิร์นกับ ‘The Collection’ แล้วยังไม่ได้โอนและอีตา Francisco แกก็ไปซื้อต่อมาอีกที

ตอนที่ผมขาย Porsche ไป คนซื้อมาแต่เช้า ผมงัวเงียดันไปเซ็นต์ผิดช่อง ไปเซ็นต์ในช่องคนซื้อ แต่ผมปล่อยเอาไว้อย่างงั้นไม่ได้ขีดฆ่าหรือลบออก เพราะกลัวว่ามันจะมีปัญหายุ่งยาก จัดแจงเซ็นต์มันลงไปที่ช่องคนขายอีกที แล้วคนซื้อมันก็เซ็นต์ต่อท้ายลายเซ็นต์ผม [ที่เซ็นต์ผิด] อีกทีนึง กลายเป็นมีสามลายเซ็นต์ไป อีกสองวันคนซื้อเค้าเอารถไปโอน มีเจ้าหน้าที่ที่ DMV โทรมาหาผมให้ผมยืนยันว่าผมเป็นผู้ขายจริง เค้าคงสงสัยว่าทำไมเซ็นต์กันเปรอะไปหมด ผมยืนยันไป โอนได้ จบ ไม่มีปัญหา - F/D)


“เอาล่ะ มาคุยเรื่องราคากัน ยูว่าไว้ที่ $10,500 ใช่ไหม เอางี้ถ้า $10,000 พอไหวไหม?” หลังจากที่ผมเอาเลข VIN ที่ระบุไว้ในทะเบียน ไปเทียบกับที่ตัวถังรถแล้วปรากฏว่าตรงกัน ผมเลยตรงประเด็นไปที่ราคาเลย
“อืม… ไหนๆยูก็อุตสาห์ดั้งด้นมาถึงนี่แล้ว $10,000 ก็ได้ นี่พิเศษสำหรับยูจริงๆเลยนะเนี่ย แต่ไอขอรับเป็นเงินสดได้ไหม ซื้อขายกันเองแบบนี้…ยูก็รู้….ไอไม่ค่อยอยากรับเช็ค”
“…เข้าใจ $10,000 ถ้วน จ่ายเป็นเงินสด โอเค?”
“โอเค ถ้างั้นต้องไปแล้ว เดี๋ยวเมียไอเพ่นกบาลแยก เดี๋ยวไอไปส่งยูที่โรงแรม แล้วพรุ่งนี้ไอไปรับยูตอนแปดโมงสิบห้าละกัน”

ผมกลับมานั่งอยู่ที่โรงแรมลองคิดๆดูว่า รถคันนี้มันมีแค่ปัญหาเล็กๆน้อยๆ ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย แต่พอรวมๆกันเข้ามันก็น่าปวดกบาลเหมือนกันแฮะ นี่ขนาดเพิ่งเห็นได้แค่ครึ่งเดียวนะยังไม่ได้ดูแบบจริงๆจังๆ นึกถึงคำพูดของแก “ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่ PERFECT! รับรองว่ายูไม่ผิดหวังแน่ๆ” แล้วมันน่าโมโหจริงๆ แต่เอาเถอะดูแล้วมันน่าจะซ่อมได้ ค่อยๆซ่อมไป จะเอาอะไรกันนักกันหนากับรถราคาแค่หมื่นเดียว ถ้าจะเอาแบบสภาพดีๆสวยๆขับได้เลยและไม่ต้องซ่อม มันก็ต้องมี หมื่นห้า-หมื่นหก หรือบางทีอาจจะหมื่นแปด และผมไม่อยากเจียดเอาเงินเก็บออกมาใช้มากกว่านี้ด้วย

ผมหยิบหนังสือ Roundel ขึ้นมาอ่าน พลิกๆดูในหน้า classified เห็นมี M3 ลงประกาศขายอยู่สองสามคันใน Tennessee, Texas, และ North Carolina ดูๆแล้ว ราคาแพงกว่าและไมล์ยังสูงกว่าด้วย แถมใส่ล้ออะไรมาก็ไม่รู้ น่าเกลียดมาก ผมจ่ายเงินเป็นหมื่นแล้วทำไมต้องมาเสียเงินซื้อล้อเปลี่ยนอีก ผมเกลียดการเอาล้อแนวปี 2003 มาใส่ในรถยุคปี 1980’s มันดูขัดกัน แต่ยังไงก็ตามผมก็ลองโทรไปสอบถามดู ปรากฏว่าไม่มีใครรับสายเลย ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น มี M5 E28 ปี 1988 ลงขายไว้หนึ่งคัน แต่ผมไม่ได้สนใจรถรุ่นนี้แม้แต่น้อยนิด

นี่ถ้าผมจด VIN เอาไว้และสามารถต่อ internet ได้ก็ดีสินะ จะได้เอาไปเช็คประวัติใน CARFAX.com ดู ผมยังไม่เคยใช้บริการของ CARFAX มาก่อนเลยเหมือนกัน จริงๆแล้วผมไม่น่าจะต้องใช้มันหรอก เพราะปกติถ้าผมไปดูรถแล้วได้กลิ่นไม่ดี ผมแค่เดินหันหลังให้มัน แบบนี้ง่ายกว่าเยอะ

(หมายเหตุ: CARFAX เป็นบริการเช็คประวัติรถทาง internet [ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.carfax.com เราแค่ใส่เลข VIN ลงไป [และจ่ายค่าธรรมเนียมผ่านบัตรเครดิต] กด ok ภายในไม่กี่วินาทีมันจะออก report ออกมาแสดงรายละเอียดทั้งหมดของรถคันนั้นตั้งแต่ Day 1 บอกหมดว่าเป็นรถอะไร รุ่นอะไร ปีอะไร ใครเป็น [และเคยเป็น] เจ้าของบ้าง ซื้อกันวันไหน โอนกันวันไหน ติดอายัดที่ไหนเอาไว้หรือเปล่า ฯลฯ ผมเคยใช้บริการเล่นๆดู ลองดูซิว่าบรรดาลูกรักของผมตอนนี้มันอยู่ไหนบ้างแล้ว มีคันนึงที่คนที่ซื้อต่อผมไปยังใช้อยู่เลย [ห้าปีกว่า หลังจากที่ผมขายไป] อีกคันเปลี่ยนมือไปห้า-หกครั้งแล้ว ตอนนี้รถอยู่ที่ Michigan ไอ้เจ้า CARFAX นี่ถือว่าเชื่อถือได้และเป็นที่ยอมรับเป็นมาตรฐานทั่วไปนะครับ คำว่า CARFAX รู้สึกว่าจะเป็นคำเฉพาะเหมือนกับคำว่า XEROX หรือแฟ๊บไปแล้ว รู้สึกว่ามันจะเชื่อมต่อเข้าระบบของ DMV หรือ MVA โดยตรงเลย ผมสงสัยว่าอีตา Keith ทำไมมันไม่เอาไปเช็ค CARFAX ก่อนที่จะตกลงใจซื้อฟะ –F/D]

ผมโทรศัพท์หา Andrea เล่าให้เธอฟังว่าเรื่องราวมันไปถึงไหนแล้ว บอกถึงปัญหาเล็กๆน้อยที่เจอ เรื่องสีตัวถังที่อาจจะต้องพ่นใหม่ทั้งคัน ภายใน ล้อ และราคาที่ค่อนข้างถูก แต่แค่เอามันกลับมาซ่อมนิดๆหน่อยๆก็น่าจะโอเค รถแบบนี้หาได้ไม่ง่าย ในหมู่บ้านที่อยู่ไม่มีแน่ หรือแม้แต่ในเมือง Seattle ทั้งเมืองก็เถอะ เพื่อนที่โน่นของผมคงจะนั่งรอดูอยู่

ในหัวผมยังคงคิดสับสนวนเวียนและออกจะโมโหหน่อยๆเมื่อนึกถึงตอนที่รถมันไม่ได้เป็นแบบที่โฆษณาเอาไว้ ผมลองโทรกลับไปที่ M3 ที่ลงขายเอาไว้ใน Roundel Magazine อีก แต่ไม่มีใครรับสาย เลยฝากข้อความเอาไว้ และก็โทรไปถามเรื่อง M5 ปี 1988 คันที่ลงในหนังสือพิมพ์ด้วย แต่งมาเพียบเลยแต่ขายแค่ $12,000 เอง น่าสนใจ แต่ผมว่ารูปร่างมันน่าเกลียด แถมเป็นรถสี่ประตูอีก ผมมีรถสี่ประตูอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะซื้อมาทำไมอีก เครื่องยนต์มันอาจจะแรงกว่า M3 ใช่สิ….แรงกว่าแน่… 315 แรงม้า โอ้โห แรงชิบเป๋งเลย แต่มันไม่ใช่ E30 ถ้าผมจะไม่ซื้อ M3 ไม่ใช่เพราะว่า M5 มันมี 315 แรงม้า ผมอยากได้เครื่องรอบสูงๆ เอ…หรือยังไง….ที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นคนขับรถเล่นรอบอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ….ไม่ใช่…..ผมชอบมัน…ผมชอบมันเพราะมันเป็น E30 ผมชอบ E30 ผมอยากได้ M3 E30

ผมใช้เวลาที่เหลือของวันว่ายน้ำอยู่ในสระของโรงแรม พลางคิดวนเวียนถึงเรื่องนี้ คิดถึงว่าวันพรุ่งนี้จะเอายังไง มันถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจได้แล้ว คืนนั้นผมเข้านอนด้วยจิตใจว้าวุ่น นอนคิดอยู่อีกครึ่งคืนถึงเรื่องนี้ว่าจะเอายังไงกับมันดี สุดท้ายแล้วผมตัดสินใจว่าจะซื้อมัน ซึ่งจะต้องเอาไปซ่อมต่อ แต่มันน่าจะอยู่ในวิสัยที่ทำได้

ผมตื่นเช้าขึ้นมา จัดแจงเก็บข้าวของและลงมากินอาหารเช้าข้างล่าง หลังจากเช็คเอาท์โรงแรมเรียบร้อยแล้วและกระดกกาแฟไปสองสามถ้วย Francisco ก็โผล่มาพอดี

“ยูคงต้องให้คำตอบไอเดี๋ยวนี้แล้วล่ะว่ายูจะซื้อหรือไม่ซื้อ ถ้าไม่ซื้อไอจะได้โทรกลับไปหาคนอื่นๆที่รอจะมาดูอยู่”
“โอเค ไอซื้อ” ผมตอบยืนยัน และภาวนาว่าอย่าให้รถมันมีปัญหาอะไรไปมากกว่าที่เห็นละกัน

Francisco ขับพาผมไปที่ DMV เพื่อที่จะไปเอาแผ่นป้ายทะเบียนชั่วคราว

[หมายเหตุ: ป้ายทะเบียนชั่วคราว เหมือนป้ายแดงบ้านเรานั่นแหละครับ แต่มันทำด้วยกระดาษแข็งและไม่ได้เป็นสีแดง ใช้ขับได้ชั่วคราวราว 30-45 วัน ใช้ครั้งเดียวทิ้ง แค่พอให้เอารถกลับบ้าน หรือเอาไป Inspection/emission test หรือเอาไปซ่อมให้ผ่าน inspection/emission test ฯลฯ เพราะที่อเมริกา แผ่นป้ายทะเบียนมันไม่ได้ติดไปกับรถ เจ้าของเดิมเค้าเก็บเอาไปใช้ต่อที่คันอื่นได้ จึงต้องมาเอาป้ายชั่วคราวก่อน จะไปวิ่งโท่งๆไปโดยไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนไม่ได้ ตำรวจจับ เมื่อได้เอกสารหรือสติกเกอร์ติดกระจกว่าผ่าน Inspection/emission test เรียบร้อยแล้ว จึงเอาไปยื่นรับแผ่นป้ายทะเบียนจริงอีกที หรือถ้าใครจะใช้ป้ายเดิมที่เอามาจากรถคันเก่า ถ้าทะเบียนยังไม่หมดอายุ หรือรถ inspection/emission test ของรถคันนั้นยังไม่หมดอายุ ก็สวมลงไปตอนนี้ได้เลย

ส่วนใครจะเอา[หรือจะต้อง] ไปจดทะเบียนที่รัฐอื่นก็ใส่ป้ายกระดาษวิ่งไปให้ถึงบ้านไปก่อน แล้วก็ไปทำขั้นตอนนี้ใหม่ในรัฐนั้นๆไปใช้ป้ายจริงที่รัฐนั้นๆเลย [ตา Keith แกอยู่ Washington state แกก็ต้องเอารถไปจดทะเบียนที่โน่น ถือใบขับขี่รัฐไหนต้องจดรัฐนั้น จดข้ามรัฐไม่ได้ครับ] แต่บางรัฐก็จะให้ป้ายจริงที่เป็นเหล็กมาเลยนะครับ แต่มีอายุชั่วคราวแบบนี้เหมือนกัน ที่อธิบายยืดยาวแบบนี้ เพราะเดี๋ยวมันจะมีเรื่องเกี่ยวๆกับตรงนี้ด้วย- F/D]


เมื่อไปถึง DMV ดูเหมือนปัญหาจะมีเพิ่มขึ้นมาอีก เจ้าหน้าที่ที่นั่นเค้าสงสัยว่าทำไม มิสเตอร์ Francisco แจ้งว่ากำลังจะขายรถคันนี้ให้ มิสเตอร์ Keith แต่ มิสเตอร์ Francisco ไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของรถอยู่ในทะเบียน???
อีตา Francisco แกเลยเริ่มสร้างนิยายตอแหลบอกเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่หลังเคาท์เตอร์ขึ้นมาอีกว่า

“ว่ากันตามตรงเลยนะ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ที่จริงแล้วไอไม่ได้เป็นคนขายหรอก พอดีเพื่อนสนิทของไอที่อยู่อีกรัฐนึงเค้าเคยมาดูแล้วเกิดอยากได้ขึ้นมา แต่บังเอิญว่าวันนี้เค้าไม่ว่างที่จะมาเอารถเองได้ เค้าเลยโอนเงินมาให้ไอช่วยมาจัดการแทนให้หน่อย เพื่อนไอคนนี้สนิทกันดี….ฯลฯ”

ผมยืนเงียบฟังแกตอแหล ขี้วัวล้วนๆไม่มีความจริงปน ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะพูดอะไรโต้แย้งออกมาให้ความแตกต่อหน้าเจ้าหน้าที่ DMV แล้วเดี๋ยวสุดท้ายเจ้าหน้าที่เค้าก็ไม่ออกทะเบียนให้ก็จะยุ่งไปกันใหญ่ หลังจากได้ป้ายทะเบียนชั่วคราวแล้ว Francisco ขับรถกลับมาที่บ้าน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมจ่ายเงินให้แก และจัดแจงเอากระเป๋าสัมภาระของผมขึ้นรถ แล้วเอาแผ่นป้ายทะเบียนชั่วคราวติดรถ ในขณะที่ยืนนับเงิน หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมยื่นสัญญาซื้อขายที่ผมเตรียมมาแล้วให้แก

“โอเค ไอจะไปแล้ว เซ็นต์สัญญานี้ให้เรียบร้อยเสีย”
“ไอเซ็นต์ไม่ได้หรอก เพราะไอไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของรถอยู่ในทะเบียน”
“ไอไม่สนหรอกว่าชื่อที่อยู่ในทะเบียนจะเป็นชื่อของแมวตัวไหน แต่ยูต้องเซ็นต์เพื่อเป็นหลักฐานการรับเงิน!”


