โรคหัวใจขาดเลือดและแนวทางป้องกัน
นพ.ทินกร พงศ์อรพินท์
ภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด จนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอย่างหนึ่ง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้แก่
1.ความดันโลหิตสูง
2.ไขมันในเลือดสูง
3.การสูบบุหรี่
4.เบาหวาน
5.ความเครียด
6.การขาดการออกกำลังกาย
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆนี้ เป็นตัวเสริมและเร่งให้เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจแข็งและพอกพูนจนตีบตัน ทำให้ปริมาณเลือดผ่านไปเลี้ยงหัวใจน้อยลง จึงเรียกว่า หัวใจขาดเลือด
อาการ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด มีอาการได้หลายอย่างแต่อาการที่พบบ่อย คือ อาการแน่นจุกหน้าอก ซึ่งจะมีลักษณะจำเพาะดังนี้
-ตำแหน่งของอาการจุกแน่นหน้าอก
ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงกึ่งกลางหน้าอกค่อนลงไปทางลิ้นปี่เล็กน้อย และมักมีความรู้สึกอยู่ลึกๆในหน้าอกตรงบริเวณนั้น
-ลักษณะอาการจุกแน่นหน้าอก
มักมีความรู้สึกอึดอัด จุกๆแน่นๆ ในหน้าอกเหมือนถูกทับด้วยของหนัก หรือถูกบีบรัด มักจะร้าวไปยังไหล่ซ้าย หรือแขนซ้าย บางครั้งไปที่กรามซ้าย มักมีอาการราว 2 - 10 นาที ถ้าได้นั่งพักหรือใช้ยาขยายหลอดเลือดอมใต้ลิ้นสักพัก อาการเหล่านี้มักหายไป แต่ถ้าอาการไม่หายไปหรือเป็นมากขึ้นแสดงว่าหัวใจขาดเลือดอยู่ในขั้นรุนแรง
-ผู้ป่วยบางรายมักมีอาการ ใจสั่น ใจหวิว ชีพจรเต้นผิดปกติ มีอาการเหงื่อซึม เป็นลม หน้ามืด อึดอัด ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้นก็จะมีอาการเหนื่อยหอบ ช๊อกและหมดสติ
เมื่อมีอาการของโรคหัวใจขาดเลือดควรปฎิบัติอย่างไร
ควรพบแพทย์โดยด่วน เพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยตามขั้นตอนต่างๆ และวางแผนให้การรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป การตรวจมักประกอบด้วย การสัมภาษณ์พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยง การตรวจร่างกายทั่วไป รวมทั้งโรคอื่นๆด้วย วิธีการตรวจด้วยเครื่องมือต่างๆ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การฉายภาพรังสีที่ทรวงอก การตรวจเลือดหาระดับน้ำตาลและไขมัน การฉีดสารทึบแสงเพื่อดูสภาพการตีบตันของหลอดเลือด เป็นต้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
-ควบคุมอาหาร โดยรับประทานอาหารที่มีโคเลสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวน้อย อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงได้แก่ ไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ ครีม เนย กะทิ เป็นต้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว รวมทั้งน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลืองแทน ไม่ควรทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะหวานและเค็ม ควรเลือกรับประทานผักสด ผลไม้ ให้มากขึ้น สำหรับวิธีการประกอบอาหารควรเลือกวิธี ต้ม นึ่ง หรือตุ๋น จะดีกว่าการผัดหรือทอด
-งดสูบบุหรี่และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีผู้กำลังสูบบุหรี่อยู่
-ควบคุมเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอประมาณสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง