ประวัติเมืองตราด
ประวัติศาสตร์เมืองตราดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า เมืองตราดมีประวัติความเป็นมาอย่างไร แต่เท่าที่ค้นพบในสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ( ปีพุทธศักราช 1991- 2031) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงเป็นบ้านเป็นเมืองครั้งใหญ่ขึ้น
โดยจัดแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ส่วนกลางประกอบไปด้วยฝ่ายทหารและพลเรือน สำหรับส่วนภูมิภาคได้แบ่งเมืองต่างๆ
ออกเป็น หัวเมืองเอก หัวเมืองโท
หัวเมืองตรีและหัวเมืองจัตวา ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม
ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ไม่ปรากฏชื่อของเมืองตราดแต่อย่างใด
เพียงแต่บอกชื่อว่า " หัวเมืองชายทะเล หรือบรรดาหัวเมืองชายทะเล
" เท่านั้น
ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ปรากฏว่า
บรรดาหัวเมืองชายทะเลแถบตะวันออกนั้น มีชื่อเรียกแต่เพียงว่า"
บ้านบางพระ" ในตอนปลายของสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่าบรรดาเสนาบดีจัตุสดมภ์ทั้งหลาย
ได้พากันเเบ่งหัวเมืองต่างๆ ให้ไปขึ้นกับสมุหนายก สมุหพระกลาโหม และโกษาธิบดี
ซึ่งบรรดาหัวเมืองทั้งหลายในชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกนี้ก็มีปรากฎชื่อเมืองตราดไปขึ้นกับโกษาธิบดี
ทำการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศทางทะเล หลักฐานอีกทางหนึ่งเชื่อว่า คำว่า ตราด
นี้ อาจจะมีชื่อเพี้ยนมาจาก กราด อันเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งสำหรับใช้ทำไม้กวาด
ซึ่งในสมัยก่อนต้นไม้ชนิดนี้มักจะมีมากทั่วเมืองตราด จากหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนี่เอง
จึงทำให้เชื่อว่า เมืองตราด เป็นเมืองที่มีชื่อเรียกกันมาอย่างนี้กว่า 300 ปีมาแล้ว
และเป็นเมืองสำคัญซึ่งขึ้นอยู่กับฝ่ายการคลังของประเทศมาตั้งแต่สมัยของพระเจ้าปราสาททองแล้ว
จนกระทั่งก่อนจะเสียกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช 2310 พระเจ้าตากสินได้รวบรวมกำลังทหารจำนวนหนึ่ง
ตีฝ่าวงล้อมของพม่าข้าศึก หนีออกจากกรุงศรีอยุธยา เดินทางไปรวมตัวกันทางทิศตะวันออก
โดยยกทัพไปถึงเมืองตราด ซึ่งปรากฏในพงศาวดาร กล่าวว่า "
หลังจากพระเจ้าตากสินตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว
เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 ปีกุน พุทธศักราช 2310 ก็ได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้กลับคืนมายังภูมิลำเนาเดิม
ครั้นเห็นว่าเมืองจันทบุรีเรียบร้อยอย่างเดิมแล้ว จึงยกกองทัพเรือลงไปยังเมืองตราด
พวกกรมกรและราษฎรก็พากันเกรงกลัวยอมอ่อนน้อมโดยดีทั่วทั้งเมือง และขณะนั้นมีสำเภาจีนมาทอดอยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ
เจ้าตากให้ไปเรียกนายเรือมาเฝ้า พวกจีนขัดขืน แล้วกลับยิงเอาข้าหลวง
เจ้าตากทราบ ก็ลงเรือที่นั่งคุมเรือรบลงไปล้อมสำเภาไว้ แล้วบอกให้พวกจีนมาอ่อนน้อมโดยดี
พวกจีนก็หาฟังไม่ กลับเอาปืนใหญ่น้อยระดมยิง รบกันอยู่ครึ่งวัน เจ้าตากก็ตีได้เรือสำเภาจีนทั้งหมดได้ทรัพย์สินสิ่งของเป็นกำลังทรัพย์เป็นอันมาก
เจ้าตากจัดการเมืองตราดเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองจันทบุรี
"ประชุมพงศาวดาร
เล่มที่ 6 หน้า ( 164-165)
ในปีพุทธศักราช 2313 เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) ได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว
เขมรได้ยกกองทัพเข้ามาตีเมืองตราด แต่แล้วก็ถูกตีพ่ายกลับออกไป ดังพงศาวดารกล่าวว่า
"
พุทธศักราช 2313 เขมรได้ยกกองทัพมาตีเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด) เมืองจันทบุรี
ในระหว่างนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ แต่กองทัพเมืองจันทบุรีได้ตีกองทัพเขมรแตกพ่ายไป
"(จากพงศาวดารชาติไทย
เล่มที่ 3 หน้า 499 พระบริหารเทพธานี) ในข้อความจากพงศาวดารชาติไทยดังกล่าว ได้เรียกชื่อจังหวัดตราดในขณะนั้นว่า
"เมืองทุ่งใหญ่" ซึ่งอันที่จริงแล้ว คำว่า ทุ่งใหญ่ เป็นเพียงชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดตราดในสมัยต่อมาเท่านั้น