จบภาคสาม

 

                                                                              ......................................................................................

 

ต่อภาคสี่


เราจับมือเซย์กู๊ดบายกัน อีตา Francisco ทำท่าเหมือนจะอาลัยอาวรณ์ (อดีต) รถของแก

“โอเค ดูแลรักษารถให้ดีนะ ไม่งั้นไอตามไปอัดยูแน่ เอาล่ะ ไอต้องรีบไปเลคเชอร์แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน ขับตามไอมาล่ะกัน ไอจะพาไปทางลัดที่ออกไปถนนใหญ่นอกเมือง” นี่คือน้ำใจของนาย Francisco แก แต่จากน้ำเสียงของแก ผมฟังดูแล้วเหมือนกับแกพยายามจะบอกว่า ช่วยออกไปจาก Florida ให้เร็วๆหน่อยเถอะ
“ขอบใจ แต่ไอว่าจะวกขึ้นไปที่ Daytona Beach สักหน่อย อยากไปเห็นสนามแข่งรถ Daytona แล้วอยากจะเอา M3 คันนี้ไปถ่ายรูปคู่กับสนามแข่งของมันด้วย บางทีไออาจจะค้างคืนที่ Orlando สักคืน งั้นช่วยไออีกสักที่ แถวนี้มีร้านขายอะไหล่รถที่ไหนบ้าง ไออยากไปแวะซื้ออะไรบางอย่างหน่อย”
“หือ…จะไปซื้ออะไร รถคันนี้ไม่ต้องซ่อมอะไรแล้ว”
“ไออยากไปซื้อพวกของกระจุกกระจิกเผื่อว่าอาจจะต้องใช้ระหว่างทาง อย่างเช่น น้ำมันเครื่อง, น้ำยาล้างกระจก, ฟิวส์, Techron (น้ำยาไล่ความชื้น/ล้างระบบหัวฉีด – F/D) แล้วก็ไม้กระบองสักอัน เอาไว้ป้องกันตัวเผื่อใครมาจี้ปล้นไอระหว่างทาง”

แกมองผมอย่างขำๆ แล้วบอกว่าขับไปอีกสองสามไมล์มีอยู่ร้านนึงระหว่างทางก่อนขึ้น Highway ผมขับตามแกออกไป จนเกือบไปถึงทางเชื่อมเข้าสู่ Highway แกชลอรถแล้วโบกมือให้ผมแซงขึ้นไป

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นมิสเตอร์ Francisco Montoya

(หมายเหตุ: Orlando ยังอยู่ในรัฐ Florida เมืองนี้คนทั่วโลกชอบมาเที่ยวเพราะมี Disney World ตั้งอยู่ [ผมไปมาหนนึง รู้สึกเฉยๆ สงสัยจะเลยวัยไปแล้ว] ส่วน Daytona Beach ก็ยังอยู่ใน Florida จะเป็นเมืองที่มีสนามแข่งรถ Daytona ตั้งอยู่ สนามสวยมากๆ ผมขับไปทางใต้อยู่สองสามครั้ง (I-95) ถึงจะได้แวะเข้าไปดู ครั้งแรกขาไปมัวแต่ชอปปิ้งที่ Outlet Mall ที่ Hilton Head ใน South Carolina ขับผ่านมาถึงก็ค่ำแล้ว ขากลับยังไม่ค่ำแต่จะรีบไปแวะชอปปิ้งที่เดิมอีกที เดี๋ยวมันจะปิดก่อน เลยไม่ได้แวะอีก ให้มันได้อย่างงี้ซิ (วะ) – F/D)

ผมเลี้ยวเข้าไปในร้านขายอะไหล่บนถนน Southern Boulevard เข้าไปซื้อของที่ตั้งใจไว้ และไม่ลืมที่จะหยิบเอาไม้กระบอกอันที่แพงที่สุดของร้านมาด้วยอันนึง เช็คเอาท์ออกมารวมๆแล้วร้อยกว่าเหรียญเห็นจะได้ ผมเดินออกมาจากร้าน เปิดฝาถังน้ำมัน จัดแจงเอา Techron กรอกลงไป เปิดวางกระโปรงตรวจสอบสายพานเครื่องต่างๆ คิดไปว่าไปว่าที่จริงซื้อสายพานมาสำรองติดรถไว้กันเหนียวก็ดีเหมือนกันแฮะ ผมเดินเข้าไปในร้านอีกทีกลับออกมาพร้อมสายพานอีกหนึ่งชุดราคาราว $50 เปิดท้ายรถเอาของทั้งหมดเก็บใส่ลงไป, ตั้งเวลา/วันที่ที่ OBC, เอาผ้าเช็ดทำความสะอาดกระจกทั้งข้างนอก-ข้างใน ในขณะที่กำลังจะออกไปเช็ดที่ตัวรถอีกสักหน่อย ผมใจหายวาบขนลุกเกรียว นี่ขนาดอยู่กลางแดดอุณหภูมิ 90 องศานะเนี่ย เมื่อมองไปเห็นว่ากระจกข้างด้านหลังทำไมมันดูเอียงๆงอๆไม่ได้แนวฟะพอมองขยับเข้าไปดูใกล้ๆ มันเอียงจริงๆด้วยและมันไม่แนบจนมองเห็นช่องวางระหว่างกระจกและเฟรมตัวถังได้ชัด ผมออกมาจากรถปิดประตูโครม ฟันหนูหน้ารถด้านคนนั่งก็หลุดห้อยออกมา คิดในใจว่ารถกระป๋องอะไรวะเนี่ย ผมดึงฟันหนูออกมา พลิกดูเห็นขาพลาสติกที่ยึดกับตัวถังของมันหักอยู่

ผมกลับเข้าไปในร้านอีกที ซื้อซิลิโคนแบบสีดำมาหลอดนึง เอาส่วนที่หักติดกลับเข้าไป แล้วประกอบกลับเข้าไปในรถอย่างเดิม ในระหว่างที่รอซิลิโคนแห้ง ผมเลื่อนรถไปจอดในที่ร่มๆเพื่อจะเช็ครถส่วนที่เหลืออีกนิดหน่อยก่อนออกเดินทาง ผมเดินถอยออกมาเล็งระดับตัวรถโดยรวม และเดินเข้ามาดูใกล้ๆ เข้าๆออกๆอยู่แบบนี้ ผมสังเกตุว่าทุกครั้งที่ดู ผมเห็นสิ่งปกติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รอยสีเป็นคลื่นบนฝากระโปรงก็ดูน่าเกลียดและดูเยอะกว่าที่เห็นเมื่อวันก่อน และฝากระโปรงด้านคนนั่งก็ดูเอียงลงมาชิดไฟหน้าอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดจาก gap ของมันเมื่อเทียบกับอีกข้างหนึ่ง แต่ฝากระโปรงหลังกลับเอียงไปทางด้านคนขับและด้านคนนั่งดูออกจะสูงกระเดิดขึ้นมากว่าปกติด้วย สปอยเลอร์หน้าด้านขวาหลวมห้อยลงมา มองเข้าไปเห็นรอยแตกข้างใน เดินมาด้านข้างฝั่งคนนั่ง gap ที่ประตูดูแล้วไม่เท่ากัน ด้านล่างจะดูกว้าง แต่ด้านที่ติดกับบังโคลนดูชิดกว่าปกติ แถมมีรอยสีแตกตามแนวโค้งขอบบังโคลนด้านหน้า

ผมแปลกใจว่า นี่มันเห็นกันได้จะๆด้วยตาเปล่าแบบง่ายๆเลย แต่ทำไมเมื่อวันก่อนทำไมผมมองไม่เห็นของพวกนี้เลยวะ เป็นไปได้หรือเปล่าที่เมื่อวันก่อนมันยังดีๆอยู่ แต่มันเพิ่งมาหลุด มาเอียง ตอนที่ผมขับมาเมื่อกี้แล้วรถมันกระเทือน คิดๆดูแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ผมว่าอาจเป็นเราะผมไม่ดูให้ดีเองมากกว่า รถสีแดงเวลามันถูกแดดมันสะท้อนแล้วมันดูยาก พอมาดูในร่มเลยเพิ่งมาเห็น แล้วอีกอย่างรถมันจอดอยู่ในโรงแคบๆ มันเล็งดูระดับยาก ที่จริงควรจะหาที่โล่งๆที่พื้นได้ระดับจอดเล็งดู

แต่ผมว่าเรื่องของเรื่องก็คือ ตอนที่ดูรถเมื่อวันก่อน ประตูรถ, ฝากระโปรงมันเปิดอยู่เกือบตลอดเวลา ผมเลยไม่ได้สังเกตุเห็น gap ของมัน

ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นความผิดที่ผมโง่เอง ที่ตัดสินใจซื้อทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูให้ละเอียดว่ามันมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่บ้าง…….โอเค….มันผ่านไปแล้ว…และตอนนี้ผมได้เห็นปัญหาทั้งหมดมากองอยู่ข้างหน้าผมแล้ว คำถามต่อไปก็คือ ผมจะทำอย่างไรกับมันดี?

ผมกลับเข้าไปในร้านอะไหล่อีกที ว่าจะไปเข้าถามพนักงานขายในนั้นว่าพอรู้จักอู่ BMW หรืออู่ไหนดีๆแถวนี้บ้างไหม เค้าไม่แน่ใจ ผมเลยยืมสมุดโทรศัพท์มาดู พลิกๆดูรายละเอียด เห็นมีอยู่อู่นึงที่ฟังดูแล้วน่าจะพอได้อยู่ใน West Palm Beach ชื่ออู่ Stahl Motorsport ผมเลยขับไปตามที่อยู่ที่จดเอาไว้ หลังจากขับหลงทางอยู่ราวห้าครั้ง สุดท้ายก็มาเจออู่จนได้ ดูเค้าไม่ค่อยสนใจผมเท่าไหร่นัก บางทีอาจจะเป็นเพราะไอ้เจ้า Porsche Twin Turbo ราคา $80,000 ที่ยกขึ้นอยู่บนฮ้อยนั่น ดูน่าสนใจกว่าผมก็ได้

สักพักมีพนักงานผู้หญิงเดินถือใบเปิด Job ออกมา ก้มมองเข้าไปในรถเพื่อบันทึกระยะทางที่หน้าปัทม์ และ VIN No.เพื่อที่จะกรอกลงไปในเปิด job เธอมองเข้ามองออกทำหน้างงๆ เหมือนพยายามจะหา VIN No. อยู่สักพักก็เดินกลับเข้าไปแล้วกลับออกมาพร้อมช่างคนนึง ผมได้ยินเธอกับช่างพูดกันถึงเรื่อง VIN No. ผมจึงถามไปว่าเกิดอะไรขึ้น ช่างบอกว่าดูเหมือนจะมีปัญหาเกี่ยวกับ VIN ของรถคันนี้ แต่ไม่ได้บอกผมว่ามีปัญหาอะไร แต่ผมว่าช่างแกรู้แต่แกไม่บอกผม คงจะรอให้เปิด job เรียบร้อยแล้วเก็บค่าธรรมเนียมผมก่อนมั้ง สักพักนึงเจ้าของอู่เดินตามออกมา ผมเลยบอกแกว่าให้ช่วยเอา VIN No. ไปเช็คกับ CARFAX ให้หน่อยจะได้ไหม

(หมายเหตุ: รถในอเมริกาทุกคัน จะมี VIN No. plate ที่เป็นแผ่นอลูมิเนียมเล็กๆที่เอา Rivet ยิงติดไว้เอาไว้กับคอนโซลหน้าอีกอันหนึ่งด้วย ถึงแม้ว่ามันจะมีเลข VIN No. ที่จุดอื่นๆของรถอีก แต่เจ้า VIN No. plate ที่อยู่ในรถนี่ถือว่าสำคัญมาก เรื่องตอนนี้ที่อู่เค้าคงสงสัยเลข VIN ที่ตัวรถ กับเลข VIN ที่คอนโซล

ผมเคยต้องลงจากรถ ลงไปนอนกางมือกางเท้าให้ตำรวจมันค้น [ใครเคยดู UBC เรื่อง COPS ยังไงยังงั้นเลย] เพียงแค่เพราะ Rivet มันหลุดหายไปตัวนึง Rivet มันจะมีสองตัวยิงหัว-ท้ายยึดเพลทเอาไว้ แล้วรอยร้าวของคอนโซล [รถ E30] มันดันร้าวผ่าไปที่ Rivet ตัวนึง แล้ว Rivet เจ้ากรรมตัวนั้นมันเลยหลุดหายไป ตำรวจเค้าเลยสงสัยว่าผมไปดัดแปลงตัดต่อรถหรือเปล่า เรื่องนี้ยาว ผมเอาเรื่องถึงขนาดตำรวจคนนั้นเกือบถูกไล่ออกจากราชการ เดี๋ยววันหลังนั่งกินเบียร์แล้วจะเล่าให้ฟัง –F/D)

เจ้าของอู่ดูลังเลใจที่จะเช็คให้ และบอกผมว่าไม่เคยเช็คมาก่อนเหมือนกัน แต่เดี๋ยวจะจัดการให้ แต่งานนี้ต้องคิดค่าบริการเท่ากับเปิดจ๊อบเช็คสภาพรถทั่วไปขั้นต่ำหนึ่งชั่วโมง (1 man-hour –F/D) หนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญสำหรับการเปิดจ๊อบ…..เช็คทั่วไปเท่านั้น……ไม่รวมตรวจรอยรั่ว หรือเช็คกำลังอัด ถ้าต้องการให้เช็คด้วย ต้องจ่ายเพิ่ม และค่า CARFAX ต่างหากอีก $95

ยอดเยี่ยมไปเลย มิสเตอร์ Keith, ยินดีตอนรับสู่ Florida!!!!

