รัชกาลที่
๑
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
มีพระนามเดิมว่า
ด้วง
เป็นบุตรคนที่
๔ จากทั้งหมด
๕ คน
ของนายทองดี
หรือต่อมาได้เป็นหลวงพินิจอักษร
เสมียนตราในกรมมหาดไทยกับนางหยก
หลานสาวของเจ้าพระยาอภัยราชา
ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหนายก
ประสูติเมื่อวันพุธที่
๒๑ มีนาคม
พุทธศักราช
๒๒๗๙
เมื่อเด็กชายด้วง
มีอายุครบ ๑๓
ปี
บิดามารดาได้ทำพิธีตัดจุกให้
จากนั้นจึงได้ถวายตัวให้เป็นมหาดเล็กของเจ้าฟ้าอุทุมพร
กรมขุนพรพินิต
รัชทายาทแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
กระทั่งนายด้วงมีอายุครบ
๒๒ ปี
จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมหาทลาย
เมื่อปีพุทธศักราช
๒๓๐๐
ระหว่างที่จำพรรษาอยู่
พระภิกษุด้วงได้มีโอกาสรู้จักเป็นมิตรกับพระภิกษุหยง(หรือนายหยง
แซ่แต้
บุตรจีนไหหง
และนางนกเอี้ยง
ซึ่งต่อมาก็คือ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
)
ซึ่งได้บวชจำพรรษาอยู่ที่วัดโกษาวาสน์
ก่อนที่นายด้วงจะอุปสมบทประมาณ
๓ พรรษา
ต่อมาเมื่อลาสิกขาบทแล้ว
นายหยงและนายด้วงก็ได้มีโอกาสเข้ารับราชการ
ต่อมาในตอนปลายแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา
โดยนายหยงได้เป็นตำแหน่งหลวงยกกระบัตรเมืองตาก
และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น"นายสิน"
ส่วนนายด้วงก็รับราชการด้วยดีจนได้เป็น
หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี
บิดามารดาเมื่อเห็นว่านายด้วงได้บวชเรียนและมีงานทำเป็นหลักฐานแล้วจึงได้ไปสู่ขอ
ลูกสาวเศรษฐีใหญ่ชาวอัมพวา
จังหวัดสมุทรสงคราม
ชื่อ
นางสาวนาค
ให้สมรสกับหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี
ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียทีถูกพม่ายึด
หลวงยกกระบัตรเมืองตากซึ่งตอนนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาวชิรปราการ
เจ้าเมืองกำแพงเพชร
ได้ทำการรวบรวมผู้คนซึ่งแตกกระจายกันเป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆ
มากมายแล้วพากันมาตั่งมั่นอยู่ที่จันทบุรี
เพื่อคอยหาโอกาสกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมา
และเมื่อรวบรวมกำลังพลได้พอสมควรแล้ว
พระยาวชิรปราการ
หรือพระยาตากจึงได้ยกกองทัพซึ่งมีกำลังพลประมาณ
๕,๐๐๐ คน
โดยทางเรือจากจันทบุรีมายังกรุงธนบุรี
และสามารถยึดกรุงธนบุรีกลับคืนมาได้
จากนั้นจึงเคลื่อนทัพขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา
แล้วเข้าตีพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้นแตก
จนนายทัพพม่า
ที่เรียกกันว่า
สุคยี (ภาษาพม่าหมายถึงนายกอง
แต่คนไทยเอามาเรียกเป็นชื่อว่าสุกี้)
ตายในที่ราบ
ส่วนพวกพม่าที่เหลือหนีเตลิดไป
จึงเป็นอันกอบกู้เอกราชของชาติกลับคืนมาได้เมื่อวันเสาร์ที่
๒๓ ตุลาคม
พุทธศักราช
๒๓๑๐
จากนั้นพระยาตากจึงทำการอพยพผู้คนมายังกรุงธนบุรี
ด้วยเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่าทำลายจนเสียหายยากแก่การบูรณะซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้
ประกอบกับกรุงธนบุรีมีชัยภูมิที่ดีกว่าและพอเหมาะกับกำลังไพร่พลที่มีอยู่ที่จะสามารถรักษาเมืองไว้ได้
จึงทรงประกาศตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่ของไทย
