รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรส พระองค์ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติแต่พระนางเธอพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เสด็จพระราชสมภพเมื่อปีฉลู แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ตรงกับ วันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๙๖ ในพระบรมมหาราชวัง มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์บดินทรเทพมหามงกุฏ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตรสิริวัฒนราชกุมาร ครั้นในปีพุทธศักราช ๒๔๐๔ เมื่อพระชนมายุได้ ๙ พรรษา ทรงได้รับสถาปนาเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และต่อมาปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ ทรงได้รับเลื่อนพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิจประชานารถ ทรงได้รับตำแหน่งในการกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และว่าการกรมทหารบกวังหน้าตามลำดับ
เมื่อทรงพระเจริญพระชัญษาพอสมควรแก่การศึกษาแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ฯ ได้ทรงเริ่มการศึกษาในสำนักพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี โดยทรงศึกษาด้านวิชาการและโบราณราชประเพณีต่างๆ นอกจากนี้ยังทรงเรียนภาษาอังกฤษกับแหม่มแอนนา เลียวโนเว็นส์ (Anna Leonowens) ครูสตรีชาวอังกฤษที่สมเด็จพระราชบิดาจ้างเข้ามาสอนในพระบรมมหาราชวัง เป็นเวลานานถึง ๕ ปี ทำให้ทรงมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี และเมื่อทรงลาสิกขาบทแล้วได้เสด็จฯ ออกไปประทับอยู่ฝ่ายหน้า และได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษต่อกับมิชชั่นนารีชาวอเมริกันชื่อ นายชันเดอร์ (Chandler) พร้อมกันนั้นก็ทรงได้รับการอบรมศึกษาสรรพวิชาทั้งปวงจากบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ ่และจากสมเด็จพระราชบิดาของพระองค์เอง โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ติดตามใกล้ชิดในเวลาที่ทรงออกว่าราชการ นอกจากนี้ในเวลาที่พระราชบิดาทรงมีพระราชวินิจฉัยในข้อราชการก็มักมีคำสั่งให้สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับฟังพระบรมราโชวาทและพระบรมราชาธิบายในข้อราชการรวมไปถึงราชประเพณีต่างๆ ด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมพระองค์พระราชโอรสให้พร้อมที่จะปกครองบ้านเมืองต่อไปในภายหน้า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิจประชานารถเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจาก สมเด็จพระราชบิดา เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๑๑ ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุฒมพงษืบรพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันต บรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโดสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตโสภาคยสรรพางค์มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภ ผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรพรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมล ขัติยราชประยูรมูลมุขราชดิลก มหาปริวาร นายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศ มโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรามหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติ อาชาวศรัย พุทธาธิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัยอโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเนื่องจากขณะที่เสด็จขึ้นครองราชย์นั้นทรงมีพระชนมายุได้เพียง ๑๕ พรรษา ที่ประชุมจึงเห็นควรให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ( ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปก่อนจนกว่าจะทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการฝึกฝนในการเป็นพระมหากษัตริย์ตามโบราณราชประเพณีพร้อมกันกับการศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ควบคู่กันไป เพื่อที่จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์พร้อมต่อไป
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาและทรงบรรลุพระราชนิติภาวะแล้ว ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลา ๑๕ วัน ซึ่งเมื่อทรงลาสิกขาบทแล้วจึงไดโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นครั้ง ๒ ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๖ และนับตั้งแต่นั้นมาจึงทรงมีพระราชอำนาจสิทธิขาดในการปกครอง และบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่ด้วยพระองค์เองสืบต่อไป