ประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์
(เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพฯ)
แต่เดิมบริเวณพระบรมมหาราชวังเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชาเศรษฐีและพวกคนจีน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสร้างราชธานีใหม่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
จึงได้โปรดให้คนพวกนี้ถอยลงไปอยู่ในที่แห่งใหม่ตั้งแต่คลองใต้วัดสามปลื้ม
(วัดจักรวรรดิราชาวาส)
ลงไปจนถึงคลองเหนือวัดสำเพ็ง
(วัดปทุมคงคา)
สมัยนั้นชาวจีนสองพี่น้องมีบทบาทมาก
คนพี่ชื่อ
นายเริก
ส่วนคนน้องชื่อ
นายอินเดิมทีนายเริกรับราชการในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี
ตำแหน่งเสมียนประจำกรมท่าซ้าย
ซึ่งเป็นกรมที่ติดต่อกับชาวจีนโดยเฉพาะ
จนในสมัยรัชกาลที่
1
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระยาไกรโกษา
ครั้นย้ายไปอยู่ตำบลสำเพ็ง
บ้านของท่านผู้คนก็เรียกว่าบ้านพระยาไกรโกษา
ปัจจุบันคือ "ตรอกพระยาไกร"
ใกล้กับตรอกพระยาไกรนั้น
มีอีกตรอกหนึ่งชื่อว่า
"ตรอกโรงกระทะ"
ที่มีชื่ออย่างนี้เพราะนายอินน้องชายของพระยาไกร
ได้ค้าสำเภาไปเมืองจีนจนร่ำรวยเป็นเศรษฐี
ที่บ้านนั้นจึงตั้งเตากระทะหุงข้าวเลี้ยงกะลาสีลูกเรือและจับกังขนของเป็นทิวแถว
คนจึงนิยมเรียกท่านว่า
"เจ้าสัวเตากระทะ"
ต่อมาพระอภัยวานิช
(จาค)
นายอากรรับผูกขาดรังนกจนร่ำรวยเป็นเจ้าสัวอีกคนหนึ่ง
ได้มาสร้างบ้านจีนโบราณแบบวังอยู่แถววัดปทุมคงคาชาวจีนจึงเรียกย่านนั้นว่า
"ตั๊กลักเกี้ย"
แปลว่า "ตลาดน้อย"
ส่วนตลาดใหญ่นั้นหมายถึงตลาดสำเพ็ง
ตามประวัติของพระอภัยวานิช
เดิมเป็นขุนนางมาจากมลฑลเสฉวน
จีนแผ่นดินใหญ่
ด้วยเหตุนี้ที่ประตูบ้านได้แขวนโคมไฟทำด้วยกระดาษ
และเขียนอักษรจีนขนาดใหญ่
2 ตัวว่า " ฮั่ง
ไถ่ "
เป็นรูปสัญลักษณ์
เดิมทีพระยาอภัยวานิช
มีที่ดินอยู่ในสำเพ็งมากมาย
แต่ธรรมเนียมของคนจีนนิยมมีทายาทสืบสกุลหลายๆ
คน
จึงได้แบ่งที่ดินเหล่านั้นให้บุตรทุกคน
ปัจจุบันทายาทคนที่ครองบ้านหลังเดิมที่เหลือเพียง
12 ไร่ คือ
คุณดวงตะวัน
โปษยะจินดา
ภรรยาคุณเจงหลอง
โปษยะจินดา (ผู้ครอบครองสืบต่อจากประอภัยวานิชรุ่นที่
6 )
กรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยนั้นได้เกิดโรคระบาดจนผู้คนล้มตายมาหลายครั้งหลายครา
จนมาถึงในสมัยรัชกาลที่
3
ซึ่งในช่วงนั้นเองก็ได้เกิดโรคอหิวาต์
ทำให้ผู้คนล้มตายจำนวนมาก
บรรดาวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตหรือผีคนที่ตายไปแล้วต่างมาเข้าฝันเจ้าสัวในสำเพ็งว่า
"อดอยากเหลือเกิน
ขอให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้างและจะช่วยคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคห่า"
ในฝันเจ้าสัวถามผีไปว่าจะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปด้วยวิธีใดผีคนตายก็บอกว่า
"ให้เอาอาหารที่จะส่งไปทำการเซ่นไหว้
แล้วเอาของใส่เรือ
พร้อมกับเอาตุ๊กตาหักคอเสีย
คือ
ต้องทำเป็นตุ๊กตาเสียกบาลใส่เรือไปด้วย
แล้วก็เอาเรือลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา"
เท่านี้ก็จะได้กิน
หลังจากนั้นทุกปีบรรดาเจ้าสัวในสำเพ็งต่างๆก็พากันลอยเรือสะเดาะห์เคราะห์กันเป็นประจำ