รายงานผลจาก CARFAX ออกมาดูแล้วขำไม่ออก มันบันทึกไว้ว่า รถพังขายเป็นซากที่ Pennsylvania หนึ่งหน และกลับไปเป็นซากอีกหนหนึ่งที่ New York บ้าไปแล้ว!! ผมถามที่อู่ให้แน่ใจอีกทีว่าถ้าในกรณีนี้ ในเล่มทะเบียนจะต้องลงเอาไว้ว่า “Salvage” หรือไม่ก็ “Rebuilt” ใช่ไหม

“แน่นอน ต้องลงไว้อย่างนั้น แต่ในทะเบียนนี่ไม่ยักกะมี” เจ้าของอู่ยืนยันแบบนี้ ทำให้ผมต้องโทรศัพท์ไปหา Francisco ทันที แต่ไม่มีคนรับ ผมเลยฝากข้อความเอาไว้

“ตื๊ดดด……..Francisco นี่ Keith พูด สงสัยเรามีอะไรจะต้องคุยกันหน่อยแล้ว ไอมีปัญหากับรถและดูเหมือนว่ารถคันนี้มันเคยเป็นซากพังยับมาก่อนนี่หว่า ไอคิดว่าอยากจะเอาเงินคืน…..”

ผมกดวางหู และหันไปถามเจ้าของอู่ว่ารู้จัก ‘The Collection’ ไหม เขาบอกว่ารู้จักดี แต่เขาไม่คิดว่ารถคันนี้ถูกซื้อมาจากที่นั่น ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเอาค้อนปอนด์มาฟาดกลางกบาล หลังจากจ่ายเงินเสร็จผมขอเบอร์ของ ‘The Collection’ จากเจ้าของอู่เอาไว้ แล้วขับรถกลับไปที่ร้านอะไหล่ คืนของที่ซื้อมาเมื่อกี้ก่อนขับไปที่โรงแรมที่ผมพักอยู่เมื่อคืน หลังจากเช็คอิน ผมโทรศัพท์ถึง Andrea เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง เธอโมโหมาก

“เป็นเรื่องที่ทุเรศมาก อย่าได้เอารถคันนี้กลับมาบ้านเชียว แล้วไม่ต้องกลับมาจนกว่าจะได้เงิน ‘ของเรา’ คืน!!!!”

ผมวางหู เอนหลัง พยายามข่มตาลงนอน…….


จบภาคสี่

                                                                                         ...........................................................................................

 

ต่อภาคห้า


ผมตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วรีบโทรไปที่ The Collection ตามเบอร์ที่อู่ให้ผมเอาไว้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเจ้า M3 เวรกรรมคันนี้ ปรากฏว่าเค้าไม่รู้เรื่องรถคันนี้เลย ผมคิดว่าบางทีเค้าอาจจะลืม เลยบอก VIN No.ไป เค้าเช็คดู เค้าบอกว่าเค้าไม่เคยเห็นรถคนนี้และไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับรถคันนี้เสียด้วยซ้ำไป โอเค ชัดแจ้งแดงแจ๋ ฟันธงได้เลยว่าผมโดนไอ้ขี้วัวนั่นแหกตาเข้าเต็มเปาแน่นอน! เป็นไปได้ยังไงวะ มันบอกว่ามันทำงานให้กับ Division of the United Technical Institutes Corporation บริษัทก็ออกใหญ่โตเชื่อถือได้มีชื่อเสียงทั่วประเทศ มันทำอย่างนี้ได้ยังไงวะ

หลังจากที่พยายามโทรหา Francisco ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายแกก็รับสาย ผมเลยอธิบายเรื่องราวให้แกฟังคร่าวๆ

“ยูพอจะเข้าใจแล้วใช่ไหม ทีนี้ฟังนะนาย Francisco, ว่ากันตรงๆไปเลยนะว่า ยูเอารถยูคืนไป และเอาเงินของไอคืนมา”
“ซอรี่ ไอคงคืนเงินให้ยูไม่ได้หรอก เพราะเพิ่งเอาไปเปิดบัญชีฝากประจำกับธนาคารเมื่อวันก่อนเอง ถ้าถอนปิดบัญชีก่อนกำหนด ธนาคารคิดค่าปรับตายเลย”
“ไอไม่สนหรอกว่าค่าปรับมันจะเท่าไหร่ ไออยากได้เงินของไอคืน!!”

นี่อีกหนึ่งของเหตุผลปนด้วยขี้วัวของ Francisco ตอนหลังผมลองโทรไปถาม Bank of America ที่ผมเป็นลูกค้าอยู่ ว่าค่าปรับของการถอนเงินปิดบัญชีฝากประจำก่อนกำหนดน่ะมันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ธนาคารเค้าบอกว่า $6 เยี่ยม….สาเหตุที่ไอ้ขี้วัวจะไม่คืนเงินผมเพราะมันกลัวจะเสียค่าปรับหกเหรียญถ้วน!!

“รถคันนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรนักหนา” ไอ้ขี้วัวยังจะยืนยันว่ารถของมันดีเสียเหลือเกิน
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรนักหนา??? ยูเคยได้ยินชื่อ CARFAX ไหม?”
“ไม่เคย”

ผมเลยเล่าเรื่องประวัติของรถที่เช็คออกมาจาก CARFAX ให้มันฟังว่าเคยเป็นซากมาที่ไหนบ้าง และเล่าอีกด้วยว่า The Collection ยืนยันกับผมแล้วว่ารถคันนี้ไม่ได้ซื้อมาจากที่นั่น

“ที่จริงไอไม่ได้ไปซื้อโดยตรงกับ The Collection หรอก ไอไปซื้อมาจากนายหน้าที่ขายรถที่นั่น แล้วเรื่อง CARFAX น่ะ ไอว่ามันเชื่อถือไม่ได้หรอก รถคันนี้ไม่เคยเป็นซาก จะมีอย่างมากก็แค่เฉี่ยวนิดเฉี่ยวหน่อยปกติธรรมดาของรถเก่า เอางี้ละกันไอลดให้อีก $500 ให้ยูเอาไปซ่อมเอาเองละกัน”
“ไม่ใช่ห้าร้อยเหรียญ ไม่ใช่สองพันเหรียญ…..ไออยากได้หมื่นเหรียญของไอคืนทั้งหมด จงไปที่ธนาคารเดี๋ยวนี้ ถอนเงินออกมาคืนไอ แล้วเอาไอ้รถเส็งเครงคันนี้ของยูคืนไป! นี่คือประเด็น เข้าใจไหม?” ไอ้ขี้วัวมันช่างมั่นใจเหลือเกินว่ารถมันเจ๋ง ถึงขนาดบอกว่า CARFAX เชื่อถือไม่ได้ แถมใจป้ำจะคืนเงินให้ผมตั้งห้าร้อยเหรียญแน่ะ ฝันไปเถอะ
ผมใช้เวลาที่เหลือของวันขับรถไปรอบๆเมือง พยายามคิดหาทางออกว่าจะทำอย่างไรดี จนขับมาเจอศูนย์ BMW แห่งหนึ่งชื่อ Braman Motors ผมจึงเลี้ยวรถเข้าไป เผื่อจะได้คำแนะนำอะไรดีๆบ้าง ผมเล่าเรื่องให้พวกเค้าฟัง ดูเค้ารู้สึกเจ็บแค้นแทนผมเหมือนกันและรู้สึกเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พนักงานคนหนึ่งช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี โทรศัพท์ไปที่โน่น ที่นี่หลายครั้ง สอบถามข้อมูล ฯลฯ อีกคนโทรไปหาไอ้ขี้วัว ฝากข้อความไว้แกล้งฟอร์มเป็นทนายความของผม ผู้จัดการฝ่ายขายที่รู้เรื่อง M3 ดีคนนึง ลองขับรถของผมดู หลังลองเสร็จเค้าบอกว่ารถคันนี้มีอะไรแปลกๆ ขับไม่เหมือนเป็น M3 และเครื่องยนต์ก็ผิดปกติ ไม่ได้วิ่งแบบที่ S14 มันควรจะเป็นด้วย เค้าบอกว่าสาเหตุของปัญหายังไม่ชัวร์ แต่ดูจากที่เครื่องมันไม่ได้มีควันขาวอะไรทำนองนั้น ก็น่าจะมาจากการตั้ง Camshaft ไม่ถูกต้องมากกว่า

(หมายเหตุ: จากประสพการณ์ผมว่าปัญหาที่คนเจอกับเครื่อง S14 ที่ว่าเครื่องเดินไม่ดี สั่น ฯลฯ หรือเดินดีแต่เร่งไม่ขึ้น มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์น่าจะมาจากการตั้ง Camshaft/วาล์ว ไม่ถูกต้องมากกว่า Camshaft ของ S14 เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่ใช่แค่ใส่ๆเข้าไป ทุกอย่างต้องเป๊ะ เครื่องจึงจะออกมาแบบที่มันควรจะเป็น อยากจะพูดว่าคนที่สามารถทำให้เครื่องตัวนี้ออกมาแบบที่มันควรจะเป็นได้แล้ว ถือว่าวิทยายุทธทาง BMW ถึงขั้นสุดยอดครับ มันไม่ง่าย ถึงจะเป็นผู้ที่ชำนาญจริงๆ ต้องมีสามวันเป็นอย่างต่ำ สำหรับการตั้ง Camshaft/วาล์ว อย่างเดียว ในประเทศนี้ผมเคยเห็นอยู่สองเครื่องที่ [ที่ถูกรื้อออกมาแล้วประกอบกลับเข้าไปแล้ววิ่งแบบที่มันควรจะเป็นเป๊ะ และ…….เหมือนเดิมนะครับ อันนี้หมายความว่า “ที่ผมเคยเห็น” อาจจะมีอีกแต่เค้าไม่ได้เอามาให้ผมเห็น] สีเงินคันนึง สีเขียวอีกคันนึง คันสีเงินกำลังเก็บงานภายในอยู่ แต่ได้ยินเสียงเครื่องเมื่อวันก่อน บอกได้เลยว่านี่แหละ S14 แบบแท้ๆ อยากลองคันนี้มากถึงมากที่สุด ใครอยากรู้เชิญหลังไมค์ ผิดพลาดประการใดของอภัย นี่เปรียบเทียบจากประสพการณ์ M3 E30 จากที่เคยประกอบเครื่องตัวนี้ [โดยการช่วยเหลือของเพื่อนที่ชำนาญ] หนึ่งเครื่อง จากประสพการณ์ตรงหนึ่งคัน และของคนอื่นอีกราวสิบคัน ยังไม่รวมประเภท Conversion ลงบนตัวถัง E30 อีกจำนวนหนึ่ง- F/D)

คืนนั้นผมกลับไปที่โรงแรม นอนหลับๆตื่นๆเหมือนเคย เช้าวันรุ่งขึ้นผมโทรไปหา Francisco อีกที

“Francisco, ออกมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียเถอะ มาจัดการทุกอย่างให้มันจบๆไป ไอจะได้กลับบ้านเสียที”
“ไอคงยังพูดอะไรมากตอนนี้ไม่ได้ ขอปรึกษาทนายของไอก่อน”
“ยูไม่เห็นจะต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากขนาดนั้น ทุกอย่างเห็นกันอยู่โทนโท่ ยูแค่คืนเงินไอมา แล้วเอารถคืนไป แล้วจะไปแหกตาขายใครต่อก็เชิญ รถรุ่นนี้ลงขายเมื่อไหร่ก็มีคนสนใจมาดูอยู่เรื่อยๆแหละ”
“ไอนัดกับทนายของไอไว้แล้วพรุ่งนี้ตอนบ่ายโมง แล้วค่อยว่ากันอีกทีละกัน”

ได้เลยไอ้ตูดหมึก ถ้าอยากจะมาหัวหมอแบบนี้ก็ได้ สุดท้ายแล้วแพ้คดีเอ็งก็จ่ายอ้วก ทีนั้ไม่ใช่แค่ค่าราคารถ ไอ้พวก ค่าโรงแรม ค่ากินค่าอยู่ ค่าใช้จ่าย ค่าเสียเวลาที่ข้ามานั่งรอเอ็งเตะถ่วงทุกวันๆ เอ็งก็ต้องจ่ายคืนข้าด้วย ผมบอกตัวเองว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

ผมแต่งตัวเดินออกมาที่ลานจอดรถ เพื่อเช็ครถประจำวันแบบที่เคยชินก่อนออกเดินทาง พอเปิดฝากระโปรงดูกวาดตาไปรอบๆห้องเครื่อง ผมสังเกตุเห็นว่าหมายเลข VIN ที่ตัวรถ กับหมายเลข VIN บนเพลทที่อยู่ที่คอนโซลมันคนละเลขกัน และไม่มีแผ่นเลข VIN อยู่ที่แก้มด้านในของบังโคลนหน้า และที่ประตูด้านคนขับก็ไม่มี หรือว่าตอนที่เค้าไปพ่นสีใหม่ เค้าดันเผลอไปพ่นทับมันไว้ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือถ้าเค้าไปเบิกแก้มบังโคลนเอามาเปลี่ยนใหม่ ถึงจะไม่มีแผ่น VIN เดิม มันก็น่าจะมีแผ่นตรา BMW/DOT ติดอยู่ด้วย นี่ไม่มีอะไรเลย

(หมายเหตุ: รถ M3 U.S Spec [และรุ่นอื่นๆด้วย] ดูง่ายครับว่ามันย้อมแมวตัดหัวตัดหาง ต่อแขนติดปีก ดัดแปลงทำซ้ำหรือกระทำการอื่นใดที่เป็นการย้อมแมวให้รถมันกลับมาวิ่งได้อีกหรือไม่ เพราะมันจะมี VIN ตามจุดต่างๆบนตัวถังรถด้วย [ขนาดที่ฝาสูบยังมีเลย] เอาแค่นี้นะครับการมาพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะมันไม่ดี ขนาดเมื่อปีที่แล้วตาแจ๊ค เวปมอนสเตอร์สุดหล่อของเรา อยากได้ Paint Code Sticker เอามาติดที่ตัวถังเป็นสี Estoril Blue ยังยากเลย ผมไปถึงที่ศูนย์ BMW [Tisher BMW ที่ Maryland] บอกว่าอยากได้สติกเกอร์แบบนั้น เค้าบอกว่าต้องเอา VIN มาด้วยเพราะมันต้องพิมพ์ VIN ลงไปบนนั้นด้วย เนื่องจากสีนี้เป็นสีพิเศษ ไม่ได้เป็นสีปกติ Part# ของสติกเกอร์สีนี้จึงไม่มี ต้องใช้ Blank Sticker ที่เป็นอีก Part# นึงแล้วส่งไปพิมพ์เป็นพิเศษ ผม email ไปถามตาแจ๊ค ได้เลข VIN มาแล้วเอาไปให้เค้า เค้าบอกว่ารถคันนี้ตัวถังไม่ใช่ M3 นี่น่า ทำให้ไม่ได้ จะไปมั่วเอา VIN ของ M3 มาก็ไม่รู้อีกว่าคันไหนมันเป็นสีนี้บ้าง อีกอย่างกลัวว่าไปเอารถคนอื่นมาแอบอ้างมันจะซวยไปกันใหญ่ ติดคุกเพราะสติกเกอร์แผ่นเดียวไม่คุ้มกัน –F/D)

