โรคพิษสุนัขบ้า
( R A B I E S )
สาเหตุ
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า หรือ Rabies virus
เป็น RNA ไวรัสจัดอยู่ใน Family Rhabdoviridae เชื้อนี้
คงทนอยู่ในเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อได้นานถ้าเก็บไว้ในกลีเซอรีน หรือ 50%
glycerol saline และเก็บไว้ที่ 4 ซ หรือทำเป็น
suspension แล้วเก็บไว้ในที่เย็นจัด -30 ถึง 60 องศาเซลเซียส แต่เมื่อเชื้ออยู่นอกร่างกายจะถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน
(ถูกทำลายทันทีในน้ำเดือด) ความแห้ง แสงแดด และแสงอุลตราไวโอเลต สำหรับยาฆ่าเชื้อจะถูก
inactivate ได้ง่ายด้วย
70% ethanol, 0.1% quaternary ammonium compounds และ organic iodine compounds
การติดต่อของโรค
การติดต่อโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์และในคนในสภาพธรรมชาติเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าเกิดจากการที่ถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าะถูกข้บออกมากับน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรคนี้
ช่วงระยะเวลาของการตรวจพบเชื้อในน้ำลายในสัตว์ชนิดต่าง ๆ อาจแตกต่างกันไปบ้าง
เช่น ในสุนัขพบว่าเชื้อโวรัสโรคพิษสุนัขบ้าถูกขับออกมาในน้ำลายตั้งแต่
3 วันก่อนที่สุนัขจะแสดงอาการของโรคถึงสองวันหลังจากที่แสดงอาการของโรคแล้ว
ในแมวพบว่าเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าจะถูกขับออกมาในน้ำลายตั้งแต่ก่อนแสดงอาการของโรคหนึ่งวันถึงสามวันหลังจากแสดงอาการ
ทั้งในสุนัขและแมวเมื่อมีเชื้อไวรัสออกมาในน้ำลายแล้วเชื้อนี้จะถูกขับออกมาติดต่อกันจนกระทั่งตาย
การติดโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์โดยช่องทางอื่น ที่นอกเหนือจากการถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัน
หรือเลียผ่านเยื่อเมือก หรือบาดแผลที่ตัวสัตว์แล้ว ยังมีช่องทางการติดต่อของโรคได้โดยช่องทางต่อไปนี้
- การติดต่อผ่านทางรกในขณะตั้งท้องในปัจจุบันได้มีรายงานการพิสูจน์ยืนยันการติดโรคซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าทั้งในแม่และลูกในท้อง
- การติดโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ในปัจจุบันยังไม่เคยมีรายงานการติดต่อที่เกิดจากการลูกเห็บกัน
และจากการทดลองก็ไม่พบว่าเห็บสามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า
- การติดโรคพิษสุนัขบ้าในคนโดยช่องทางอื่น ที่นอกเหนือจากการที่ถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าเลีย
โดยเชื้อจะผ่านเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลและผ่านเข้าทางเยื่อเมือกต่าง
ๆ เช่น ตา จมูก ปาก หรืออวัยวะเพศได้
- การติดโรคโดยการหายใจ มีรายงานการติดโรคโดยการหายใจที่เกิดขึ้นทั้งในธรรมชาติและในห้องปฎิบัติการ
การติดโรคโดยช่องทางนี้ในธรรมชาติเกิดขึ้นในที่อับทึบโดยเฉพาะในถ้ำค้างคาว
หรือในห้องปฏิบัติการที่มิดชิดไม่มีอากาศจากภายนอกถ่ายเทโดยสะดวกการติดโรคระหว่างคนกับคน
