รัชกาลที่
๘
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ทรงพระราชสมภพ
เมื่อวันอาทิตย์
ขึ้น ๒ ค่ำ
เดือน ๑๑
ปีฉลู
หรือตรงกับวันที่
๒๐ กันยายน
พุทธศักราช
๒๔๖๘ ณ
เมืองไฮเดนเบิร์ก
( Heidenberg )
ประเทศเยอรมันนี
ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์โตใน
สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช
กลมหลวงสงขลานครินทร์
และหม่อมสังวาลย์
ตะละภัฎ(ภายหลังทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไทยเป็น
สมเด็จพระมหิตลาธิเศร
อดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก
และสมเด็จพระศรีนครินทรา
บรมราชชนนี)
เมื่อแรกประสูตรทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น
หม่อมเจ้าชายอานันทมหิดล
ต่อมาในปีพุทธศักราช
๒๔๗๐
ทรงได้รับการสถาปนาเป็น
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ทรงมีพระเชษฐภคินี
หนึ่งพระองค์คือ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
และทรงมีพระอนุชาอีกหนึ่งพระองค์คือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ ๙
เมื่อพระชนมายุได้
๓ เดือน
ได้เสด็จฯไปประทับ
ณ
ประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา
เป็นเวลา ๓ ปี
จนถึงปีพุทธศักราช
๒๔๗๑
ได้โดยเสด็จฯสมเด็จพระบรมราชชนกนิวัติประเทศไทย
และทรงพำนักอยู่
ณ
วังสระปทุมกับสมเด็จพระศรีสวรินทรา
บรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
จนในปีถัดมาคือพุทธศักราช
๒๔๗๒
สมเด็จพระบรมชนกนาถก็เสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ทรงเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี
เป็นเวลา ๒ ปี
แต่ต่อมาทรงย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์
ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปีพุทธศักราช
๒๔๗๕ แล้ว
บ้านเมืองเกิดความสับสน
ประกอบกับพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดลทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์
จึงในเดือนพฤษภาคม
พุทธศักราช
๒๔๗๖
ได้เสด็จฯไปประทับ
ณ
เมืองโลซานน์
ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี
พระเชษฐภคินีและพระอนุชา
เพื่อการศึกษาและเพื่อบำรุงพระพลานามัย
และที่เมืองโลซานน์นี้
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดลได้ทรงเข้าศึกษาในระดับชั้นประถมที่โรงเรียนเมียร์มองค์
ซึ่งนอกจากจะทรงศึกษาวิชาการในโรงเรียนแล้ว
ยังทรงมีพระอาจารย์ถวายพระอักษรไทย
ณ
พระตำหนักที่ประทับอีกด้วย
แต่แล้วเมื่อวันที่
๒ มีนาคม
พุทธศักราช
๒๔๗๗
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งในขณะนั้นเสด็จประทับรักษาพระเนตรอยู่
ณ
ประเทศอังกฤษ
ได้ทรงประกาศสละราชสมบัติพร้อมกับสละพระราชสิทธิ์ในการแต่งตั้งผู้สืบราชสันตติวงศ์
และเนื่องจากไม่ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาเลย
การสืบสันตติวงศ์จึงเป็นไปตามกฏมณเฑียรบาล
ฉบับพุทธศักราช
๒๔๖๗
โดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร
รัฐบาลไทยในขณะนั้นจึงได้กราบทูนอันเชิญ
พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
ซึ่งทรงอยู่ในลำดับที่
๑
แห่งการสืบราชสันตติงวศ์
ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่
๘
ในพระบรมราชจักรีวงศ์
ทรงพระนามว่า
พระบาทสมเด็จพระปรเมนมหา
อานันทมหิดลสกลไพศาลมหารัษฎาธิบดี
พระอัฐมรามาธิบดินทร
สยามินทราธิราช
บรมนาถบพิตร
เมื่อวันที่
๒ มีนาคม
ศกนั้นเอง
และเนื่องจากในขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง
๙ พรรษา
จึงต้องทรงมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้แก่
พระวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทพยอาภา
