home

                                       ข้อเคล็ด
                                                                                            
นพ.สุเมธ เถาหมอ

ข้อเคล็ดมักเป็นผลจากการหมุนตัวหรือการยืดของข้อ มากเกินไป ทำให้เอ็นยึดข้อฉีกขาดได้ เอ็นยึดข้อเป็นเนื้อเยื่อพังผืดที่ยืดหยุ่นได้ และมีความเหนียวมากพอควร ทำหน้าที่ยึดกำกับข้อต่าง ๆ ไว้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันมิให้ข้อหลุดหรือเคลื่อน

ข้อเคล็ด อาจเกิดได้กับทุกๆข้อ แต่ข้อเท้า เป็นบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดข้อเคล็ดหรือเท้าแพลงมากที่สุด เนื่องจากต้องรับน้ำหนักร่างกายเกือบทั้งหมดและเป็นข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก ในกิจกรรมประจำวัน และมีโอกาสเป็นแล้วเป็นซ้ำบ่อยกว่าข้ออื่นๆ เช่น เมื่อเกิดข้อเท้าพลิกไปนั้น เอ็นยึดข้อจะพยายามต้านแรงดึงที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน ในขณะนั้น ในกรณีที่ต้านไม่อยู่ เส้นใยของเอ็นยึดข้อก็จะเริ่มมีการ ฉีกขาดบางส่วนหรือเกือบทั้งหมด ตามความรุนแรง แต่โอกาสที่จะฉีกขาด 2 ท่อนไปเลย จะมีน้อยมาก

ข้อเคล็ด อาจแบ่งเป็น 3 ระดับความรุนแรง

  1. ระดับที่หนึ่ง
    เส้นใยของเอ็นยึดข้อถูกเหยียดออกมากเกินไป และบางเส้นใยอาจฉีกขาด ทำให้รู้สึกปวดเล็กน้อยเวลาจับ หรือเคลื่อนไหวข้อนั้น แต่จะมีอาการบวมไม่มาก หรือไม่มีเลย แบบนี้ยังสามารถเดินลงน้ำหนักได้ ตามปกติ ถ้าเอ๊กซเรย์ดูจะพบว่าทุกอย่างปกติ
  2. ระดับที่สอง
    เอ็นยึดข้อมีการฉีกขาดบางส่วน จะมีอาการปวดและกดเจ็บมากพอควร รวมทั้งมีอาการบวมและฟกช้ำ เพราะการฉีกขาดของเส้นโลหิตเล็ก ๆ ทำให้มีเลือดออก
  3. ระดับที่สาม
    เอ็นยึดข้อใดข้อหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งเกิดการฉีกขาดจากกันทั้งหมด ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดมาก บวมและฟกช้ำมาก ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวข้อ หรือลงน้ำหนักได้

การรักษาข้อเคล็ดและกล้ามเนื้อฉีก ขึ้นกับความรุนแรงของการบาดเจ็บ แต่สิ่งที่จะต้องรีบทำ คือ การปฐมพยาบาล ซึ่งถือได้ว่าเป็นการรักษาที่สำคัญมากคือ

  1. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวบริเวณที่บาดเจ็บ เช่น การใช้ไม้ดาม ใช้ผ้ายืดพัน หรือใช้ไม้เท้า
  2. ต่อจากนั้นให้ประคบด้วยความเย็น เช่น ใช้ผ้าหุ้มก้อนน้ำแข็ง ประคบบริเวณที่บาดเจ็บ ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ช่วยให้เลือดไม่ออกมากภายในเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยลดการบาดเจ็บ ลดการอักเสบ และลดบวม ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อเกิดการบาดเจ็บใหม่ๆในระยะ 24-48 ชั่วโมงแรก ให้ใช้ความเย็น โดยประคบด้วยความเย็นครั้งละไม่เกิน 20 นาที วันละหลาย ๆ ครั้ง

อีกอย่างที่จะช่วยลดอาการบวมได้ก็คือ ใช้ผ้ายืดพันรอบข้อที่เคล็ด และยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูง เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ไม่คั่งอยู่บริเวณที่บาดเจ็บ เช่นในกรณีข้อเท้าแพลง เวลานั่งควรยกเท้าพาดเก้าอี้ ไม่ควรนั่งห้อยเท้านานๆ หรือ เวลานอนก็ใช้หมอนรองขาเพื่อยกเท้าให้สูงขึ้น