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่ามีการติดโรคพิษสุนัขบ้าระหว่างคนที่เป็นโรคกับผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยก็ตาม
แต่การติดโรคเป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้เนื่องจากในสัปดาห์แรกของโรคจะตรวจพบเชื้อไวรัสในน้ำลาย
น้ำตา เสมหะและสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การติดโรคระหว่างคนกับคนนั้น
พิสูจน์ได้แดว่าเกิดขึ้นได้จากการกระทำของแพทย์ (iatrogenic) โดยเกิดขึ้นจากกรณีการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา
สำหรับการติดต่อผ่านทางรกจากแม่ไปยังลูกในครรภ์ยังไม่เคยมีรายงานในคน โดยทารกที่คลอดจากมารดาที่เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าที่มีรายงานปกติดี
พยาธิกำเนิด
(Pathogenesis)
ส่วนใหญ่เชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล หรือรอยถลอกที่ผิวหนังในเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าเคลื่อนตัว
ไปตามใยประสาทในอัตราประมาณ 3 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงหรือเร็วกว่านี้ เชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าที่ติดเข้าสู่ร่างกายจะตรวจพบในกล้ามเนื้อลายตรงที่ได้รับเชื้อและพบการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส
โดยการ budding บน plasma membranes ของ myocytes และพบ shedding ของเชื้อไวรัสในช่องว่างนอกเซลล์
ต่อมาพบเชื้อไวรัสใน neuromuscular และ neurotendinal spindles ช่วงระยะถัดมาจึงพบเชื้อในประสาทส่วนปลาย
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าถึงสมองจะเพิ่มจำนวนปริมาณมากแล้วเคลื่อนตัวโดย centrifugal
peripheral neural spread ไปตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะตำแหน่งที่มี
nerve ending จำนวนมาก เช่นที่ taste bud ของสิ้น olfactory neuroepithelium
ของช่องจมูก และ salivary gland epitheljum ทำให้มีเชื้อจำนวนมากออกมากับสิ่งคัดหลั่ง
(secretion) จากอวัยวะเหล่านี้และมีบทบาทสำคัญในการแพร่กระจายการติดต่อของโรค
นอกจากนี้ยังตรวจพบเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าที่อวัยวะอื่น ๆ อีกหลายแห่ง
รวมทั้งการตรวจพบ extraneural infection ที่ตับอ่อน brown adipose tissue
และกล้ามเนื้อหัวใจด้วย
อาการของโรค (Clinical
Signs)
หลังจากที่สัตว์ได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว ระยะฟักตัวของโรคนี้จะเร็วขึ้นหรือช้าลงขึ้นอยู่กับความรุนแรงของบาดแผลและตำแหน่งของบาดแผลที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
หากบาดแผลรุนแรงและอยู่ใกล้สมองช่วงระยะฟักตัวของโรคมักจะสั้นกว่าตำแหน่งของบาดแผลที่อยู่ที่อวัยวะส่วนปลายเมื่อพ้นระยะฟักตัวของโรคแล้วสัตว์ที่เป็นโรคจะแสดงอาการให้เห็น
อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในสนัขแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ
- อาการนำ (prodromal Phase)
- อาการระยะตื่นเต้น (Excitative Phase)
- อาการระยะอัมพาต (Paralysis Phase)