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้เพียงปีเดียว คือในปีพุทธศักราช
2314 ก็ได้มีกองทัพเขมรยกมาตีเมืองตราดอีก และในครั้งนั้นกองทัพไทยได้ตามตีกองทัพเขมรไปจนถึงเมืองพระตะบอง
เมืองบันทายมาศ เมืองบริบูรณ์ และเมืองบาพนม อีกด้วย ซึ่งนับจากนั้นมาก็ไม่ยอมปรากฏว่ามีกองทัพเขมรยกเข้ามารบ
กวนไทยอีกเลย ดังนั้นเหตุการณ์หลังจากปีพุทธศักราช 2314 เป็นต้นมา จึงไม่มีเรื่องของเมืองตราดปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารอีก
จนกระทั่งสิ้นสมัยกรุงธนบุรีไป ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ก็ได้มีหลักฐานปรากฏว่า มีการจัดแบ่งหัวเมืองต่าง ๆ ให้ขึ้นต่อกลาโหม มหาดไทย และกรมท่า
ซึ่งก็ปรากฏว่า เมืองตราดได้ขึ้นอยู่กับกรมท่า ดังหลักฐานปรากฏนี้ "
ให้แบ่งหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก
ซี่งขึ้นกับกรมท่า 19 เมือง กรมมหาดไทย 20 เมือง กับเมืองมหาดไทย 1 ยังคงเมืองขึ้นกรมท่าอีก
8 เมือง คือ เมืองนนทบุรี 1 เมืองสมุทรปราการ 1 เมืองสาคาบุรี 1 เมืองบางละมุง
1 เมืองระยอง 1 เมืองจันทบุรี 1 เมืองตราด 1
" ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
3 ในปีพุทธศักราช 2384 ทางประเทศญวนได้เกิดกระด้างกระเดื่องต่อประเทศสยาม จึงมีรับสั่งให้ยกกองทัพเรือไปตีเมืองญวน
ในการยกทัพไปในครั้งนี้มีหลักฐานยืนยันได้ว่า ได้ยกทัพผ่านไปทางเมืองตราด และได้มีรับสั่งให้เจ้าเมืองตราดนำกำลังไปร่วมสมทบ
ดังความในพระราชพงศาวดารว่า "ฝ่ายทัพเรือจึงรับสั่งให้จมื่นไวยวรนาถจัดนายทัพ
นายกอง เข้าตีเมืองบันทายมาศ ให้พระยาพิชิต พระราชวรินทร์ พระเทพสงคราม ปลัดเมืองจันทรบุรี
คุมทัพเมืองจันทบุรี เมืองตราด เมืองระยอง 600 คน พระยาโสรัชชะ ออกญาเสนาอับชิต
เจ้าเมืองกำปอด คุมเขมร 2,000 คน เข้าตีค่ายญวนแตก ณ เดือน 4 แรม 14 ค่ำ ตรงกับวันพฤหัสบดี
ที่ 10 มีนาคม" ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่
4 (ระหว่างปีพุทธศักราช 2394 - 2411) มีหลักฐานเกี่ยวกับจังหวัดตราดน้อยมาก นอกจากได้มีประกาศตั้งเกาะกง
ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ในบริเวณเมืองตราด ซึ่งเป็นเมืองขึ้นปัจจันตคีรีรัตน ในปีพุทธศักราช
2398 เท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 ระหว่างปีพุทธศักราช 2411 - 2453 ได้มีเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์
เกิดขึ้นที่เมืองตราดหลาย ๆ เหตุการณ์ กล่าวคือ ในปีพุทธศักราช 2446 มีพวกชนมะหล่องต่องสู่
และพวกไทยใหญ่ซึ่งเรียกตนเองว่า กุลา หรือกุหล่า ได้เดินทางอพยพเข้ามาทำมาหากินอยู่ในเขตพื้นที่เมืองตราดจำนวนหนึ่ง
(คำอำเภอบ่อไรในปัจจุบัน) โดยผู้คนกลุ่มนี้ได้เข้ามาประกอบอาชีพในการขุดหาพลอย
ซึ่งพวกนี้มีความชำนาญ จนกระทั่งเป็นชุมชนใหญ่ มีรากฐานมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
และเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับเมืองตราดก็คือ เมื่อปีพุทธศักราช
2446 ประเทศไทยได้เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศส อันสืบเนื่องมาจากการตกลงทำสัญญากับฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 ( ตรงกับ รศ. 122) ซึ่งทำให้ไทยจำต้องยกดินแดนจังหวัดตราด
และเกาะต่าง ๆ ตั้งแต่อำเภอแหบมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีไปจนถึงเกาะกูด และเมืองปัจจันตคีรีเขตเกาะกง
ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนให้ฝรั่งเศสถอนกองทหารออกไปจากจันทบุรี โดยสัญญาฉบับนี้ให้สัตยาบันต่อกัน
และมีผลต่อกองทหารฝรั่งเศสต้องถอนทหารออกไปจากจันทบุรีตามสัญญา เมื่อวันที่ 12
มกราคม พุทธศักราช 2447 จากนั้น จังหวัดตราดและเกาะต่าง ๆ ก็ตกไปเป็นของฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่
22 มกราคม พุทธศักราช 2447 จนกระทั่งถึงวันที่ 6 กรกฎาคม พุทธศักราช 2450 (รศ.
126) ซึ่งประเทศไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญาฉบับใหม่ขึ้นอีกครั้ง โดยไทยได้ยินยอมยกเมืองเสียมราฐ
พระตะบอง และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองตราดและเกาะแก่งต่าง ๆ กลับคืนมาสู่อธิปไตยของไทยอีกครั้งหนึ่งจนถึงปัจจุบัน