ผมขับรถตรงไปที่ DMV อีกทีหนึ่ง เอารายงานของ CARFAX ให้เจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่รับไปพลิกๆดูแล้วบอกว่าในหลักการแล้วถูกต้องที่ว่าซากรถแบบนี้จะต้องระบุเอาไว้ว่า “Salvage” หรือ “Rebuilt” ในระบบและในทะเบียน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มี แต่เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ในรัฐ Florida แน่นอน เพราะรัฐ Florida มีกฏหมาย “ห้าม” ไม่ให้นำซากรถมาจากรัฐอื่นมาจดทะเบียนเสียด้วยซ้ำไป ผมเลยยื่นหมายเลข VIN “อีกเลข” หนึ่งที่ผมเจอบนตัวถังรถให้เจ้าหน้าที่ และออกปากขอให้เช็คในระบบให้หน่อย เจ้าหน้าที่รับไป กดเข้าในระบบแล้วเงอหน้าขึ้นมาบอกว่า
“ไม่มี VIN เลขนี้อยู่ในสารบบ ไอแนะนำให้ยูไปติดต่อสำนักอัยการของรัฐดีกว่า เดี๋ยวไอทำเรื่องให้”

ผมเดินทางไปที่สำนักงานอัยการของรัฐ ไปพบเจ้าหน้าคนที่เจ้าหน้าที่ DMV เค้าระบุไว้ชื่อ Kim เธอช่วยเหลือดีมาก เธอรับเอาเรื่องไปตรวจสอบอยู่พักหนึ่ง และกลับมาบอกผมว่าเธอยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถคันนี้ ตอนที่รู้แน่ๆก็คือ
หนึ่ง..รถคันนี้เคยเป็นซากอยู่ที่ New York และมีใครสักคนนำมันเข้ามาในรัฐนี้ ซึ่งเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนๆนั้นคือใคร
สอง..ทะเบียนนี้เป็นทะเบียนที่ถูกสวมลงไป ซึ่งสวมลงไปได้อย่างไรยังไม่รู้แน่ชัด แต่การสวมลงไปบนซากรถแบบนี้ผิดกฏหมายของรัฐ Florida
สาม…สัญญาซื้อขายฉบับนี้ไม่มีผลทางกฏหมายใดๆทั้งสิ้น เพราะมิสเตอร์ Francisco Montoya ไม่ได้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์อยู่ในทะเบียน

หลังจากนั้นเธอแทงเรื่องต่อไปยังแผนก สืบสวนการโจรกรรมรถยนต์ และบอกให้ผมไปพบเจ้าหน้าที่ที่ชื่อ Mauro ซึ่งเป็นนักสืบอยู่ที่แผนกนั้น

“…..นักสืบ Mauro???.......แผนกสืบสวนการโจรกรรมรถยนต์????? ไหงมันกลายเป็นเรื่องนี้ไปได้วะ???? “

ชะช้า เรื่องชักจะสนุกซะแล้ว

ผมโทรศัพท์หาไอ้ขี้วัวอีกครั้งหนึ่ง มันไม่รับสาย ผมเลยฝากข้อความบอกถึงเรื่องสนุกอันนี้เอาไว้



จบภาค 5

                                                                                    ...............................................................................................

 

ต่อภาค 6


นักสืบ Mauro ที่แผนกสืบสวนการโจรกรรมรถยนต์ รีบทำเรื่องออกหมายอายัดรถไม่ให้ออกนอกเขตเมืองทันทีหลังจากรับเรื่องไว้ และบอกให้ผมเอารายงานนี้ไปยื่นที่ทำการนายอำเภอเขต West Palm Beach ผมขับรถไปถึงที่สำนักงานนายอำเภอเขตตามที่บอกตอนสี่โมง ไม่มีใครอยู่เลย ผมนั่งรอๆๆๆๆๆๆ อยู่จนถึงสองทุ่ม จึงมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกลับเข้ามา คิดไปว่าเขตนี้อาชญากรรมคงจะชุกชุมน่าดู นายอำเภอทำงานกันตัวเป็นเกลียว ผมยื่นเรื่องให้กับนายอำเภอคนนั้น แกรับไปดูและทำท่าอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“เหตุเกิดที่ไหน?” นายอำเภอคนนั้นถามผม
“เมือง Wellington”
“นั่นมันนอกเขตรับผิดชอบของไอ ไม่เป็นไร ขับตามไอมา ไอจะพาไปที่ทำการนายอำเภอแขวง Wellington”

(หมายเหตุ: คำว่านายอำเภอในบ้านเราจะมีความหมายอีกแบบหนึ่งนะครับ แต่ในอเมริกานายอำเภอ [Sheriff] จะอยู่ในฐานะผู้รักษากฏหมาย [Law Enforcement] เทียบเท่ากับตำรวจ [Police] แต่จะแบ่งระดับการรับผิดชอบแตกต่างกันไปแล้วแต่ข้อกำหนดของรัฐนั้นๆ หรือเขตนั้นๆ ซึ่งหน้าที่ตรงนี้ก็ยังสับสนกันอยู่ บางรัฐกำหนดว่า Sheriff ทำหน้าที่เป็นตำรวจเขต [County Police] แต่บางรัฐก็มี County Police แล้วยังมี Sheriff อีก รายละเอียดไม่ต้องไปสนใจมันหรอกครับ รู้แค่ว่า Sheriff เนี่ยเทียบเท่ากับ Police แค่นี้พอ เดี๋ยวจะงงว่าทำไมนักสืบ Mauro ไม่ให้นาย Keith ไปที่ ส.น ให้แกไปที่ที่ว่าการอำเภอทำเบื๊อกอะไร –F/D)

นายอำเภอคนนั้นกระโดดขึ้นรถ ขับปรู๊ดออกไปเหมือนธนูออกจากแหล่งจนทิ้งห่างรถผมไปตั้งแต่แยกไฟแดงแรก จนแกต้องไปจอดรอผมที่แยกไฟแดงถัดไป ผมวิ่งตามรถนายอำเภอไปที่ความเร็ว 70 mph หรือบางช่วงก็มากกว่า ท่ามกลางการจราจรในเขตเมือง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมขับรถเกินความเร็วที่กำหนดโดยมีรถตำรวจวิ่งอยู่ข้างหน้า แถมยังต้องพยายามวิ่งไล่กวดรถตำรวจซะด้วย ถนนเริ่มจะมืด [ช่วง Summer จะมืดช้าบางทีสองทุ่มยังสว่างเหมือนห้าหกโมงเย็นอยู่เลย- F/D] จึงเปิดไฟหน้ารถ ลำแสงไฟส่องไปคนละทิศละทางมองแทบไม่เห็นทาง ดูแล้วเหมือนว่าน่าจะมีอะไรแตกหักหรือไม่แน่นที่โคมไฟ แถมประตูก็พะเยิบพะยาบเหมือนกับไม่แน่นด้วย ทุกๆครั้งที่รถกระเทือนเมื่อผ่านถนนขรุขระในเมือง นี่คงเป็นข้อดีข้อเดียวของการทดสอบรถบนถนนในเมือง แกนำผมขับมาจนถึงย่านการค้าเล็กๆอันหนึ่ง เลี้ยวเข้าไปเห็นสำนักงานนายอำเภอของเขต Wellington ตั้งอยู่ในนั้น นายอำเภอเขต Wellington เอารายงานต้นเรื่องไปดูและบอกผมว่าต้องการเห็นเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สักพักผู้ช่วยนายอำเภอก็เดินเข้ามาสมทบอีกคนหนึ่ง

นายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอพิจารณาเอกสาร และถกเถียงกันไปมาอยู่พักนึง และบอกผมว่า

“โอเค นี่คือสัญญาซื้อขายที่ยูไปเอาไว้กับ Francisco Montoya …..และนี่คือทะเบียนรถ แต่ชื่อในทะเบียนไม่ได้เป็นของคนๆนี้ เพราะฉนั้นยูจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่านาย Francisco Montoya เข้าไปเกี่ยวพันกับรถคันนี้?” นายอำเภอถือเอกสารสองอันชูขึ้นมาร่อนๆในอากาศ ทำท่าหัวเสีย

ไอ้ขี้วัวมันหัวแหลมกว่าที่ผมคิดเยอะแฮะ นึกได้ว่าโชคดีที่ผมฉีกเอาโฆษณาประกาศขายรถคันนี้ออกมาจากหนังสือ Auto Trader แล้วเอาติดตัวมาด้วย ในนั้นมีชื่อของ Francisco พร้อมเบอร์ติดต่อที่บ้าน อันนี้น่าจะเป็นหลักฐานอันเดียวที่จะเชื่อมไอ้ขี้วัวเข้ากับเรื่องนี้ ผมยื่นประกาศโฆษณาแผ่นนั้นให้นายอำเภอดู

“แจ๋ว….. งั้นไปที่บ้านอีตา Francisco กัน ไปถามดูหน่อยซิว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงกัน” นายอำเภอยิ้มออกมาได้ และเดินออกไปนอกสำนักงานกับผู้ช่วยนายอำเภอ กระโดดขึ้นรถของแก

ผมกระโดดขึ้น M3 ของผม บิดสวิทช์กุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์….ไม่มีเสียงอะไรสักแชะให้ได้ยิน ไม่มีแม้แต่ไฟขึ้นที่หน้าปัทม์ ผมสองหมุนกุญแจใหม่อีกสักพัก ก็ยังเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเดิม

“เฮ้ เร็วหน่อย ไปได้แล้ว” เสียงนายอำเภอตะโกนมาจากรถของแก
“รถมันสตาร์ทไม่ติด” ผมตะโกนบอกกลับไป
“งั้นเอากระจกขึ้นเสีย จอดทิ้งเอาไว้นี่แล้วไปกับไอ” นายอำเภอตะโกนกลับมาอีกที
“รถไม่มีไฟเลย เอากระจกขึ้นไม่ได้ ไอไม่อยากจะจอดทิ้งเอาไว้โดยที่กระจกเปิดอ้าซ่าทิ้งไว้อย่างนี้ เดี๋ยวใครมาขโมยไป”

ผมบอกไปพร้อมกระโดดลงมาจากรถ ลงไปตรวจดูที่แบตเตอรี่ เอามือลองขยับๆที่ขั้วมันดูก็ดูแน่นดี และกลับมาลองหมุนกุญแจสตาร์ทอีกที ที่นี้มีไฟขึ้นที่หน้าปัทม์แต่พอสตาร์ท ยังเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเดิม ตายสนิท ผมหมุนอีกสองสามครั้ง สุดท้ายแล้วไอ้รถเส็งเคร็งคันนี้ก็กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม นี่แสดงว่ารถคันนี้น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟด้วย ผมมองไปดูที่ OBC เห็น UHR กลับไปกระพริบๆเหมือนเดิม ทำให้นึกถึงวันแรกที่ผมไปดูรถคันนี้ แล้วไอ้ขี้วัวมันบอกผมว่าเพิ่งเปลี่ยนแบตตารี่มาแล้วยังไม่ได้ reset…. อีกหนึ่งของความตอแหลของมัน

(หมายเหตุ: เป็นความรู้เพิ่มเติมนะครับเผื่อใครไปเจอสถานะการที่แบตเตอรี่หมดสนิท แล้วกระจกหรือซันรูฟยังเปิดอ้าซ่าเอาไว้แบบนั้น ไปเปิดที่กล่องเครื่องมือท้ายรถดู [ถ้ายังอยู่ครบ] จะมีแท่งเหล็กอันนึงที่ปลายมันเป็นหกเหลี่ยม เอาออกมาเสีย แล้วที่แผงประตูมันจะมีเหมือนฝาปิดพลาสติกกลมๆขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทหน่อยนึงอยู่ เปิดฝาออกมา แล้วเอาแท่งนี้ไขเข้าไปหมุนเอากระจกขึ้นได้ครับ เครื่องมือที่ว่านี่เค้าออกแบบมาเพื่อการนี้ รถใครไม่มีไปหาซื้อมาติดรถไว้ครับ มีประโยชน์เหมือนกัน

ส่วนเรื่องขึ้นรถตำรวจน่ะ ไม่ค่อยมีใครอยากขึ้นหรอกครับ ถ้าไม่จำเป็น เพราะมันนั่งไม่สบาย เบาะหลังมันจะแคบมากและเป็นไฟเบอร์แข็งๆ เป็นหลุมลงไปพอดีตัวและด้านหลังจะเป็นโพรงลงไปให้เอามือสอดลงไปพอดี [สำหรับในกรณีที่โดนใส่กุญแจมือไพล่หลัง] แถมมีลูกกรงกั้นอยู่ข้างหน้ายันอยู่ที่เข่าพอดีอีก ที่เค้าทำแบบนั้นเพราะเค้าไม่ต้องการให้ผู้ต้องหากระดิกกระเดี้ยดิ้นรนต่อสู้ได้น่ะครับ ที่พูดมานี่ไม่ใช่ว่าผมเคยมีวีรกรรมอะไรที่จะต้องไปนั่งหน้าแห้งอยู่ในนั้นนะครับ พอดีมีพี่คนไทยคนนึงเค้าเป็นตำรวจอยู่ที่นั่น ผมเลยลองขอเค้าเข้าไปนั่งดู

จริงๆแล้วก็มีประสพการณ์ขออาศัยรถตำรวจกลับบ้านก็เคย มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงเทศกาล เค้ารณรงค์เรื่องเมาไม่ขับกัน หากใครเมา [จริงๆแล้วควรจะพูดว่าเกือบเมา เพราะถ้าเมาแล้วคงจะพูดกับใครไม่รู้เรื่อง แต่ปากยังคงพล่ามว่า โผม…ม่ายยย…..มาวววๆๆๆๆ] ก็สามารถโบกรถตำรวจให้เค้าพาไปส่งบ้านได้ เป็นบริการพิเศษช่วงเทศกาลนี้ คืนหนึ่งผมไปเที่ยวกินเหล้ากับเพื่อแถว Georgetown ใน D.C [แถวนี้เหมือนสีลมหรือซอยคาวบอยบ้านเรานั่นแหละครับ มีบาร์ ร้านเหล้าเต็มไปหมดตลอดสองฟากถนน] พอร้านปิดเดินออกมา เห็นรถตำรวจจอดเรียงกันเป็นตับจ้องคนที่กำลังเดินไปขึ้นรถตาเป็นมัน ผมยังไม่เมาหรอก อย่างน้อยพอจะเดินกลับไปที่รถถูก แต่ถ้าโดนเรียกให้ลงไปเป่าเครื่องตรวจแอลกอฮอล์ตอนนี้ก็ถ้าจะรอดยาก เพื่อนอีกสองสามคนก็อาการไม่หนีกัน เลยบอกพวกมันว่าไอจะโบกรถตำรวจกลับบ้านนะโว้ย แล้วเจอกัน ผมเดินไปที่กลุ่มรถตำรวจ เลือกเอาคันที่เค้ามาคนเดียว [เพราะผมไม่อยากนั่งเบาะหลัง] โชว์ใบขับขี่ [ใบขับขี่ที่โน่นเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้แทนบัตรประชาชน] ให้เค้าดูแล้วบอกว่าไอเป็นพลเมืองดีอยากจะช่วยสนองนโยบายเมาไม่ขับของรัฐสักหน่อย เค้ารับใบขับขี่ไปแล้วกดเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ในรถสักพักแล้วบอกว่า
“โอเค มิสเตอร์ ที.เค คัมมอนอิน”
ผมรีบเดินไปเปิดประตูหน้าอีกฝั่งหนึ่ง รีบเข้าไปนั่ง กลัวว่าเค้าจะให้ผมไปนั่งที่เบาะหลัง
“โอเค ยูต้องการให้ไปส่งที่ Arlington, Virginia ตามที่อยู่บนใบขับขี่นี้นี้??”
“โนๆๆๆ ไอจะไป Cherry Hill Road ที่ College Park ใน Maryland นัดเพื่อนเอาไว้ว่าจะไปติวหนังสือกันสักหน่อย” จริงๆแล้วผมก็อยู่ที่ College Park, Maryland นั่นแหละ แต่ผมถือใบขับขี่ของ Virginia เพราะเหตุผลทางเรื่องภาษีรถยนต์และประกันภัยรถยนต์ แต่ขี้เกียจไปอธิบายเหตุผลจริงๆให้จ่าแกฟัง อัตราภาษี/ประกันภัยรถยนต์ของรัฐ Maryland แพงกว่ามากๆเป็นเท่าตัวทั้งๆที่เป็นรัฐที่อยู่ติดกัน แล้วผมดันมีรถหลายคัน จริงๆแล้วในกรณีนี้ไม่ได้นะครับ อยู่รัฐไหนต้องถือใบขับขี่รัฐนั้น [และจดทะเบียนรถที่รัฐนั้น] ถ้าตำรวจเค้าเห็นรถคันนี้ทะเบียนรัฐอื่นมาป้วนเปี้ยนอยู่นานๆเค้าอาจเรียกตรวจและถามว่าทำไมยังไม่ไปเปลี่ยนเป็นทะเบียนของรัฐนี้เสียที คราวนี้ก็จะซวยไป [ตำรวจที่นี่ขยันขันแข็งครับ] หรือบางทีไอ้เพื่อนบ้านที่อพาร์ทเมนท์เดียวกันนั่นแหละ มันโทรไปบอก มันคงกลัวว่าเราจะเอาเปรียบมันที่มาอยู่รัฐเดียวกับมันแล้วไม่จ่ายภาษี แต่ Maryland-D.C-Virginia มันเหมือน กรุงเทพ-เมืองนนท์-ปากน้ำอะไรทำนองนั้น รถมันก็วิ่งปนๆกันไปหมด มันตรวจสอบยากว่าใครย้ายเข้ามาเมื่อไหร่แล้ว

จ่าแกพาผมวิ่งตัด D.C เข้าไป ผมก็บอกว่าไม่วิ่ง I-295 ไฮเวย์แล้วเดี๋ยวไปตัดเข้า College Park ตรง EXIT 25 เหรอ อ้อมหน่อย แต่น่าจะเร็วกว่าไม่ต้องผ่านเมือง ผมบอกจ่าแกไปแบบนั้นเพราะรู้ว่าถ้าวิ่งมาทางนี้มันต้องผ่าน Hyattsville ซึ่งมันเป็นรอยต่อของ Maryland กับ D.C และมีอาชญากรรมแยะมาก ขนาดตำรวจยังโดนยิงกันบ่อยๆ

“ไม่เป็นไร ดึกป่านนี้แล้ว รถไม่ติดหรอก” จ่าแกว่าอย่างงั้น
“ปล่าว ไอหมายถึงว่ามันต้องวิ่งผ่าน Hyattsville”
“ยูกลัวอะไร? มากับตำรวจ”
อยากจะตอบกลับไปว่า ก็เพราะมากับตำรวจนะสิถึงกลัว!! รถตำรวจมันล่อเป้าดีเหลือเกิน –F/D)



เราขับไปจนถึงบ้าน Francisco พลางว่าเอาล่ะ มาคุยกันต่อหน้านายอำเภอแบบนี้แล้วเรื่องราวร้ายๆคงจะจบลงซักที ผมจะได้กลับบ้านเสียที ในขณะที่จอดรถหน้าบ้าน ผมเห็นม่านที่หน้าต่างบ้านขยับ นายอำเภอลงจากรถเดินไปที่ประตูบ้านและเคาะเรียก Francisco เงียบ….ไม่มีใครมาเปิดประตู นายอำเภอเคาะเรียกอยู่อีกราวยี่สิบนาที จนเพื่อนบ้านข้างๆออกมาดูเต็มไปหมด ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู นายอำเภอเลยเดินกลับออกมาแล้วบอกผมว่า

“ไอไม่สามารถบังคับให้ Francisco ออกมาเปิดประตูโดยไม่มีหมายศาลได้ เอางี้ จดหมายเลขคดีนี้ไว้ แล้วกลับไปนอนพักผ่อนเสีย พรุ่งนี้ไอจะติดต่อไป”

วันรุ่งขึ้น Francisco โทรผมแต่เช้า บอกว่าเค้ารู้สึกเสียใจต่อการกระทำที่ผมทำไปกับครอบครัวเค้าเมื่อคืนนี้มาก เสียใจ???....เสียใจทำมะเหงกอะไร….ไอน่าจะเป็นคนพูดมากกว่า เค้าบอกให้ผมเตรียมหาทนายได้แล้ว


ผมพยายามนั่งปะติดปะต่อเรื่องราวว่ามันเกิดมาจากไหนและได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมที่ Francisco มันบริสุทธิ์ใสซื่อ โดนเค้าแหกตาให้ซื้อรถคันนี้มาอีกที ขับอยู่สี่เดือนแล้วจึงมารู้ภายหลังว่ารถคันนี้เป็นรถย้อมแมวที่มีปัญหาเพียบและมียังมีปัญหาเกี่ยวกับทะเบียนอีก เลยเอามาขายทิ้งเสีย แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้อีตา Francisco ดูท่าทางมันมีความรู้ทางรถยนต์พอตัวมองแวบเดียวก็น่าจะรู้แล้วไม่ต้องรอถึงสี่เดือนหรอก ขนาดผมสองวันแค่นั้นเองยังเห็นปัญหาของรถคันนี้บานตะไท แต่ยังไงก็ตามผมคิดว่าไอ้เจ้า Francisco นี่แหละเป็นต้นเรื่องทั้งหมด มันซื้อซากรถมาทำขาย

ตอนบ่ายวันนั้น ผมได้รับแจ้งจากนักสืบ Mauro ว่า หมายอายัดรถถูกมาเรียบร้อยแล้ว รถคันนี้ไม่สามารถวิ่งออกนอกเขตเมือง Wellington ได้ และบอกให้ผมเอารถไปให้แกตรวจสอบวันรุ่งขึ้น

ผมโทรไปที่ Division of the United Technical Institutes Corporation ที่ที่ Francisco งานอยู่พยายามสอบถามคนที่โน่นว่าเจ้านายของ Francisco คือใคร ผมอยากจะแฉเรื่องราวบ้าๆนี้ให้เค้าฟังว่า Francisco เอาชื่อองค์กรนี้ไปแอบอ้างทำเรื่องเสื่อมเสียให้กับองค์กรนี้อย่างไร ผมได้ชื่อมาว่า Jerry Ellner คือเจ้านายของ Francisco ผมโทรหาเขา ฝากข้อความเอาไว้ว่าให้โทรกลับผมโดยเร็วที่สุด

ระหว่างที่ขับรถไปรอบๆเมือง ผมนั่งคิดเล่นๆว่าที่จริงผมว่าช่างหัวไอ้รถเส็งเครงคันนี้ดีกว่า ปล่อยให้มันเลยตามเลยถือว่าฟาดเคราะห์ไป แค่ไปที่บ้าน Francisco แล้วขับมันวิ่งทะลวงเข้าไปเกยในโรงรถมัน ชนให้พังไม่ให้เหลือซาก โบกรถแท๊กซี่ไปสนามบินแล้วกลับบ้าน ง่ายๆแค่นี้ ไม่ได้ๆๆๆ ทำแบบนี้ผมอาจจะเจ็บตัวฟรีเปล่าๆ……. หรือเอาแบบนี้ เอารถไปทำประกันเอาไว้ แล้วแกล้งปล่อยให้รถมันหายระหว่างทางขับกลับบ้าน หรือไม่ก็เข็นมันทิ้งลงหน้าผาที่ไหนสักแห่งไปเลย แล้วไปเอาเงินคืนจากประกันทีหลัง ไม่ได้ๆๆๆ ทำไมผมต้องมาเสี่ยงทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ให้เสียประวัติการประกันภัยของผม เพียงเพราะไอ้ขี้วัวคนนี้คนเดียว…..หรือเอารถขับกลับบ้านแล้วไปถอดเครื่องยนต์ ตัวถัง ฯลฯ เป็นชิ้นๆขายเป็นอะไหล่ไป แบบนี้ก็น่าจะได้เงินคืนมาใกล้เคียงกับที่ซื้อมา หรือ….หรือ……หรือ………ผมคิดไปขับไปบนไฮเวย์ มองที่เข็มวัดความเร็วบอก 80 mph นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขับมันเร็วขนาดนี้ สักพักผมรู้สึกว่ารถทั้งคันสั่นเป็นเจ้าเข้า เลยเลี้ยวไปจอดพักในสวนสาธารณะที่ติดกับทะเล ผมลงจากรถเดินไปที่ชายหาด เดินเล่นเก็บเปลือกหอยอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง และเจอขวดกาแฟสตาร์บัคอันนึง ผมล้างจนสะอาด แล้วตักเอาน้ำทะเลจากมหาสมุทรแอตแลนติกกรอกใส่ลงไป ผมจะเอาไปฝาก Andrea ที่กำลังนั่งรอผมอยู่ที่อีกฝั่งมหาสมุทรนึง



จบภาค 6

                                                                               .....................................................................................

  ต่อภาค 7

 

ผมเดินกลับไปที่รถ เอาเปลือกหอยและขวดใส่น้ำทะเลเก็บไว้ที่ท้ายรถ และสตาร์ทรถเพื่อจะขับกลับโรงแรม ไอ้รถเส็งเครงเงียบสนิทอีกแล้ว คิดถูกที่เอาชุดเครื่องมือต่างๆมาจากบ้านด้วย ผมหยิบเอา Amp มิเตอร์ของ Fluke ออกมาจากท้ายรถ ตั้งแต่ซื้อมาก็เพิ่งจะได้ใช้นี่แหละ เอามาลองวัดไฟที่แบตเตอรี่ดู ปรากฏว่าแบตเตอรี่ไม่มีปัญหาอะไร มีไฟเต็มปกติ ผมลองไล่สายไฟต่างๆและรีเลย์ของมันดู ดึงโน่น เสียบนี่ เคาะนั่น ไปเรื่อยๆ แต่มันก็ยังจอดเงียบสนิทเป็นดุ้นเหล็กอยู่อย่างนั้น ผมกะว่าจะเดินไปที่ทำการเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อขอยืมโทรศัพท์โทรไป AAA เพื่อเรียกรถมาลากกลับไปที่ West Palm Beach (AAA = American Automobile Association คล้ายๆกับ รยสท. ของบ้านเรา-F/D) แต่ผมอยากจะเอาชนะไอ้รถเส็งเครงคันนี้ให้ได้ เลยเดินไปหยิบเอา Service Manual ที่ผมหยิบติดมือมาด้วยจากบ้านออกมาจากท้ายรถ เอามาจาก 325i ของผม ลองไล่สายไฟต่างๆอยู่อีกพักนึง จนกระทั่งมันสตาร์ทติดได้ ผมขับรถกลับไปที่ West Palm Beach ขับหลงทางอยู่พักหนึ่งจนมาถึงย่าน Palm Beach ที่คนรวยๆระดับอภิมหาเศรษฐีเค้าอยู่กัน มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่แบบไม่น่าเชื่อเต็มไปหมด น้ำมันที่ผมเติมไว้เต็มถังเมื่อวันก่อนหมดที่นี่พอดี ผมแวะเข้าปั๊มน้ำมันแล้วเต็มแค่ $5 เพราะผมยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ตอนที่ต้องเอารถไปให้นักสืบเค้าดู หลังจากนั้นผมแวะไปนั่งเต๊ะจุ๊ยกินอาหารค่ำที่ Tree’s Wing ที่ Royal Palm Beach เป็น (Buffalo) Wing ที่อร่อยมาก ผมสั่งใส่กล่องกลับบ้านว่าจะเอาไปฝาก Andrea ด้วย