อาการนำเป็นอาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและพฤติกรรมที่เคยเป็นอยู่ไปในทางที่ตรงกันข้ามกับปกติด
จะสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายถ้าอยู่ใกล้ชิดกับสุนัขที่เลี้ยงไว้สม่ำเสมอ
อาการเริ่มแรกที่พบ ถ้าเป็นสุนัขที่เคยร่าเริงแจ่มใส ชอบคลุกคลีเคล้าเคลียกับเจ้าของ
มักจะมีอาการหงุดหงิดไม่อยากเข้าใกล้หลบซุกซ่อนตัวอยู่ตามมุมมืดต่าง ๆ
และหากพยายามนำออกมาจากที่ซ่อนมักแสดงอาการเห่าหรืองับอย่างไม่พอใจ ส่วนสุนัขที่ปกติเคยหวาดระแวง
หวาดกลัว กลับมีความกล้าเพิ่มมากขึ้น และหากสังเกตใกล้ชิดในบางรายจะพบว่า
ม่านตาขยายกว้างกว่าปกติ มีการตอบสนองต่อแสงลดลง สุนัขจะแสดงอาการระยะเริ่มแรกนี้
2-3 วัน
อาการะยะตื่นเต้น เป็นอาการของโรคระยะถัดมาที่เห็นชัดเจนที่สุด
เมื่อผ่านพ้นอาการนำแล้วจะมีอาการลุกลี้ลุกลนกระวน
กระวายมากขึ้น พยายามจะหลบหนีออกจากบ้านหรือที่อยู่เดิม หากหลบหนีออกมาได้จะวิ่งอย่างไม่มีจุดหมาย
มักแสดงอาการแปลก ๆ เช่น งับลมหรือกัดกินสิ่งแปลกปลอกต่าง ๆ เช่น ก้อนอิฐ
ก้อนหิน ดิน หญ้าหรือแม้แต่เศษไม้ มักกัดทุกสิ่งที่ขวางหน้าเป็นอาการของความบ้าคลั่งอย่างเด่นชัด
หากจับกักขัง จะกัดเกรงอย่างรุนแรงจนเกิดบาดแผลที่ปาก หรือฟันหักโดยไม่แสดงความเจ็บปวด
เสียงเห่าหอนจะผิดไปเนื่องจากเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อกล่องเสียง ต่อมาจะเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวและ
การกลืนทำให้ลิ้นห้อยออกนอกปาก น้ำลายไหล ลิ้นมีสีแดงคล้ำ หรือมีร่องรอยของความบอบซ้ำ
หรือมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ที่ลิ้น ระยะต่อมาลำตัวจะแข็ง หางตก ขาหลังเริ่มอ่อนเปลี้ย
ซึ่งเป็นอาการที่เริ่มเข้าสู่ระยะอัมพาต สุนัขจะแสดงอาการระยะตื่นเต้นอยู่
1-7 วัน
อาการระยะอัมพาต เป็นอาการระยะสุดท้ายของอาการของโรค
สุนัขที่แสดงอาการตื่อเต้นและหรือดุร้ายชัดเจน อาการของ
ระยะอัมพาตจะสั้นถึงสั้นมาก กล่าวคือเมื่อเริ่มแสดงอาการขาหลังอ่อนเปลี้ยแล้วในที่สุดจะล้มลงลุกไม่ได้
อัมพาตที่เกิดขึ้น
จะแผ่ขยายจากส่วนท้ายของลำตัวไปยังส่วนหัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ตายด้วยการเกิดอัมพาตของระบบหายใจ
(respiratory
paralysis) ส่วนรายที่ไม่สังเกตเห็นอาการระยะตื่นเต้นชัดเจน หรือพบในช่วงระยะที่สั้นมาก
อาจแสดงอาการระยะอัมพาต
ยาวนานขึ้นในกรณีเช่นนี้จะสังเกตเห็นสุนัขมีอาการซึม ปากอ้า คางห้อยตก
(dropped jaw) ลิ้นห้อยยาวออกนอกปาก น้ำลายไหลมาก มักไม่กัดผู้คนและมักแสดงอาการอยู่
2-4 วัน แล้วอัมพาตจะแผ่ขยายทั่วตัวทำให้ตายด้วยการเกิดอัมพาตของระบบหายใจเช่นเดียวกันสุนัขที่แสดงอาการของโรคพิษสุนัขบ้าทั้งสามระยะดังกล่าวนี้
ตั้งแต่เริ่มสังเกตเห็นอาการมักอยู่ได้ไม่เกิน 10 วัน สุนัขที่แสดงอาการระยะตื่นเต้นชัดเจน
มักเรียกกันว่า บ้าแบบดุร้าย หรือ Furious Rabies เป็นอาการที่พบเห็นได้บ่อย
ส่วนรายที่ไม่สัเกตเห็นอาการระยะตื่นเต้นชัดเจนพบแต่อาการของกรเกิดอัมพาตมักเรียกกันว่า
บ้าแบบซึม หรือ Dumb Rabies
