นิ่วในถุงน้ำดี
นิ่วในทางเดินน้ำดี
มีส่วนประกอบที่สำคัญได้แก่
โคเลสเตอรอล บิลิรูบิน
และแคลเซียม
นิ่วเกิดจากความไม่สมดุลของส่วนประกอบต่างๆในน้ำดี
ทำให้เกิดการตกตะกอนออกมาเป็นนิ่ว
พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อายุระหว่าง 40-60 ปี
และจะพบได้บ่อยขึ้นในคนที่มีปัญหาเรื่องโรคเลือดเช่น
ธาลัสซีเมีย
อาการแบ่งออกเป็น
2 แบบ
1. แบบไม่มีอาการ
มักตรวจพบโดยบังเอิญ
ขณะตรวจโรคอื่นหรือตรวจร่างกายประจำปี
2. แบบที่มีอาการ
มักมีอาการแน่น อืดท้อง
อาหารไม่ย่อย
มีลมมากหรือปวดเป็นพักๆที่บริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
ร่วมกับคลื่นไส้อาเจียนซึ่งมักเป็นหลังจากทานอาหารมันๆ
ส่วนในกลุ่มที่มีการอักเสบของถุงน้ำดี
อาการปวดท้องจะมากขึ้น
อาจปวดทะลุหลัง มีไข้
คลื่นไส้ อาเจียน
และอาจจะตัวเหลืองตาเหลืองร่วมด้วยก็ได้
การวินิจฉัย
1. ตรวจร่างกายจะกดเจ็บที่บริเวณชายโครงด้านขวา
อาจตัวเหลืองตาเหลือง
ในรายที่มีการอุดตันของท่อน้ำดีร่วมด้วย
2. การตรวจทางรังสีวิทยา
2.1 ถ่ายภาพรังสีช่องท้องพบนิ่วได้
33-48 %
2.2 อัลตร้าซาวด์
เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน
การรักษา
ผู้ที่ตรวจพบนิ่วในถุงน้ำดีโดยที่ยังไม่มีอาการ
ไม่มีข้อบ่งว่าจะต้องรับการผ่าตัดรักษา
ยกเว้นในกรณีผู้ป่วยบางกลุ่มเช่น
เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง
โรคหัวใจ เป็นต้น
ซึ่งในกรณีนี้หากมีการอักเสบของถุงน้ำดีและต้องมีการผ่าตัดฉุกเฉินจะทำให้มีอันตรายมากขึ้น
ดังนั้นในรายที่มีโรคดังกล่าวและสามารถควบคุมโรคได้ดีแล้วจึงค่อยพิจารณาทำผ่าตัดต่อไป
ส่วนในรายที่มีนิ่วในถุงน้ำดีและมีอาการแล้ว
แนะนำให้ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วออกทุกราย
นิ่วในถุงน้ำดีควรได้รับการผ่าตัดแบบไหน
การผ่าตัดโดยวิธีเปิดหน้าท้อง
เป็นวิธีมาตรฐานดั้งเดิม
แผลผ่าตัดยาวประมาณ 10-15
ซม. ใช้เวลาพักฟื้นราว
5-10 วัน
การผ่าตัดโดยวิธีใช้กล้องส่องผ่าตัด
เป็นมาตรฐานใหม่ที่ได้ผลดีเท่ากับวิธีผ่าตัดเปิดหน้าท้อง
แต่มีข้อดีที่แผลเล็ก
หลังผ่าตัดเจ็บน้อยกว่า
ใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลราว 48 ชั่วโมง
ฟื้นตัวได้เร็ว
และกลับไปใช้ชีวิตปกติหรือกลับไปทำงานได้เร็วกว่าวิธีเปิดหน้าท้อง
อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่อาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีเปิดหน้าท้องได้ราว
5-10 % ถ้าหากศัลยแพทย์เห็นว่าการผ่าตัดเช่นนั้นต้องทำด้วยความยากลำบาก
ลักษณะกายวิภาคไม่ชัดเจน
มีการอักเสบมาก
หรือมีโอกาสเสี่ยงอันตรายหรือจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้