แต่เป็นแบบต่างคนต่างทำแต่กำลังศรัทธา
และก็น่าประหลาดมากคนในสำเพ็งไม่มีใครป่วยเป็นอหิวาต์ตายแม้แต่คนเดียว
ปัจจุบันพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์มีเหลือเพียงแห่งเดียวคือ
ทายาทของพระอภัยวานิช
ที่ยังปฏิบัติสืบต่อจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด
สมัยก่อน
เมื่อใกล้จะถึงงานพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์ราว
1 เดือน
บุตรหลานของพระอภัยวานิชจะซื้อหาไม้ไผ่
กระดาษและอุปกรณ์ต่างๆมาทำเรือไว้เพื่อที่จะประกอบเป็นเรือจำลองกระดาษประดับประดาอย่างประณีตสวยงาม
ตัวเรือยาว 3.50
เมตร กว้าง 1.20
เมตร
โดยทำเรือเป็นสองชั้น
ในแต่ละปีชื่อเรือจะไม่ซ้ำกันขึ้นอยู่กับซินแสจะเป็นผู้กำหนดเช่น
ปีชวด
ตั้งชื่อว่า
หนูอี้ด และ
มุสิกขาว
เป็นต้น
และถือเอาวันขึ้น
8 ค่ำเดือน 6
ของทุกปี
ซึ่งเป็นช่วงต้นฝนเป็นวันประกอบพิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์
ในวันทำพิธีเจ้าภาพจะจัดอาหารหวานคาว
คือ หมี่ผัด
ขนมจีนน้ำยา
ข้าวเหนียว
ถั่วดำ
มะม่วงอกร่องสุก
ทำการเซ่นไหว้บนฝั่งก่อนที่จะนำเรือลงน้ำ
ส่วนในเรือก็จะใส่อาหารหวานคาวดังกล่าวด้วย
นอกจากนั้นก็จะใส่พวกเครื่องครัว
เช่น พริก
กะปิ
กระเทียม
น้ำตาล
น้ำปลา
ข้าวสาร
และถ่าน
เพื่อให้เป็นเสบียงอาหาร
เหมือนเรือจริงที่จะออกเดินทางในทะเล
การทำพิธีสะเดาะเคราะห์นี้
ชาวบ้านต่างสกุลใครจะมาร่วมก็ได้
ดังนั้นในวันทำพิธีจึงมีผู้คนมาร่วมงานมากมายโดยจะใช้ตุ๊กตาตัวเล็กๆ
สมมุติให้เป็นตัวของผู้ทำบุญเอง
และฝากลงไปกับเรือใหัลอยไปด้วยอันหมายถึงฝากความทุกข์ความโศกให้ไหลไปด้วย
พอถึงเวลาเที่ยงตรง
ของวันทำพิธี
เรือสะเดาะเคราะห์จะถูกนำไปวางบนแพ
ซึ่งประกอบจากหยวกกล้วยตานีประมาณ
20 ต้น
ระหว่างที่ทำการปล่อยเรือนั้นจะมีเสียงล่อโก๊ว
ตีมุ่ยเอาฤกษ์เอาชัย
เวลาเดียวกันจะมีการจุดประทัดให้ผีชั่วร้ายแตกตื่นและมีการซัดข้าวสารกับเกลือลงไปที่เรือ
เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรให้ลงเรือไปด้วย
ต่อจากนั้นจะให้เรือจ้างติดเครื่องลำหนึ่ง
ลากจูงเรือสะเดาะเคราะห์
โดยมีชายฉกรรจ์ลอยคอในน้ำพยุงเรือไปส่งจนถึงปากคลองผดุงกรุงเกษม
(คลองขุดใหม่)
ที่สมมุติให้เป็นปากอ่าวหลังจากนั้นทั้งเรือและคนค่อยพากันกลับมาที่เดิม
ส่วนรือสะเดาะเคราะห์ยังคงลอยตามกระแสน้ำไปอีกเรื่อยๆ
พิธีลอยเรือสะเดาะเคราะห์แพร่หลายในวงจำกัด
และกำลังจะสูญหายไปทุกขณะ
สาเหตุมาจากชาวบ้านที่มาอยู่ใหม่ไม่ทราบความเป็นมาจึงให้ความร่วมมือไม่มากเท่าที่ควร
แต่ทางเจ้าภาพก็ยังคงดำเนินตามบรรพบุรุษปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง
อีกสาเหตุหนึ่ง
ผู้ทำเรือสะเดาะเคราะห์เคยเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงในบ้านพระอภัยวานิช
และเคยรับใช้กันมา
3
ชั่วอายุคนแล้ว
ทายาทรุ่นที่
3 คือ
นายประสิทธิ์
ซุ่มสำราญ
มีอายุ 53 ปี
เปิดเผยว่าลูกหลานทำงานได้ดิบได้ดีไปหมดแล้ว
วิชาทำเรือกระดาษที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาไม่มีใครสนใจที่จะมารับวิชานี้ไป
คิดว่าประเพณีลอยเรือสะเดาะเคราะห์
คงจะสิ้นสุดลงในรุ่นของผมอย่างแน่นอน