(หมายเหตุ: ดีเหมือนกันที่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Buffalo’s Wing ที่ร้านนี้มันอร่อย ถ้ามีโอกาศวันหลังจะได้แวะไป แต่ร้าน Buffalo Wing ที่ดั้งเดิมและอร่อยสุดยอดอยู่ที่รัฐ New York นะครับ อยู่ที่เมือง Buffalo [นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมเค้าเรียกว่า Buffalo’s Wing นะครับ] ตอนนั้นขับรถไปเที่ยวน้ำตก Niagara และจะขับเข้าไปเที่ยวใน Canada ด้วย เลยขับขึ้นเหนือตัดขึ้นไปทาง Syracuse และจะผ่านเมือง Buffalo เพราะกะว่าจะไปแวะหาเพื่อนคนไทยที่อยู่ที่โน่นด้วย แถวๆนั้นมีร้านขาย Buffalo’s Wing เต็มไปหมดทุกซอกซอย [คงเหมือนข้าวหลามหนองมนของเราที่มีร้าน แม่โน่น เจ๊นี่ เฮียนู่น เต็มไปหมด วันหลังต้องลองถามพี่ปัดฝุ่นหลังไมค์ดูว่าร้านไหนมัน original กันแน่] เค้าพาผมไปที่ร้านหนึ่งแล้วบอกว่านี่คือร้านแรกและดั้งเดิมที่ขาย Buffalo’s Wing เท็จจริงประการใดขึ้นอยู่กับผู้เล่านะครับ แต่ก็น่าจะจริงเพราะเพื่อนผมคนนี้อยู่มาหลายปีแล้ว และอีกอย่างร้านดูเก่าแก่มากหลังคาเป็นไม้และผนังยังเป็นหินอยู่เลย คนรอโต๊ะอยู่เต็มไปหมดจนทะลักออกมานอกร้าน ผมยืนรออยู่ท่ามกลางอากาศต่ำกว่าศูนย์อยู่ราวชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้มั้ง สุดท้ายก็ได้กิน คุ้มค่าที่รอ อร่อยมากและไม่เหมือนกับที่เคยกินที่ไหนมาก่อน มันเป็นแห้งๆ ถึงแห้งสนิท [ที่เคยกินเป็นซ๊อสอะไรก็ไม่รู้เปียกชุ่ม เฉอะแฉะ] แต่พอกัดเข้าไปแล้วรู้สึกได้ว่าเครื่องปรุงทุกอย่างมันซึมซาบอยู่ในเนื่อทั้งหมด วันนั้นล่อกันเสียพุงกาง ไก่แขนด้วนกันไปหลายเล้า –F/D)


เช้าวันรุ่งขึ้นผมแวะไปที่ DMV อีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะไปให้เค้าออกใบ Release of Interest ให้ (ไอ้ใบนี้คืออะไรผมก็ไม่รู้จักเหมือนกันนะครับ แต่เค้าพูดเหมือนกับว่าเป็นใบที่ออกมาว่าเราไม่มีเจตนาที่จะใช้รถแล้ว ในกรณีที่เราจะเอารถไปทิ้ง- F/D) เจ้าหน้าที่ที่นั่นช่วยเหลือผมเป็นอย่างดีเหมือนเคย หลังจากนั้นตอนเก้าโมงเช้าผมโทรไปที่แผนกป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ เค้าถามผมว่ารถอยู่ที่ไหนและบอกผมว่าให้นำรถเข้ามาตรวจตอนนี้เลย เอาไปจอดรอที่ลานจอดรถ เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีจะให้นักสืบ Hagan ลงไปดู

นี่คือวันที่ความจริงทุกอย่างมันออกมาปรากฏอยู่ตรงหน้าผม

นักสืบ Hagan ลงมาพบผมตามนัด แกเดินไปรอบๆรถและชี้ให้ผมดูว่ากระจกรถมันผลิตกันคนละปีทั้งหมด ไม่มีบานไหนซ้ำปีกันเลย ผมคิดไปว่าน่าจะเป็นไปได้ไหมที่กระจกมันแตกและเค้าซื้อมาเปลี่ยน แต่มันก็ไม่น่าจะทุกบาน แต่ถ้ามันแตกพร้อมกันทุกบาน ก็คงไม่น่าจะเป็นเรื่องดีแน่

“ไหนลองเล่าเรื่อง ‘ทั้งหมด’ ให้ไอฟังซิ” นักสืบ Hagan หันมาพูดกับผม
“ยูหมายความว่า ‘ทั้งหมด’ ตั้งแต่แรกเลยเหรอ”
“ใช่ เอาทุกเม็ดตั้งแต่แรกเลย”

ผมเลยเล่าท้าวความไปตั้งแต่เรื่องประกาศโฆษณาขาย มาเจอนาย Francisco ได้อย่างไร เค้าคือใคร ทำงานที่ไหน เรื่องของ The Collection และรายละเอียดที่นาย Francisco บอกและอธิบายสรรพคุณประกอบการขาย Francisco บอกว่าโน่น บอกว่านี่ บอกว่า…..และ….และ…..และ….

“ไอบอกอะไรให้อย่างหนึ่งเอาไหม” นักสืบ Hagan พูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“หือ…….”
“ยูจำเอาไว้ว่า ไม่ว่าคนขายจะพูดอะไร อย่าไปสนใจฟังมัน มันเชื่อไม่ได้แม้แต่คำเดียว”

เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา แต่….มันช้าไปหน่อย

นักสืบ Hagan บอกให้ผมเปิดฝากระโปรงรถขึ้น แกมองเข้าไปรอบๆห้องเครื่องอยู่พักนึง ทำหน้างงๆแล้วถามผมว่า

“รถคันนี้ปีอะไร?”
“ในทะเบียนบอกว่าเป็นปี 1989”
“แล้วนี่เขียนว่าปีอะไร” นักสืบ Hagan ชี้ไปที่สติ๊กเกอร์รับรองการผ่าน Emission Test ที่อยู่ที่อยู่ในห้องเครื่อง

ผมมองตามลงไป “ฟั……กกก...กก..ทอง “ ผมรู้สึกเหมือนโดนท่อนเหล็กฟาดที่แสกหน้าเต็มเปา ผมว่าผมเห็นดาวระยิบระยับกลางแดดเปรี้ยงๆตอนสายของ Florida เสียด้วยซ้ำไป ไอ้ Emission Test สติกเกอร์แผ่นนั้นมันเขียนว่าปี 1991

“ยูรู้ใช่ไหมว่าสติ๊กเกอร์แผ่นนี้มันลอกออกมาใช้อีกไม่ได้ เพราะถ้าลอกออกมามันจะขาดเป็นชิ้นเล็กๆ แสดงว่าอันนี้เป็นของเดิมที่ติดมากับตัวถังของมันแน่นอน”

ผมพยักหน้าหงึกๆ รู้ถึงข้อนี้ดี เพราะผมเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบมลภาวะรถยนต์มาก่อน

“และอีกข้อหนึ่งสติ๊กเกอร์ NHTSA ด้วย” นักสืบ Hagan พูดต่อ
“NH…..S อะไรนะ?”
“NHTSA สติกเกอร์ ที่บอกปีที่ผลิตพร้อมทั้ง VIN ของมัน ซึ่งมันควรจะอยู่ตรงนี้” แกเดินไปด้านคนขับ แล้วเปิดประตูรถออกมาแล้วชี้ไปที่เสากลางบริเวณที่มีสติกเกอร์แนะนำการเติมลมยางติดอยู่
“เอ่อ…..” ผมพูดไม่ออกเมื่อมองตามลงไป มันไม่มี มีแต่สติกเกอร์แนะนำการเติมลมยางติดอยู่อันเดียว
 

(หมายเหตุ: NHTSA = National Highway Traffic Safety Administration เป็นองค์กรของรัฐบาลกลางที่ควบคุมเกี่ยวกับความปลอดภัยของรถยนต์ ทำหน้าที่กำหนดว่ารถยี่ห้อไหน รุ่นไหน สามารถนำมาขายและวิ่งบนถนนหลวงได้ และ/หรือต้องมีสเปกแบบไหนจึงจะสามารถเอามาขายได้ รถรุ่นไหนจะเอาเข้ามาขายต้องทำการดัดแปลง/เปลี่ยนให้เรียบร้อยตามข้อกำหนดของ NHTSA ก่อน ยกตัวอย่างในสมัยก่อน เรื่องไฟหน้าแบบ seal beam ทาง NHTSA กำหนดไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นรถ spec ที่จะนำเข้ามาขายในอเมริกาจะต้องเปลี่ยนมาใช้ไฟหน้า seal beam ด้วยเป็นต้น นี่คือเหตุผลที่ว่า BMW ทำไมจึงต้องมีเป็น Euro Spec และ U.S Spec อันนี้คนละเรื่องกับการตรวจประจำปี Safety Inspection นะครับ อันนี้เป็นเรื่องระดับ on top ทั้งหมด รถจะเอาเข้ามาขายได้หรือไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ตัวอย่างเช่น Nissan Skyline ไม่ผ่านการอนุมัติจาก NHTSA จึงไม่สามารถนำขายได้แม้แต่คันเดียว อีกตัวอย่างเช่น M3 E36 เครื่องยนต์ S50 แบบยุโรปไม่ผ่านการอนุมัติจาก NHTSA เช่นกัน [และทางเยอรมันก็ไม่ได้สนใจที่จะไปตอนแรงม้าออกจากเครื่องตัวนี้ เพื่อจะเอาไปขายในอเมริกา] จึงต้องเอาเครื่อง M52 มาโมดิฟายใส่แทน เป็นต้น แต่ตอนผมอยู่ก็เห็น M3 ที่เป็นเครื่อง S50 แบบยุโรปวิ่งกันเต็มไปหมด เจ้าของรถคงสั่งเฉพาะเครื่องเอามาเปลี่ยนเอง

รถยี่ห้อ/รุ่นที่ผ่านการอนุมัติจาก NHTSA จะมีสติกเกอร์อีกอันหนึ่งแปะเอาไว้ข้างๆ สติกเกอร์แนะนำการเติมลมยางที่เสากลาง จะระบุรุ่น/ปี/วันที่ผลิต และ VIN เอาไว้เสร็จสรรพ นี่แหละที่ผมบอกว่ารถ U.S Spec น่ะมันมีเลข VIN หลายที่ [และเลข VIN ทั้งหมดจะต้องตรงกัน] เดินวนรอบเดียวก็รู้แล้วว่ารถหรือแมว –F/D)

ผมเห็นนักสืบ Hagan แกควักเอามีดพับ Swiss Army ออกมาจากกระเป๋า และทำท่ากำลังก้มลงไปขูดรถผมตรงแถวๆ VIN ที่รางน้ำใต้กระจกตรงที่ปัดน้ำฝน

“เฮ้ยๆๆๆๆ ยูกำลังจะทำอะไรน่ะ” ผมร้องทักท้วงขึ้นมา
“ยูเห็นสีตรงนี้ไหม มันหนาผิดปกติ เป็นไปได้ว่าแผ่นเหล็กตรงนี้ถูกตัดต่อมา ถ้ารถถูกสวม VIN มา เหล็กเดิมมันจะถูกตัดออกและเชื่อมใส่เข้าไปใหม่แถวๆบริเวณนี้”

ผมไม่ได้สังเกตุมาก่อนเลย แต่มองลงไปก็น่าจะจริงเพราะสีมันเข้าไปอุดที่เลข VIN หนาจนแทบอ่านไม่ชัด แต่เอาเถอะรถคันนี้มันปีปัญหามามากพอแล้ว อย่าไปขูดมันอีกเลย ผมจึงบอกเลข VIN อีกเลขนึงที่ผมเจอที่ตัวถังให้นักสืบ Hagan แกไป แกยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาและแจ้งหมายเลข VIN นั้นไป สักพักมีเจ้าหน้าที่วิทยุติดต่อกลับมา

“โอเค…..BMW M3 ปี 1991 ถูกแจ้งอายัดว่าถูกขโมยเอาไว้ที่ Worcestor, Rhode Island…..โอเค…อะไรนะ……’เคย’ ถูกแจ้งอายัดว่าถูกขโมยเอาไว้ แต่หลังจากนั้นตำรวจติดตามเอามาคืนได้แล้ว….โอเค แทงกิ้ว”

นักสืบ Hagan หันกลับมาที่รถ ล้วงเอาเครื่องมือออกมาอีกอันหนึ่ง แล้วเอาไปทาบตามเสาที่กระจกหน้า

“นี่เครื่องมืออะไรเนี่ย” ผมสงสัย
“ปกติถ้ารถถูกตัดครึ่งด้านหน้ามา มันจะถูกตัดและเชื่อมกลับเข้าไปบริเวณนี้ อันนี้เป็นเครื่องมือแม่เหล็กพิเศษ หากมีการตัดต่ออยู่ข้างใต้นั่น เข็มของมิเตอร์มันจะกระดิกขึ้นมา โอเค…รถคันนี้ไม่ได้ถูกตัดมา”

ผมเข้าไปในรถ ดึงเอาแผงหุ้มเสาหน้าออกมา ไม่มีรอยเชื่อมอยู่ข้างในนั้นจริงๆด้วย

“เอาล่ะ….ตอนนี้คงพอพูดได้แล้วว่า รถคันนี้เคยถูกขโมยมา และหลังจากนั้นมันพังเป็นซากรถ หรือมันอาจจะพังเป็นซากตั้งแต่ตอนที่ตำรวจเค้าไปตามเจอแล้วก็ได้ คำถามต่อไปก็คือ รถคันนี้เป็น BMW M3 ปี 1989 จริงๆตามที่ระบุไว้ในทะเบียน แล้วเอามาตัดต่อเข้ากับ BMW M3 ปี 1991 หรือมันเป็น BMW M3 ปี 1991 ที่เอาชิ้นส่วนและทะเบียนของ BMW M3 ปี 1989 มาตัดต่อสวมลงไป”

ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นประเด็นที่สองมากกว่า เพราะจากประสพการณ์แล้วเมื่อดูจากในห้องเครื่อง ผมมั่นใจว่ารถคันนี้ไม่เคยชนหน้ามาแน่นอน นึกถึงวันที่ผมกำลังก้มลงดูในห้องเครื่องแล้ว Francisco บอกว่า ยูไม่ต้องพยายามดูหรอก รถคันนี้ไม่เคยชนมา ที่จริงมันควรจะพูดว่า รถคันนี้ไม่เคยชน “หน้า” มาน่าจะถูก แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลออกมาจะเป็นประเด็นแรก หรือประเด็นที่สอง ก็ไม่ได้เป็นผลดีกับผมเลยแม้แต่น้อย

นักสืบ Hagan ก็ค่อนข้างเชื่อว่ามันน่าจะเป็นประเด็นที่สองเหมือนกันกับที่ผมคิด แกชี้ให้ผมดู Emission Test สติกเกอร์ในห้องเครื่องอีกทีแล้วบอกว่ามันเป็นของดั้งเดิม ติดอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ Day 1 (หรือจะลอกเอามาจากคันอื่นมาแปะก็ไม่ได้ตามเหตุผลข้างต้น –F/D) ประกอบกับสภาพสีในห้องเครื่องเป็นสีเดิมและเก่าตามอายุการใช้งานปกติ เพราะฉะนั้น ไอค่อนข้างมั่นใจว่าหัวรถคันนี้ทั้งคันเป็น BMW M3 ปี 1991 แน่นอน เสร็จแล้วแกชี้ให้ผมดูที่เรือนไฟหน้าในห้องเครื่อง

“แล้วไฟหน้าเนี่ย ถูกเปลี่ยนเอาของปี 1989 ใส่เข้าไปทั้งยวง เห็นรอยเดินสายไฟนี่ไหม มันไม่ใช่ของเดิมจากโรงงาน แล้วฝาปิดพลาสติกสีดำด้านหลังก็หายไปด้วย”