พยาธิวิการ (Pathological
Lesions)
วิการที่พบจากกล้องจุลทรรศน์พบเด่นชัดที่ระบบประสาท โดยเฉพาะที่สมองจะพบลักษณะของ
non-suppurative encepha-lomyelitides ร่วมกับการเกิด ganglioneuritis
บริเวณที่พบวิการชัดเจน พบที่ pons ถึง hypothalamus วิการที่พบเป็นลักษณะจำเพาะ
คือการเกิด perivascular cuffing,neuronophagia และ focal gliosis หรือ
Babes nodules สำหรับจุลพยาธิวิการที่ถือเป็นลักษณะจำเพาะของโรคพิษสุนัขบ้าคือ
การตรวจพบ intracytoplasmic inclusion bodies ที่เรียกว่า Negri bodies
ซึ่งตรวจพบได้ง่ายที่สุดที่ส่วน hippocampus ของสัตว์กินเนื้อและใน Purkinje
cells ของสัตว์กินพืช และจะตรวจพบ Negri bodies ได้ประมาณร้อยละ 70 ของสัตว์
การวินิจฉัยโรค (Diagnosis)
ต้องทำการซักประวัติสัตว์ป่วยอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะประวัติเกี่ยวกับการได้รับวัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้า
สภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย โอกาสของการได้รับเชื้อ อาการเริ่มแรกที่สัตว์แสดง
ในสุนัขจำเป็นต้องวินิจฉัยจำแนกจากโรคหรือสภาวะที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น
- ก้างหรือกระดูกติดในช่องปากหรือในลำคอ
- อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดการกระทบการเทือนอย่างรุนแรงที่หัวสุนัข
จนเกิดความบอบช้ำแก่ระบบประสาทส่วนกลาง
- เนื้องอกที่สมอง
- โรคชักลมบ้าหมู
- โรคไข้หัดสุนัข
- โรคท๊อกโซพลาสโมซิส
- กลุ่มอาการที่เกิดจากการได้รับสารพิษบางชนิด
เมื่อสงสัยจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว
ควรให้คำแนะนำในการปฏิบัติต่อสัตว์นั้นทันที แนะนำให้กักขังไวัสังเกตอาการ
เป็นเวลา 16 วัน ในระหว่างการกักขังดูอาการนี้ หากสุนัขหรือแมวที่กักขังตายควรส่งตรวจชันสูตรโรคทันที
หานต้อง
นำส่งห้องปฏิบัติการตรวจชันสูตรโรคที่อยู่ห่างไกล จำเป็นต้องตัดส่วนหัวใส่ถุงพลาสติก
สองชั้นมัดให้แน่นแช่เย็น
ด้วยน้ำแข้งเกล็ด โดยใส่ไว้ในกระติกหรือกล่องโฟมแล้วรีบส่งโดยเร็วที่สุด
หากปล่อยทิ้งไว้จนสมองเริ่มเน่าการ
ตรวจพิสูจน์อาจให้ผลไม่แน่นอนการตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้า จากตัวอย่างสมองสัตว์ที่บอกได้แน่ชัดว่า
เป็นโรค
พิษสุนัขบ้าหรือไม่นั้น มีวิธีที่นิยมปฏิบัติกันอยู่ในห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคหรือห้องตรวจชันสูตรโรคพิษสุนัข
บ้าโดยทั่วไป 4 วิธีคือ
1. การตรวจวินิจฉัยทางจุลพยาธิวิทยา
(Histopatholoty) เป็นการตรวจหา Negri bodies ซึ่งถือเป็นลักษณะจำเพาะของโรคอย่างหนึ่ง
โดยการย้อมตรวจเซลล์สมองด้วยสี sellers หรือ Giemsa หรือ Mann การตรวจหา
Negri bodies ที่รวดเร็วทำได้โดยการใช้กระจกสไลด์กดแตะ (impression)
ส่วนหน้าตัดของสมองส่วนที่จะตรวจ หากไม่พบ Negri bodies ควรทำการตัดชิ้นเนื้อสมองเพื่อตรวจซ้ำด้วยซึ่งทำได้โดยการใช้
frozen section หรือตัดด้วยวิธีธรรมดา
2. การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีอิมมูนเรืองแสง (Fluorescent Antibody