  1. ถ้าปวดมากก็อย่าลืมกินยาแก้ปวด ยาพาราเซตตามอล เป็นยาที่ได้ผลดีและค่อนข้างปลอดภัย สามารถหาซื้อมากินเองได้ (ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับ) ส่วนยาแก้ปวดลดการอักเสบ มักจะเกิดผลข้างเคียงโดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคกระเพาะ จึงควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
  2. เมื่อพ้นระยะ 24-72 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ) ในระยะนี้ควรจะใช้ความร้อนช่วย ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น เครื่องมือทางกายภาพ เช่น กระเป๋าไฟฟ้า ถุงร้อน อัลตร้าซาวด์ หรือการใช้ยาเฉพาะที่ เช่น ครีม โลชั่น น้ำมัน สเปรย์

ตามปกติข้อเคล็ดระดับที่ 1 และระดับที่ 2 จะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าถึงเวลาดังกล่าวแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์ ในกรณีที่เห็นว่าน่าจะเป็นข้อเคล็ดชนิดรุนแรง หลังจากประคบด้วยน้ำแข็งแล้ว ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะถ้ารักษาช้าเกินไปหรือรักษาไม่ถูกต้อง จะกลายเป็น บวม ปวดเรื้อรัง และรู้สึกว่าข้อไม่มั่นคง ใช้ข้อได้ไม่ดี

 

จะเริ่มออกกำลังได้เมื่อไร

ความจริงแล้วเราเริ่มออกกำลังได้ตั้งแต่ระยะแรก แต่จะไม่มีการเคลื่อนไหวของส่วนที่บาดเจ็บ จะยกตัวอย่างใน กรณีของการบาดเจ็บที่ข้อเท้า เราสามารถออกกำลังของขา และ นิ้วเท้าได้โดยการเกร็งกล้ามเนื้อเบาๆ อย่าให้ถึงกับเจ็บ ทำได้บ่อยๆ

เมื่อพ้นระยะของการอักเสบ เราต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่นการลีบอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ หรือการยึดติดของข้อ ดังนั้นต้องออกกำลังและเคลื่อนไหวบริเวณข้อที่บาดเจ็บให้มากขึ้น

ข้อควรระวัง คือต้องทำในขนาดที่พอเหมาะไม่มากเกินไปจนเกิดการบาดเจ็บซ้ำอีก ต้องทำช้าๆ และเริ่มจากเบาๆ ก่อน ให้ใช้ความรู้สึกเจ็บเป็นตัวกำหนด ถ้ารู้สึกเจ็บมากก็แสดงว่าทำมากหรือรุนแรงเกินไป

ข้อแนะนำเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายให้แข็งแรง

  • โดยทั่วไปเส้นเอ็นที่ฉีกขาด จะเริ่มติดต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 อาทิตย์ แต่จะติดสนิทเหมือนเดิมต้องใช้เวลา 4-6 เดือน
  • ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงก็ต้องใช้เวลานานมากขึ้น
  • ในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังจากได้รับบาดเจ็บ ก็จะต้องพยายามฟื้นฟูร่างกายให้คืนสู่สภาพปกติ แต่ต้องจำไว้ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ซึ่งก็มีแนวทางทั่ว ๆ ไปคือ
  1. เริ่มออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรง เช่นการยกน้ำหนักเท่าที่เราสามารถยกได้ และค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้น
  2. ออกกำลังเพื่อเพิ่มความทนทานควบคู่ไปด้วยซึ่งทำได้โดยการใช้น้ำหนักต้านที่เบาๆ (หนักประมาณ 20-40% ของน้ำหนัก ที่สามารถยกได้) แต่ต้องยกติดต่อกันหลายๆครั้ง
  3. ต้องเพิ่มความทนทานให้ระบบหัวใจ หลอดเลือด และปอดด้วย ทำได้โดยการออกกำลังแบบแอโรบิก ต่อเนื่องกันประมาณ 30 นาที