โรคเก๊าฑ์
นพ.สุเมธ เถาหมอ
โรคเก๊าท์ เกิดจากภาวะที่กรดยูริคในเลือดมีปริมาณสูงเกินไป เกินกว่าที่จะสามารถอยู่ในเลือดในรูปสารละลายได้ จึงมีการตกตะกอนสะสมอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาศเย็นกว่าบริเวณอื่น เช่น ตามข้อ ทำให้ข้ออักเสบ หรือ ตามศอก นิ้ว ติ่งหู ตาตุ่ม หลังเท้าทำให้เกิดปุ้มก้อนเกิดขึ้น
สาเหตุ
สาเหตุของเก๊าท์
เกิดเนื่องจากร่างกายมีกรดยูริคสูงเกิน
เป็นเวลานาน สำหรับผู้ชาย
ระดับยูริคจะสูงตั้งแต่ ในช่วงวัยรุ่น
แต่ผู้หญิงด้วยฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศ
จะไม่สูง
แต่จะสูงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว
ระดับยูริคที่สูงจะไม่ทำให้เกิดอาการ
แต่จะสะสมตกตะกอน
ไปเรื่อย ๆ
จนเริ่มมีอาการทางข้อเมื่อกรดยูริค
ในเลือดสูงไปประมาณ 10-20
ปีแล้ว
ยูริคในเลือดที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายผลิตเอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้ป่วย
โรคเก๊าท์งดอาหารใด
ๆ ที่มียูริคสูงเลยและการกินอาหารที่มียูริคสูง
(ที่คนทั่วไปเข้าใจกันเช่น
เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก) ก็ไม่ได้ทำให้
เกิดโรคเก๊าท์แต่อย่างใดและเนื่องจากโรคเก๊าท์มักเป็นในผู้ป่วยที่มีอายุค่อนข้างมาก
ซึ่งมักจะมีโรคอื่นร่วมด้วย
เช่น เบาหวาน
ความดันเลือดสูง
ซึ่งจำเป็นต้องงดอาหารหวาน
อาหารเค็มอยู่แล้ว การให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารอีก
จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกินอาหารอะไรได้เลย
(ยกเว้นไปกินแกลบ กินหญ้า) เป็นการทรมานผู้ป่วยเปล่า
ๆ
อาการของเก๊าท์ที่สำคัญคือ
ข้ออักเสบ
มักเกิดที่บริเวณนิ้วหัวแม่เท้า,
ข้อเท้า เป็นต้น
โดยข้อที่อักเสบ จะบวม แดง
ร้อน และปวดมาก ชัดเจน (ถ้าข้อที่ปวด
ไม่บวม แดง ร้อน
หรือมีอาการไม่ชัดเจนให้สงสัยไว้
ก่อนว่าไม่ใช่เก๊าท์)
โดยมากมักเป็นข้อเดียวและมีอาการอักเสบอยู่ประมาณ
5-7 วัน
อาการจะค่อย ๆ
ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท
ระหว่างที่ไม่มีอาการ
จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ
ให้เห็น เมื่อข้ออักเสบขึ้นใหม่
จะมีอาการเช่นเดิมอีก
อาการจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย
ๆ จนกระทั่งเป็นมากขึ้น อาการข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้นหลายข้อมากขึ้น
เป็นนานและรุนแรงขึ้น
รวมทั้งเกิดปุ่มก้อนของยูริค
สะสมมากขึ้น
ผู้ป่วยระยะนี้มักมีไตวายร่วมด้วย
การรักษาเก๊าท์แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1.
การรักษาข้ออักเสบ ในช่วงนี้แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบของข้อก่อน
โดยใช้ยา โคลชิซิน
หรือยาแก้ปวดลดอักเสบ หรือใช้ร่วมกัน
เพื่อลดอาการปวดข้อและอักเสบ
ยาโคลชิซินโดยทั่วไปแนะนำให้ใช้
ไม่เกินวันละ 3-4 เม็ด โดยกินยาทุก
4 ชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด
การใช้ยาตามคำแนะนำของต่างประเทศที่ว่าให้กินทุก
1
ชั่วโมงจนหายปวดหรือจนเกิดผลข้างเคียงคือท้องเสียนั้น
ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะข้อไม่เคยหายอักเสบก่อนท้องเสียเลย
ดังนั้นผู้ป่วยจะท้องเสียทุกรายและมีความรู้สึก
ที่ไม่ดีต่อการใช้ยานี้
การกินยาไม่เกิน 3-4
เม็ดต่อวัน
โอกาสเกิดผลข้างเคียงนี้
น้อยมาก
ผู้ป่วยเก๊าท์ในระยะข้ออักเสบ
ห้ามนวด! เด็ดขาด
เพราะจะทำให้ข้ออักเสบเป็นรุนแรงขึ้น
หายช้าลงได้
2.
การลดกรดยูริคในเลือด
โดยใช้ยาลดกรดยูริค
ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบมากกว่า
1 ครั้ง ควรให้ยาลดกรดยูริคถ้าทำได้
การกินยาดังกล่าวจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องสม่ำเสมอไปนานหลายปี
ทั้งนี้เพื่อลดระดับยูริคในเลือดลง
ทำให้ตะกอนยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกจนหมดผู้ป่วยจะสามารถหายจาก
โรคเก๊าท์ได้
แต่ข้อควรระวังคือ
- ยาลดกรดยูริค
มีผลข้างเคียงที่แม้จะพบไม่มากแต่สำคัญ
คือทำให้เกิดผื่นแพ้ยารุนแรง
และลอก เป็นอันตรายมาก
การกินยาไม่สม่ำเสมอ
กิน ๆ หยุด ๆ
เสี่ยงต่อการแพ้ยามาก
ดังนั้นผู้ป่วยที่ไม่สามารถจะกินยาสม่ำเสมอได้
ไม่แนะนำให้กินยา
-
เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นเก๊าท์
ให้การวินิจฉัยโดยลักษณะอาการทางคลินิค
ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริคในเลือด
ดังนั้นผู้ที่เจาะเลือดแล้วมียูริคสูง
ไม่ได้บอกว่าเป็นเก๊าท์ ถ้าไม่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์มาก่อน
ไม่จำเป็นต้องรักษา
มีผู้เข้าใจผิดอยู่มาก
โดยให้กินยาลดกรดยูริคเมื่อตรวจพบเพียงแต่ยูริคในเลือดสูง
เพราะยูริคในเลือดสูง
ไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกราย แต่การกินยาจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาข้างต้นได้