อีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสคืออะไร
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด
ติดต่อได้ด้วยการไอ จาม
หรือหายใจรดกัน
หรือโดยการสัมผัส
ตลอดจนการใช้ของร่วมกับผู้ที่เป็นอีสุกอีใส
เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม
หรือที่นอน
โดยปกติจะมีระยะฟักตัวประมาณ
๒-๓ สัปดาห์
ซึ่งโดยทั่วไป
มักจะระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูฝน
เช่นเดียวกับหัด
แต่จะพบได้ประปรายตลอดทั้งปี
โดยมากพบในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง
5-12 ปี
รองลงมาจะเป็นกลุ่มเด็กอายุ 1-4
ปี
กลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
ตามลำดับ
อาการของโรค
เด็กที่เป็นจะมีไข้ต่ำ
อ่อนเพลียและเบื่ออาหาร
ส่วนผู้ใหญ่มักจะมีไข้สูง
มีปวดเมื่อยตามเนื้อตัวคล้ายไข้หวัด
ขณะเดียวกันก็จะมีผื่นขึ้นพร้อมๆ
กับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังมีไข้
โดยในระยะแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน
ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูน
มีน้ำใสๆ และคัน ต่อมาอีก 2-3 วันก็จะตกสะเก็ด
ผื่นและตุ่มเหล่านี้จะขึ้นตามไรผมก่อนแล้วกระจายไปตามใบหน้าและลำตัว
แผ่นหลัง
บางคนจะมีตุ่มขึ้นในช่องปากทำให้ปากและลิ้นเปื่อย
จะเกิดอาการเจ็บคอ
บางคนอาจไม่มีไข้
มีเพียงผื่นและตุ่มขึ้นเท่านั้น
ผื่นจะขึ้นมากที่สุดที่ใบหน้าและลำตัว
เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงและมีตุ่มขึ้นมากกว่าเด็ก
โดยทั่วไปผื่นหายได้โดยไม่มีแผลเป็น
ยกเว้นมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน
โรคนี้เมื่อหายแล้วมักจะมีเชื้อหลบอยู่ที่ปมประสาท
ซึ่งอาจจะออกมาเป็น งูสวัด
ในภายหลังได้
เนื่องจากผื่นและตุ่มที่ขึ้นนี้จะค่อยๆขึ้นทีละระลอก
ไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย
บางทีจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบ
บางทีขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสๆ
บางทีขึ้นเป็นตุ่มกลัดหนอง
และบางทีเริ่มตกสะเก็ด
จึงทำให้คนสมัยก่อนเรียกโรคนี้ว่า
อีสุกอีใส
อาการแทรกซ้อน
ที่พบบ่อยคือ
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนัง
ทำให้กลายเป็นหนองและมีแผลเป็นตามมา
ในบางรายเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อนอาจกระจายเข้าไปในกระแสเลือดทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษและปอดบวมได้
ในผู้ใหญ่ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
เช่นได้รับยารักษามะเร็ง
หรือ สเตอรอยด์
เชื้ออาจจะกระจายไปยังอวัยวะภายในเช่น
สมอง ปอด ตับ ได้
การรักษา
เนื่องจากเป็นโรคที่หายเองได้
โดยอาจจะมีไข้อยู่เพียงไม่กี่วัน
ส่วนตุ่มจะตกสะเก็ดและค่อยๆหายใน
1-3
สัปดาห์
ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อน
และดื่มน้ำมากๆ
ถ้ามีไข้สูงใช้ยา พาราเซตามอล
เพื่อลดไข้ได้ ไม่ควรใช้
แอสไพริน
เพราะอาจทำให้เกิดอาการทางสมองและตับ
ทำให้ถึงตายได้
ควรอาบน้ำและใช้สบู่ฟอกหนังให้สะอาด
ควรตัดเล็บให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะเกา
เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้
ในรายที่คันมากๆ
อาจให้ยาแก้คัน เช่น คลอเฟนิรามีน
ช่วยลดอาการคันได้
ในปัจจุบัน
มียาที่ใช้ยับยั้งการเจริญของไวรัส
แต่ต้องใช้ในขนาดสูงและราคาแพงมาก
นอกจากนี้จะต้องเริ่มใช้ภายในวันแรก
มิฉนั้นอาจไม่ได้ผล
หรือไม่ได้ผลดี
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับอีสุกอีใส
1. โรคนี้เมื่อเป็นแล้วอาจมีโอกาสเป็น
งูสวัด ได้ในภายหลัง
2. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหากเพื่อป้องกันการติดต่อ
โดยระยะแพร่เชื้อจะเริ่มตั้งแต่
24 ชม. ก่อนที่ผื่นหรือตุ่มแห้งหมด
ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6-7 วัน
3. ไม่มีของแสลง
4. ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรค
อีสุกอีใส แล้ว