ผมมองตามลงไป จริง ดูเหมือนกับว่าสายไฟถูกยกเอามาจากชุดไฟหน้าของปี 1989 เอามาใส่ทั้งยวง แต่ดูเหมือนว่าสายไฟไม่ได้ใส่กลับเข้าไปอยู่ที่เดิมของมัน ผมบอกนักสืบ Hagan ไปว่าตอนที่ไปดูรถ ผมถามถึงเรื่องไอ้ฝาปิดนี้กับไอ้ Francisco มันเหมือนกัน แต่มันบอกว่ารุ่นนี้ไม่มีฝาปิดมาจากโรงงานอยู่แล้ว ผมยังพาซื่อเชื่อไปว่ามันก็ไม่น่าจะมีเพราะ M3 นี่เป็นรุ่นพิเศษ เค้าอาจจะไม่ได้ใส่ไว้เพื่อเหตุผลให้ลดน้ำหนัก หรือเพื่อเหตุผลให้อากาศเข้ามาไหลเวียนในห้องเครื่องได้ดีขึ้น นักสืบ Hagan บอกว่าชุดไฟหน้าของรุ่นปี 1989 จะเป็นแบบ seal beam และชุดไฟหน้าของปี 1991 จะเป็นแบบเลนส์ (Ellipsoid) ซึ่งฝาปิดด้านหลังมันจะไม่เหมือนกันด้วยและจะใส่แทนกันไม่ได้ Francisco คงจะหาของตรงรุ่นมาใส่ไม่ได้ เลยปล่อยโบ๋เอาไว้อย่างนั้น

“กระจกข้างด้านหลังนี่ก็ถูกเปลี่ยนมาด้วย รถตั้งแต่ปี 1990 ขึ้นไป มันจะเป็นแบบติดตาย เปิดแง้มออกไม่ได้ อันนี้เป็นของรุ่นเก่าที่เปิดแง้มออกมาได้ แล้วคอนโซลทั้งชุดนี่มันเอามาจาก BMW M3 ปี 1989 ที่พังเป็นซากมาสองครั้ง มันถึงดูยับเยินขนาดนี้ เห็นรอยที่เก๊ะเก็บของนี้ไหม ดูเหมือนกับว่าเคยมีใครโดนอัดกระแทกอยู่ตรงนั้นด้วย”

(หมายเหตุ: รถใครเป็นปีใหม่ๆ แล้วอุตสาห์ไปถอดเอากระจก original จากโรงงานมันออก แล้วไปเอากระจกแบบแง้มได้ [แต่เก่ากว่า] เอามาใส่ น่าจะรับเอาไว้พิจารณานะครับ

ตอนนี้สรุปคร่าวๆไว้ก่อนเผื่อใครตามไม่ทัน รถคันนี้มี VIN สองอัน;
อันแรกที่เป็น VIN เพลทที่คอนโซล [ที่โดยปกติในอเมริกาจะดูที่ตัวนี้เป็นหลัก] ที่อีตา Keith แกส่งไปเช็คที่ CARFAX เป็นของรถ BMW M3 ปี 1989 ที่เป็นซากมาสองครั้ง ที่ Pennsylvania หนหนึ่งและที่ New York อีกหนหนึ่ง
อันที่สองเป็นเลข VIN ที่อยู่บนตัวถังในห้องเครื่อง ที่นักสืบ Hagan แกวิทยุไปเช็ค เป็นของรถ BMW M3 ปี 1991 ที่โดนขโมยและเป็นซากที่ Rhode Island
รถคันนี้ประกอบขึ้นด้วยขยะล้วนๆ –F/D)



จบภาค 7

                                                            ........................................................................

 

ในขณะที่นักสืบ Hagan กำลังอธิบายและชี้จุดต่างๆให้ผมฟังอยู่นั้น มีวิทยุเรียกเข้ามาอีกที ยืนยันว่ารถ BMW M3 ปี 1991 คันนี้ยังคงเป็นรถที่ถูกอายัดการขโมยมาอยู่ และตำรวจยังไม่สามารถติดตามคืนมาได้ นักสืบ Hagan บอกผมว่าถ้างั้นรถคันนี้คงจะต้องถูกยึดเอาไว้เสียแล้ว เค้าบอกว่าเค้าเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้ และโทรไปเรียกรถยกเพื่อมาเอารถคันนี้ไป พร้อมกับวิทยุติดต่อกับตำรวจ สักพักมีตำรวจหลายคนขับรถเข้ามา แต่ละคนดูโหดๆทั้งนั้น หลังจากนักสืบ Hagan เล่าเรื่องราวให้ตำรวจฟังคร่าวๆ ตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “บอกไอมาว่าบ้านไอ้ Francisco มันอยู่ไหน ยูอยากให้ไอไปลากคอมันมาตอนนี้เลยไหม” จริงๆแล้วผมก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะคราวนี้มันคงเถียงไม่ออก ผมคงได้เงินคืนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามขั้นตอนของกฏหมายดีกว่า ให้กฏหมายจัดการมัน

นักสืบ Hagan ขับรถไปส่งผมที่โรงแรม พลางพูดเกี่ยวกับเรื่องรถปลอบใจผมไปตลอดทาง แกเป็นคนที่น่ารักมาก ก่อนผมลงจากรถ แกยื่นเอกสารหลักฐานการยึดรถให้ผมเก็บเอาไว้ และบอกว่าทุกอย่างน่าจะรู้ดำรู้แดงภายในไม่เกินวันนี้ และบอกผมว่าจะติดต่อกลับมาแจ้งผลโดยเร็ว

บ่ายวันนั้นนักสืบ Hagan โทรมาหาผมตามสัญญา

“โอเค, Keith หลังจากรถถูกรื้อออกมาพิสูจน์เป็นชิ้นๆแล้ว ดูจาก NHTSA สติกเกอร์ทั้งคันแล้วไอพบว่า”ตัวถัง” รถคันนี้เป็น BMW M3 ปี 1991 สีแดง ที่ถูกขโมยมาจาก Rhode Island จริงๆและตำรวจยังไม่สามารถติดตามคืนมาได้ ในส่วนปริศนาที่ว่าเลข VIN ที่ตัวถังตรงรางน้ำใต้กระจกที่มี VIN สลักเอาไว้ ทำไมมันถึงกลายเป็นเลขของ BMW M3 ปี 1989 ได้ทั้งๆที่ไม่มีรอยตัดต่อ ไอ้รื้อชิ้นส่วนรางน้ำใต้กระจกออกมาแล้วพบว่ามันถูกเลาะเอาออกมาทิ้งทั้งชิ้น และเอาชิ้นเดียวกันนี้ของ BMW M3 ปี 1989 ที่เป็นซากรถใส่ลงไปแทนทั้งชิ้นโดยไม่ได้ตัดต่อตรงกลางและไม่ได้เชื่อมต่อเอาไว้เสียด้วยซ้ำไป ไอหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ มันเอาทั้งชิ้นมาทากาวที่หัวท้ายแปะเอาไว้เฉยๆ ส่วนคอนโซลเอามาจากซากรถ BMW M3 ปี 1989 เช่นกัน ถูกเอามาสวมหลอกเอาไว้เพื่อต้องการให้ VIN ที่คอนโซลมันตรงกับในทะเบียนจริงของมัน และในส่วนของเครื่องยนต์ ไอเอาเลข VIN ที่ติดอยู่บนนั้นไปตรวจสอบดูแล้ว ปรากฏว่ามันไม่ได้เป็นเครื่องที่ติดรถมาจาก BMW M3 ปี 1991 คันนี้ แล้วก็ไม่ได้มาจากซากรถ BMW M3 ปี 1989 คันโน้นด้วย มันถูกเอามาจากอีกคันนึง แล้วอีกอย่างหนึ่ง รถคันนี้ที่พื้นรถผุเป็นสนิมอย่างมโหฬาร มีรูทะลุหลายรูที่เค้าเอาแผ่นอะไรไม่รู้ทากาวปิดรูเอาไว้ รถคันนี้ถ้าว่ากันตามกฏหมายแล้วเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งใน Rhode Island ที่รับทำประกันภัยให้กับรถคันนี้ และบริษัทได้จ่ายค่าชดเชยให้กับเจ้าของรถไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คงจะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ยูแพ็คกระเป๋ากลับบ้านเลยดีกว่า ไอเสียใจด้วยนะที่ต้องพูดแบบนี้”

ผมนึกย้อนหลังไปตอนที่ Francisco บอกว่า ผลการตรวจสอบจาก CARFAX ไม่ถูกต้อง เชื่อถือไม่ได้ รถคันนี้ไม่เคยเป็นซาก ก็จริงของมัน “กระดอง” รถคันนี้ไม่เคยเป็นซาก เพราะมันเป็นคนละคันกับที่ผมส่ง VIN ไปตรวจสอบที่ CARFAX ผมว่ามันคงรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่มันมาเล่นลิ้นกับผม

ที่จริงผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว ผมนั่งนึกย้อนหลังกลับที่เมื่อวันก่อนผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้ามันมันเลวร้ายแบบสุดๆแล้ว ผมจะเอารถคันนี้ขับกลับบ้านแล้วถอดเป็นชิ้นๆขายเป็นอะไหล่ไป จะว่าไปผมออกจะโชคดีเสียด้วยซ้ำที่มารู้ความจริงในวันนี้ ไม่งั้นผมอาจจะโดนข้อหารับซื้อของโจร หรือขายของโจรไปแล้ว หรือไม่งั้นผมคงโดนตำรวจจับที่ไหนสักแห่งระหว่างทางและถูกแจ้งข้อหาว่าเป็นโจรขโมยรถ ผมโทรหา Francisco อีกครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปมันไม่มีทางที่จะรับโทรศัพท์ผมอีก ฝากข้อความบอกเอาไว้ว่าตอนนี้รถถูกเจ้าหน้าที่ยึดเอาไว้แล้วเพราะมันเป็นรถที่ถูกขโมยมา และจะเป็นการดีถ้าเค้าเอาเงินมาคืนผมเสียก่อนผมออกเดินทางกลับบ้าน หลังจากนั้นผมโทร Jerry Ellner เจ้านายของ Francisco ที่ Division of the United Technical Institutes Corporation ฝากข้อความเล่าเรื่องทั้งหมดให้เค้าฟัง หลังจากวางหูไม่นาน Jerry Ellner โทรกลับมาหาผมและขอเบอร์นักสืบ Hagan ไปจากผม

ผมโทรเช็คเที่ยวบินกลับ Washington สำหรับวันรุ่งขึ้น มันราคา $1200 สำหรับเที่ยวเดียว!! ทำให้นึกถึงคำเตือนของ Andrea ขึ้นมาทันทีตอนก่อนที่ผมจะเดินทางมา - “แต่ยังไงก็น่าจะจองเที่ยวบินไป-กลับไว้นะ เผื่อไปดูแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด” – จริงของเธอ มันไม่ได้เป็นแบบที่คิดแม้แต่น้อย การเดินทาง trip นี้ของผมมันช่างพิลึกกึกกือเสียเหลือเกิน ผมเลยจองเที่ยวบินถัดไปอีกวันหนึ่ง ซึ่งราคาถูกลงมานิดหน่อย

วันรุ่งขึ้นผมโทรหานักสืบและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดและขอเบอร์ติดต่อเอาไว้ เผื่อว่าผมจำเป็นต้องใช้ตอนผมกลับไปที่บ้านที่ Washington แล้ว ผมติดต่อทนายความของผมเพื่อเตรียมดำเนินดคีกับ Francisco คืนนั้นก่อนออกโรงแรมไปกินอาหารค่ำ ผมโทรศัพท์หา Francisco อีกครั้ง ฝากข้อความบอกถึงความรู้สึกของผมที่ผิดหวังในตัวเค้าอย่างไร บอกเค้าว่าเค้าไม่ได้แค่โกงเงิน $10,000 ที่ผมอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมา เค้ายังทำลายความฝันของผมที่ฝันเอาไว้มาตั้งแต่เด็กว่าจะได้ขับรถข้ามทวีปอเมริกาสักครั้ง และมันน่าจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดกาลหากผมได้ขับไปบนเจ้า M3 สีแดงคันนั้น

ผมวางหู และยอมรับความจริงของฝันที่ไม่เป็นจริงอันนี้ ตอนนี้ผมไม่มีแม้กระทั่งรถที่จะขับออกไปกินข้าวเย็น ผมต้องเดินออกจากโรงแรมไปที่ร้าน Tree’s Wing ด้วยขาของผมเอง นี่คือความจริง…..


ผมตื่นนอนตอน 3.30am ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เรียกรถรับส่งของสนามบินมารับไปส่งที่สนามบินที่ Ft. Lauderdale พร้อมอำลา Florida Andrea ขับรถมารับผมที่สนามบิน ผมรู้สึกดีใจที่เห็นเธออีกครั้งและรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียว Andrea บอกว่าชอบ Buffalo’s wing และเปลือกหอยที่ผมเก็บเอามาฝากมาก ถึงแม้ว่าราคามันจะแพงไปหน่อยเถอะ -$10,000 !! ถึงแม้ว่าอากาศที่ Washington จะแค่ 50 องศาผมรู้สึกว่ามันเย็นไปอีกสามวัน ผมรู้สึกว่าผิวหนังผมเริ่มลอกจากการถูกแดดที่ Florida เผามาเมื่อหลายวันก่อน พนักงานที่ Division of the United Technical Institutes Corporation ที่ Francisco ทำงานอยู่ติดต่อผมกลับมาบอกให้ช่วยแฟกซ์เอกสารข้อมูลเพิ่มเติมให้เค้าหน่อย บริษัทกำลังดำเนินคดีฟ้องร้อง Francisco อยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นอีกไม่นาน ผมได้รับโทรศัพท์จาก Jerry Eller เจ้านายของ Francisco โทรมาบอกผมว่าบริษัทกำลังจะพิจารณาไล่ Francisco ออกจากงาน เนื่องจากถูกดำเนินคดีอาญา และเค้าได้แนะนำแกมบังคับ Francisco ว่าให้นำเงินมาคืนผมด้วย เค้าบอกด้วยว่า Mr. Jeff Mickey รองประธานของ Division of the United Technical Institutes Corporation ได้เรียก Francisco มาคุยเป็นการส่วนตัวและแนะนำแกมบังคับให้ Francisco นำเงินมาคืนผมเช่นกัน ผมรู้สึกปลื้มใจที่รองประธานของบริษัทใหญ่โตที่มีรายได้ปีละหลายร้อยล้านเหรียญลงมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เราคุยกันถึงเรื่องรถ BMW และ รถ Porsche ของเค้าอีกนิดหน่อยก่อนวางหู Jerry Eller เป็นคนที่มีความรู้เรื่องรถยนต์ดีมาก

ผมไม่เข้าใจว่าทำไม Francisco ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของบริษัทเค้าเลย ถ้าเค้าถูกแหกตาให้ซื้อรถคันนี้มา และมารู้ภายหลังว่าเป็นรถย้อมแมวที่ถูกขโมยมา เค้าก็แค่เอาไปคืนกับที่เค้าซื้อมา แบบที่ผมกำลังทำอยู่นี่เสียก็หมดเรื่อง หรือว่า Francisco เป็นต้นเรื่องทั้งหมดนี่จริงๆ ผมได้รับแจ้งจากนักสืบอีกคนหนึ่งที่ Miami ว่ารถที่ถูกโจรกรรมจะถูกส่งมาแยกชิ้นส่วนที่นี่เสมอ และมันเป็นปัญหาเรื้อรังมานานแล้ว กวาดล้างไม่หมดไม่สิ้นเสียที

ผมเริ่มกลับไปดูโฆษณาขายรถใน Auto Trader ฉบับย้อนหลังไปอีกหนึ่งเดือน เห็น Francisco ลงประกาศขายรถเอาไว้แล้ว แถมยังลง M5 ของมันเอาไว้อีกด้วย M5 คันนี้ผมจำได้ว่าตอนที่มันติดเครื่องถอยออกมาจากโรงรถ เสียงเครื่องยนต์เดินอย่างกับเรือ แถมตัวถังก็ดูเน่าๆ เหมือนถูกย้อมมาจากอู่เดียวกันกับที่ทำ M3 คันสีแดงเลย นี่แสดงว่าที่มันบอกว่าเพิ่งลงประกาศขายน่ะ มันโกหกผม ผมเลยลงประกาศลงไปใน Website ของ Auto Trader บ้าง มีข้อความว่า

“ช่วยด้วย….ไอโดนหลอกให้ซื้อรถที่ถูกขโมยมา ผู้ใดเคยไปดูรถคันนี้ หรือเคยติดต่อกับชายคนนี้ กรุณาติดต่อกลับมาด้วย ที่ …….”