พร้อมกับประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทยทรงพระนามว่า
พระบรมราชาธิราชที่
๔
ขึ้นเมื่อวันพุธที่
๒๘ ธันวาคม
พุทธศักราช
๒๓๑๑
แต่ประชาชนทั่วไปมักเรียกพระองค์ว่า
สมเด็จพระเจ้าตากสิน
บ้างก็เรียกว่า
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ต่อมาทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว
ได้ทรงรวบรวมญาติพี่น้อง
เพื่อสถาปนาขึ้นเป็นพระบรมราชวงศ์
รวมทั้งปูนบำเหน็จให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกอง
และ
ผู้ร่วมกอบกู้ชาติจนได้รับเอกราชในครั้งนี้อย่างถ้วนหน้า
ซึ่งก็รวมไปถึงหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี
เพื่อนเก่าที่ชอบพอ
และ
ร่วมเป็นร่วมตายในการศึกนี้ด้วย
โดยโปรดเกล้าฯ
ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น
พระราชวรินทร์
เจ้ากรมพระตำรวจขวานอก
แล้วให้เข้ามารับราชการใกล้ชิด
พระราชวรินทร์ได้รับราชการสนองพระบรมราชโองการสมเด็จพระเจ้าตากสินด้วยความเข้มแข็ง
ซื่อสัตย์สุจริตและจงรักภักดีเป็นที่ยิ่ง
จนได้รับอาญาสิทธิ์และเลื่อนบรรดาศักดิ์สูงขึ้นหลังจากที่ได้ออกไปในการศึกสงคราม
ตามลำดับดังนี้
ครั้งที่ ๑
เป็นแม่ทัพออกไปรบและสามารตีด่านขุนทด
เมืองนครราชสีมาและนครเสียมราชได้สำเร็จ
จึงได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาอภัยรณฤทธิ์
จางวางกรมพระตำรวจ
ครั้งที่ ๒
เป็นแม่ทัพยกกำลังไปตีเขมรได้เมืองพระตะบอง
และเมืองเสียมราช
แต่ต้องเลิกทัพกลับมาก่อนเพราะได้รับข่าวลือที่ว่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคตแล้ว
ครั้งที่ ๓
เมื่อพระชนมายได้
๓๔
พรรษาได้ตามเสด็จฯ
สมเด็จพระเจ้าตากสินไปปราบปรามพระเจ้าฝาง
จนได้รับชัยชนะ
และได้รับเลื่อนยศเป็น
พระยายมราช
ว่าที่สมุหนายก
ครั้งที่ ๔
ในปีพุทธศักราช
๒๓๑๒
ขณะที่มีพระชันษาได้
๓๕
พรรษาทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ
ให้เป็น
เจ้าพระยาจักรี
สืบแทนเจ้าพระยาจักรี(แขก)
ที่ถึงแก่อสัญกรรมไป
พร้อมกับได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปตีเขมรจนได้เมืองบันทายเพชร
และเมืองบาพนม
ครั้งที่ ๕
เป็นแม่ทัพหน้าของสมเเด็จพระเจ้าตากสิน
ยกกำลังไปตีเมืองนครเชียงใหม่
เมืองนครลำปาง
เมืองนครลำพูน
และเมืองน่าน
ครั้งที่ ๖
เป็นแม่ทัพยกกำลังจากนครเชียงใหม่ลงมา
ช่วยทัพหลวงรบกับพม่าที่ยกทัพมาตีเมืองราชบุรี
จนไทยได้รับชัยชนะ
ครั้งที่ ๗
เป็นแม่ทัพยกกำลังขึ้นไปรบกับพม่าที่ยกกำลังมาตีเมืองนครเชียงใหม่
เมื่อปีพุทธศักราช
๒๓๑๗
ครั้งที่ ๘
เป็นแม่ทัพยกไพร่พลไปรบกับ
อะแซหวุ่นกี้
แม่ทัพใหญ่ของพม่าที่ยกกำลังเข้ามาตีหัวเมืองทางเหนือในช่วงพุทธศักราช
๒๓๑๘ - ๒๓๑๙
เจ้าพระยาจักรีได้นำทัพไทยเข้าต่อสู้ป้องกันอย่างเข้าแข็ง
จนอะแซหวุ่นกี้ต้องเจรจาขอดูพระองค์
และเมื่อได้พบแล้วก็ออกปากยกย่องสรรเสริญว่า"ท่านนี้รูปก็งาม
ฝีมือก็เข้มแข็ง
อาจสู้รบกับเราเป็นผู้เฒ่าได้
จงอุตส่าห์รักษาตัวไว้ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแน่แท้"
ครั้งที่ ๙
ขณะพระชนมายุได้
๔๑
พรรษาเป็นแม่ทัพออกไปตีหัวเมืองของลาวและเขมร
ได้เมืองนครจำปาศักดิ์
เมืองสีทันดร
เมืองอัตปือ
เมืองตะลุง
เมืองสุรินทร์
เมืองสังข์
เมืองขุขันธ์
มาเป็นเมืองขึ้นของไทย
ในการนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนให้เป็น
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกพิลึกมหิมา
ทุกนคราระย่อเดช
นเรศราชสุริยวงศ์
องค์บาทมุลิกากร
บวงรัตนปรินายก
โดยโปรดเกล้าฯให้มีเครื่องยศดุจเดียวกันกับเจ้านายต่างกรม
ครั้งที่ ๑๐
เป็นแม่ทัพยกกำลังทหารไปตีอาณาจักรล้านช้าง
ได้เมืองเวียงจันทร์
และได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
หรือพระแก้วมรกตลงมาประดิษฐานไว้ที่
ณ
กรุงธนบุรีด้วย
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชอัธยาศัยผิดไปจากพระองค์เดิมเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทั้งในหมู่ภิกษุสงฆ์
และ
ประชาชนคนไทย
ในเวลานั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปราชการสงครามที่เขมร
จึงเป็นโอกาสให้พระยาสรรค์กับพวกคิดกบฏแย่งชิงราชสมบัติ
โดยได้วางแผนขับไล่ให้สมเด็จพระเจ้าตากสินไปทรงผนวชที่วัดแจ้ง
แล้วประกาศตนเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
แต่เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทราบข่าวว่าเกิดเหตุจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรีจึงรีบยกทัพกลับมา
พระยาสรรค์เกิดความเกรงกลัวจึงยอมลดตนเองกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
ในส่วนสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เห็นว่าหากละไว้อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นได้อีกในภายหลัง
จึงเห็นชอบให้นำไปสำเร็จโทษเสียเมื่อวันที่
๖ เมษายน
พุทธศักราช
๒๓๒๕
แล้วอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นดำรงสิริราชสมบัติ
ประกอบพระราชพิธิปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี
ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์
ธรณินทราธิราช
รัตนากาศภาสกรวงศ์
องค์ปรมาธิเบศร
ตรีภูวเนตรวรนารถนายก
ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย
สมุทัยดโรมนต์
สกลจักรวาฬาธิเบนทร์
สุริเยนทราธิบดินทร์
หริหรินทรา
ธาดาธิบดี
ศรีสุวิบูลยคุณอกนิษฐ
ฤทธิราเมศวรมหันต์
บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย
พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์
ภูมินทรปรมาธิเบศร
โลกเชฎวิสุทธิ์
รัตนมงกุฎประกาศ
คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร
พระพุทธเจ้าอยู่หัว
หรือต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ถวายพระนามใหม่ว่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
นับเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
เมื่อวันที่
๑๐ มิถุนายน
พุทธศักราช
๒๓๒๕
โดยขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ
๔๖ พรรษา
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ได้ทรงสถาปนาพระราชธิดาขึ้นเป็นองค์ปฐมบรมราชชนกและเจ้าพระยาสุรสีห์
(นายบุญมา)
ผู้เป็นน้องชายขึ้นเป็น
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชตลอดรวมทั้งพระญาติพระวงศ์ที่ร่วมพระชนกเดียวกันขึ้นเป็นพระราชวงศ์จักรี
ซึ่งต่อมาก็คือต้นราชสกุลต่าง
ๆ
ที่นับเนื่องมาจนในปัจจุบันนี้
เช่น ราชสกุล
นรินทรางกูร
ณ อยุธยา,
เทพหัสดิน ณ
อยุธยา,
มนตรีกุล ณ
อยุธยา,
อิศรางกูร ณ
อยุธยา
และเจษฎางกูร
ณ อยุธยา
เป็นต้น