และเจ้าพระยายมราช
ทำการบริหารราชการแผ่นดินแทนพระองค์จนกว่าจะทรงบรรลุพระราชนิติภาวะ
ในระหว่างนี้ได้ทรงย้ายไปศึกษาที่โณงเรียนเอกอล
นูแวล เดอ ลา
ซืออิส
โรมองต์
และยังคงมีพระอาจารย์ถวายพระอักษรไทย
ณ
พระตำหนักที่ประทับอยู่เช่นเคย
ในครั้งนี้นอกจากจะทรงศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่ของพระมหากษัตริย์แล้วยังทรงศึกษาภาษาต่างประเทศอีกถึง
๔ ภาษาคือ
ภาษาฝรั่งเศส
เยอรมันและเสปน
ยิ่งไปกว่านั้นสมเด็จพระราชชนนีทรงส่งเสริมให้โปรดการกีฬา
อาทิ ว่ายน้ำ
ฮ๊อกกี้ สกี
สเกตน้ำแข็ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ทรงสนพระทัยในงานอดิเรกต่างๆ
เช่น
การช่างและ
งานฝีมือต่างๆ
การปลูกพืชสวนครัว
การสะสมแสตมป์และรูปเรือรบ
ทั้งยังโปรดศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ
โดยไม่ทรงปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
ทำให้ทรงเป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไปที่ได้มีโอกาสพบเห็น
พระบาทสมเด็จะพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ได้เสด็จฯ
นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์
เมื่อวันที่
๑๕
พฤษจิกายนพุทธศักราช
๒๔๘๑
ซึ่งขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้
๑๓ พระชัญษา
การเสด็จนิวัติครั้งนี้
เป็นการเสด็จฯ
โดยทางเรือชื่อ
มีโอเนีย
พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอและสมเด็จพระอนุชา
ซึ่งเมื่อเสด็จฯถึงปีนังได้พระราชทานสัมภาษณ์
แก่หนังสือพิมพ์สเตรทเอคโค
ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า
"ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่จะได้เดินทางกลับสู่ประเทศอันเป็นที่รักของข้าพเจ้าและในอันที่จะได้เห็นประชาราษฎร์ของข้าพเจ้าเอง"
ตลอดระยะเวลา
๒
เดือนที่เสด็จประทับอยู่ในเมืองไทยได้ทรงออกเยี่ยมราษฎรในที่ต่างๆ
หลายแห่ง
เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเฝ้าชมพระบารมีอย่างใกล้ชิดจากนั้นได้ทรงเสด็จฯกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แสนด์
หลังจากเสด็จฯนิวัติเมืองไทยครั้งแรกแล้วได้เกิดสงครามโลกครั้งที่
๒
สถานการณ์ของโลกอยู่ในขั้นวิกฤต
การคมนาคมติดต่อระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศขัดข้อง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
จึงมิได้เสด็จฯนิวัติประเทศไทยอีกเป็นเวลานานแต่ก็ได้ทรงศึกษาวิชาการอยู่โดยตลอดจนเมื่อสงครามโลกครั้งที่
๒ สงบลง
เหตุการณ์ต่างๆ
เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ซึ่งขณะนั้นกำลังทรงศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์และเหลือเวลาอีกประมาณ
๓ ปี
ก็จะทรงได้รับปริญญาเอก
ก็ได้เสด็จนิวัติฯ
กลับประเทศไทยอีกครั้ง
โดยทางเครื่องบินที่กองทัพอากาศของรัฐบาลอังกฤษจัดถวาย
เสด็จฯถึงกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่
๕ ธันวาคม
พุทธศักราช
๒๔๘๘
ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ
๒๑ พรรษา
ซึ่งทรงบรรลุพระราชนิติภาวะแล้ว
ในการเสด็จนิวัติฯ
ประเทศไทยครั้งนี้
เดิมทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะประทับอยู่ในเมืองไทยแค่
๑ เดือน
จากนั้นจะเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิสเซอร์แลนด์
เพื่อให้ทันการเปิดภาคเรียนใหม่ในกลางเดือนมกราคม
๒๔๘๙
แต่เนื่องจากทรงมีพระราชกรณียกิจในฐานะองค์พระประมุขของประเทสไทยมากมาย
ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นของประเทศชาติและพสกนิกร
ทำให้ทรงเลื่อนหมายกำหนดการที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิสเซอร์แลนด์ออกไปเป็นวันที่
๑๓ มิถุนายน
พุทธศักราช
๒๔๘๙