อีกสองสามวันมีคนชื่อ Cecilia โทรมา บอกผมว่าเป็นเธอผู้ดูแล Website ในส่วนโฆษณาของ Auto Trader เธอต้องการโทรมาคุยเรื่องประกาศโฆษณาอันนั้นเสียหน่อย

“นี่มันเป็นประกาศโฆษณาของไอไม่ใช่เหรอ” ผมถามเธอไป
“ใช่”
“แล้วไอจ่ายค่าลงประกาศครบถ้วนไม่ใช่เหรอ”
“ใช่”
“งั้นแสดงว่าไอมีสิทธิ์ที่จะลงประกาศอะไรลงไปก็ได้สิ”
“ก็อาจจะใช่ แต่มีคนโทรมาด่าไอเมื่อวันก่อนเกี่ยวกับประกาศโฆษณาอันนี้และบอกให้ไอลบมันออกไปจาก Web เสีย เค้าบอกว่าตอนนี้มันเป็นเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ ไออยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับไอ้ประกาศโฆษณาอันนี้”
“ใช่ ไออยากรู้”
ผมเลยเล่าเรื่องวีรกรรมของไอ้ Francisco ให้เธอฟัง พลางคิดว่าตอนนี้ไอ้ Francisco มันเปิดปากพูดได้แล้วเหรอ

“โอ…มาย นี่มันจริงเหรอเนี่ย ถ้างั้น คงเอาไว้อย่างนั้นละกันแต่เปลี่ยนคำพูดเสียหน่อย เป็นว่า …..คำเตือน ระวังชายคนนี้เอารถที่ถูกขโมยมาขาย ผู้ใดเคยไปดูรถคันนี้ หรือเคยติดต่อกับชายคนนี้ กรุณาติดต่อกลับมาด้วย ที่ …….” ผมและเธอหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน

ประกาศโฆษณาอันนี้ของผมได้ผล ในวันที่ 2 มิถุนายน ผมได้รับฝากข้อความทางโทรศัพท์จากคนชื่อ Greg บอกว่าเค้าเคยเจอประสพการณ์กับรถคันนี้และกับ Francisco เค้าบอกว่าอยากให้ผมโทรกลับ

ผมโทรกลับไปหา Greg ทันทีที่ฟังข้อความจบ Greg อยู่ที่เมือง Seattle ทำงานเป็น Manager ให้กับ Boeing เป็นเรื่องบังเอิญแบบไม่น่าเชื่อว่าเราอยู่ห่างกันแค่ 300 ไมล์ แต่ประสพชะตากรรมบนรถคันเดียวกันกันที่อีกฟากทวีปนึงโน่นเหมือนกัน Greg บอกว่าเค้าเจอโฆษณาอันนี้ใน Auto Trader เหมือนกันในเดือนเมษายน เรื่องที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ทุกอย่างทุกคำพูดที่ Francisco พูดบอกเขาแทบจะเหมือนกันเปี๊ยบกับที่ผมเจอ ตั้งแต่เรื่องที่มันจะเก็บรถรอให้บินมาดู, เรื่องตัวรถ, เรื่อง The Collection ฯลฯ เหมือนกันแม้กระทั่งโรงแรมที่ไปพัก และห้องก็เป็นห้อง #131 เดียวกันเสียด้วย!! Greg บอกว่าเค้ารู้จัก CARFAX ดีแต่เค้าดันไปหลงเชื่อลมปากของ Francisco ที่ว่าทำงานอยู่ที่บริษัทใหญ่โตมีชื่อเสียง และคิดว่ารถคนนี้ซื้อมาจากที่ที่มีชื่อเสียงเช่นกัน เค้าเลยชะล่าใจไม่ได้ส่ง VIN ไปตรวจสอบก่อน หลังจากขับลองรถวนๆอยู่ในเมืองสักพัก เค้าเห็นว่ารถมันก็สวยดี ก็เลยตกลงซื้อในราคา $10,500 โดยจ่ายเป็นเช็ค และนั่งเครื่องบินกลับบ้าน โดยกะว่าจะโทรเรียกบริษัทรับขนส่งรถยนต์มารับรถภายหลัง เมื่อกลับมาถึงที่นี่ เพื่อนของเค้าลองเอา VIN ไปเช็คกับ CARFAX ดู ความถึงแตกขึ้นมาว่ามันเป็นซากรถมาจากกองขยะสองหน (ตอนนั้น Greg คงยังไม่รู้ความจริงว่าจริงๆแล้วมันคือซากรถที่ถูกขโมยมา ที่ถูกสวมลงไปด้วยทะเบียนและอุปกรณ์ของซากรถอีกคันหนึ่งที่มาจากกองขยะสองหน คงจะเพิ่งมารู้ตอนที่มาคุยกับอีตา Keith นี่แหละ –F/D) Greg รีบโทรศัพท์ทางไกลไปหา Francisco ทันที แต่มันไม่อยู่เมียมันรับแทน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เรื่องนี้เลย Greg เลยบอกว่า เอางี้สั้นๆง่ายๆ บอก Francisco ด้วยว่า ไอไม่ต้องการไอ้รถขยะคันนี้แล้ว และไอติดต่อทนายความของไอเรียบร้อยแล้วด้วย หากเอาเช็คของไอเป็นขึ้นเงิน ไอเล่นงานยูแน่!!

Greg บอกว่าหลังจากนั้น เค้าจัดแจงปิดบัญชีธนาคารอันนั้นเสีย เพราะเชื่อว่าไอ้ Francisco เนี่ยมันไม่ใช่เป็นแค่ไอ้ตอแหล แต่มันเป็นพวกแก๊งค์ต้มตุ๋นสิบแปดมงกุฏ Francisco มันมีเช็คของเค้าอยู่ในมือ แถมมีรายละเอียดส่วนตัวของเค้าอีก แต่เค้าแปลกใจที่ว่า Francisco ไม่เคยโทรมาโวยวายอะไรกับเค้ามากมายเลย โทรมาครั้งเดียวแล้วก็เงียบหายไปเลย Greg บอกว่าตอนนั้นเค้าก็เอะใจนิดๆเกี่ยวกับไอ้ Francisco เหมือนกันที่มันพยายามพูดว่าอย่าเอารถไปเข้าไฟแนนซ์และก็พูดถึงเรื่องว่าอย่าเอารถไปเสียเงินเช็คกับ CARFAX เพราะมันเชื่อไม่ได้ ตอนที่พักอยู่ที่โรงแรม เค้าแกล้งบอกพนักงานโรงแรมว่าแอร์ที่ห้องมันไม่เย็น ขอย้ายห้องไปห้องอื่น แล้วสั่งพนักงานโรงแรมว่าอย่าบอกเลขห้องของเค้ากับใคร เพราะกลัวว่าอีตา Francisco มันรู้ว่าพักห้องไหนแล้วจะย่องมากลางดึกแล้วมาฆ่าปาดคอปล้นเอาเงินไป แล้วเอากุญแจสำรองอีกอันนึงไขเอารถกลับไป แล้วเอาไปแหกตาขายคนอื่นต่อไป

Greg บอกว่าพอเค้าได้ยินเรื่องจากผมทั้งหมดแล้ว เค้าดีใจมากที่สามารถกลับมาบ้านได้อย่างสวัสดิภาพ และยินดีและเต็มใจที่จะบินไป Florida กับผมเพื่อที่จะไปเป็นพยานให้ปากคำในคดีของผมด้วย Greg ยังช่วยให้คำแนะนำผมในเรื่องการเตรียมเอกสารและใบเสร็จรับเงินที่จะฟ้องร้องเรียกค่าใช้จ่ายจาก Francisco ที่ผมต้องเสียไปในระหว่างนั้นด้วย จาก email ล่าสุดที่ Greg เขียนมาหาผม

สวัสดี Keith,

ไออยากจะแสดงความเสียใจอีกครั้งที่เรื่องร้ายๆแบบนั้นมันเกิดขึ้นกับยู

ไอกำลังเตรียมร่างคำแถลง และรวบรวมเอกสารที่เคยติดต่อกับ Francisco เพื่อที่จะไปช่วยให้ปากคำเป็นพยานให้กับยู ไม่เกินอาทิตย์หน้าน่าจะเสร็จเรียบร้อย

และเนื่องจากไอ้ M3 เนี่ยมันช่างหาสภาพดีๆยากเหลือเกิน ไอเปลี่ยนใจไม่อยากได้แล้ว ไอเพิ่งซื้อ Corvette เปิดประทุนปี 1991 มาคันนึง เป็นเกียร์ 6 speed เสียด้วย สีแดงหลังคาดำ ภายในสีดำ เพิ่งวิ่งมาแค่ 17,000 ไมล์เอง ทะเบียนเอาไปเช็คกับ CARFAX แล้วสะอาดหมดจดไม่มีปัญหา อาจจะดูแตกต่างไปจาก M3 บ้าง แต่มันก็น่าจะเป็นรถที่ขับสนุกในวันหยุดพักผ่อนได้ดี

แล้วคุยกันใหม่
Greg.
อีกสองสามวันต่อมามีชายคนนึงชื่อ Martin จาก Chicaco โทรมา share เรื่องราวนี้กับผมเหมือนกัน

หลังจากนั้นมีชายอีกคนหนึ่งติดต่อผมมาอีก ชื่อ Michael Posner เป็นทนายความอยู่ West Palm Beach ใน Florida เค้าบอกว่าเค้าโทรมาหาผมทันทีที่อ่านประกาศโฆษณาของผมใน Internet เค้าบอกว่าเค้าเคยมีประสพการณ์คล้ายๆกับผมตอนที่เค้าซื้อ 325iC E36 คันหนึ่ง เอกสารทะเบียนรถแนบมากับรายงานของ CARFAX ที่ระบุไว้ว่าประวัติทุกอย่างของรถออกมาปกติ ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอซื้อมาแล้วเอาไปตรวจสภาพประจำปี ปรากฏว่าช่างบอกว่าตัวถังซีกซ้ายถูกเปลี่ยนมาเกือบทั้งแถบ

หลังจากนั้น Michael ก็ติดต่อ Francisco ในนามตัวแทนของผม และอีกประมาณหนึ่งเดือน เงินก็ถูกโอนเข้ามาคืนในบัญชีของผม โดยที่ Michael แทบจะไม่ได้หักค่าป่วยการอะไรไว้เลย ผมรู้สึกดีใจที่ได้เงินกลับคืนมาอย่างง่ายๆแบบไม่น่าเชื่อ ก่อนหน้านี้ผมฝันว่าผมจะได้เงินคืนแต่คิดว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นความจริงไปได้ เหมือนกับว่าครั้งหนึ่งผมฝันว่าผมจะได้เดินออกไปชื่นชม M3 คันงามของผมที่โรงรถ แต่พอเดินออกไปแล้วมันไม่มีอยู่จริง ความโกรธ ความแค้นที่เคยมีมาหายไปทั้งหมด ผมเขียนจดหมายไปแสดงความเสียใจต่อ Francisco ที่เกิดเรื่องยุ่งยากนี้ และส่งแฟกซ์ไปที่ Division of the United Technical Institutes Corporation และที่ BMW Braman Motors ด้วย

ผมตัดสินใจผิดพลาด ผู้คนพากันพูดว่าผมเสียเงินเสียเวลาไปตั้งเยอะ ทั้งค่ารถ ค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรมค่ากินอยู่ (กลับมาถึงนี่แล้วก็ยังเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลอีกไม่รู้เท่าไหร่) แต่กลับมามือเปล่าไม่มี M3 จอดอยู่สีกคัน แต่ผมว่าอย่างน้อยมันก็มีส่วนส่วนหนึ่งที่ผมตัดสินใจถูก ที่ผมทิ้งมันไว้ที่ Florida ผมรู้สึกดีที่ผมเดินหันหลังให้มัน ผมไม่อยากได้ M3 อีกต่อไปแล้ว

ก่อนจบเรื่องนี้ ผมขอยกเอาคำแนะนำดีๆจากนักสืบ Hagan แห่งแผนกป้องกันการโจรกรรมรถยนต์เขต West Palm Beach, Florida มาให้อ่านกัน

“ไม่ว่าคนขายมันจะพูดถึงตัวมันเอง หรือพูดถึงรถอย่างไร ขว้างมันทิ้งออกหน้าต่างไปซะ”

เป็นคำพูดที่เป็นความจริงอย่างที่สุด……. เชื่อผมเถอะ

Keith


+++++++++++++++++++++THE END +++++++++++++++++++++++++++++

แปล/เรียบเรียงจากความปรารถนาดี ของ Flying Dutchman / May 2007
 

 

                       ใDutchman/October 2007
                                                                                                                                                                            Back to main STORY Page


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 

                     

                                                                                                                                                      Copyright 2000-2008. The Flying Dutchman