(FA) Test) เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าที่เป็นวิธีมาตรฐาน
มีความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุดของการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์สามารถทราบผลได้รวดเร็ว
3. การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีฉีดสัตว์ทดลอง (Animal Inoculation)
เป็นการตรวจวินิจฉัยโดยการฉีดเนื้อสมองของสัตว์ที่ต้องการตรวจเข้าไปในสมองสัตว์ทดลอง
เช่น กระต่าย หนูตะเภา แฮมสเตอร์ และหนูไมซ์ การตรวจวิธีนี้ควรทำในทุกรายที่ตรวจไม่พบ
Neri bodies หรือตรวจไม่พบโดยวิธีอิมมูนเรืองแสงหรือถ้าทำได้ควรทำควบคู่กับวิธีการตรวจอื่น
ๆ ทุกครั้ง
4. การตรวจวินิจฉัยด้วยวีธี Immunoperoxidase Test หรือ Rapid
Rabies Enayme Immuno Diagnosis (RREID)
วีธีนี้เหมาะสมในการตรวจชันสูตรโรคพิษสุนัขบ้าในท้องที่ เนื่องจากไม่ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เรืองแสง
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
(Rabies Prophylaxis)
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคให้หายได้ ดังนั้นการป้องกันโรคโดยการใช้วัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
การป้องกันโรคในที่นี้หมายรวมทั้งการป้องกันโรคล่วงหน้า(Pre-exposure
Prophylaxis) และการป้องกันหลังการสัมผัสโรค(Post-exposure Prophylaxis)
ทั้งในคนและในสัตว์
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์
การป้องกันโรคล่วงหน้า
สุนัขควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคครั้งแรกเมื่ออายุได้
3 เดือนเป็นต้นไป เนื่องจากระบบการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค
พิษสุนัขบ้าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มโรคได้ค่อนข้างดีหลังจากอายุ 11 สัปดาห์
เป็นต้นไป นอกจากนี้ภูมิคุ้มโรคจาก
แม่ที่ลูกได้รับโดยผ่านทางน้ำนมแรกคลอด หรือน้ำนมน้ำเหลือง (coiostrum)
เป็นส่วนใหญ่นั่นยังมีอิทธิพลต่อ
ภูมิคุ้มโรคของตัวลูกด้วย หลังจากที่ลูกสุนัขได้รับวัคซีนครั้งแรกแล้วควรได้รับวัคซีนซ้ำทุกปีหรือทุก
2-3 ปี
ตามที่ผู้ผลิดแนะนำ การใช้วัคซีนต้องฉีดตามขนาด (dosage) และวิธีฉีดที่ผู้ผลลิตแนะนำเสมอ
ส่วนลูกแมว
ที่ได้รับภูมิคุ้มโรคจากแม่ควรได้รับวัคซีนครั้งแรก ตั้งแต่อายุได้ 3
เดือน ขึ้นไปเช่นเดียวกับในสุนัข สำหรับ
การฉีดวัคซีนครั้งต่อไปถือปฏิบัติเช่นเดียวกับในสุนัข การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ชนิดอื่น
กากมีความจำเป็นต้องใช้ควรเลือกใช้วัคซีนเฉพาะชนิดที่มีการระบุใช้ในสัตว์ชนิดนั้น
ๆ ไว้ที่เอกสารกำกับยา
เท่านั้น เพราะเกี่ยวข้อง โดยตรงกับความปลอดภัยจากการใช้วัคซีน และการกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มโรคหลัง
การได้รับวัคซีน
การป้องกันหลังการสัมผัสโรค
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังการสัมผัสโรค ยังไม่มีวิธีปฏิบัติที่เป็นรูปแบบอย่างเป็นขั้นตอนเหมือนในคน
สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน
ถ้าถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
ควรทำลายสัตว์ที่ถูกกัดเหล่านั้นทันทีถ้าสัตว์ถูกกันอยู่ในข่ายสงสัยว่าจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ทราบสภาวะ
ของสัตว์ตัวที่มากัน ให้กักขังสัตว์ที่ถูกกัดไว้ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์เป็นเวลา
6 เดือน ถ้าสัตว์ที่กัดเคยฉีด
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนควรฉีดวัคซีนซ้ำแล้วกักขังไว้ดูอาการอย่างน้อย
90 วัน ในสัตว์แม่ลูกอ่อน
ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมวที่แม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าในขณะที่อยู่ในช่วงระยะกำลังให้นมลูก
ควรแนะนำให้
ทำลายลูกทั้งหมด
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในคน
การป้องกันโรคล่วงหน้า
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าล่วงหน้าก่อนการสัมผัสโรคมีความจำเป็นในวิชาชีพสัตวแพทย์
โดยเฉพาะนิสัตนักศึกษาตั้งแต่เริ่มแรกที่มีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ป่วย ในวิชาคลินิคปฎิบัติบุคลากรที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสอนในคลินิค
สัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์บุคลากรในโรงพยาบาลสัตว์ และแพทย์
พยาบาลและนักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิบัติงานในหออภิบาลผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า
ในห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้า ในห้องปฏิบัติการศึกษาวิจัยโรคพิษสุนัขบ้า
รวมทั้งเจ้าหน้าที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสัตว์เลี้ยง
เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้มีโอกาสสัมผัสโรคได้มากและมีโอกาสสัมผัสโรคโดยไม่รู้ตัว
วัคซีน แนะนำให้ใช้วัคซีนที่ผลิตจากเซลล์เพาะเลี้ยง 3 ครั้ง ในวันที่
0,7 และ 28 หรือ 0,28 และ 56 โดยใช้ ตามที่ผู้ผลิตวัคซีนแต่ละชนิดแนะนำ
หลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แล้ว 1 เดือน ควรเจาะเลือดหาระดับภูมิคุ้มโรค
ซึ่งควรเกิน 0.5 IU/มล. ถ้าระดับภูมิคุ้มโรคต่ำกว่า 0.5 IU/มล. จะต้องฉีดวัคซีนซ้ำ
เมื่อฉีควัคซีนซ้ำ เมื่อฉีดวัคซีนครบชุดสำหรับการป้องกันโรคล่วงหน้าแล้ว
การฉีดกระตุ้นซ้ำครั้งต่อไป ควรฉีดทุก 1-3 ปี โดยพิจารณาตามลักษณะของงานที่ปฏิบัติอยู่ว่าโอกาสในการสัมผัสโรคมีมากน้อยเพียงไร
การฉีดวัคซีนหลังการสัมผัสโรค
มีปัจจัยเกี่ยวข้องที่ควรพิจารณาหลายประการด้วยก้น เป็นต้นว่าลักษณะและความรุนแรงของบาดแผลที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
ตำแหน่งของบาดแผล ชนิดของสัตว์ที่นำโรค อาการของสัตว์ขณะที่ทำอันตรายเรา
รวมไปถึงข้อมูลที่ได้ระหว่างการกักขัง
ดูอาการของสัตว์ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ อย่างก็ตามในกรณีที่เชื่อหรือสงสัยว่าสัมผัสกับโรคพิษสุนัขบ้า
จะต้องรีบดำเนินการเป็นขั้นตอนโดยเร็วที่สุดดังนี้
- จับและกักขังสัตว์ที่เป็นตัวนำโรคไว้
ถ้าเป็นสุนัขและแมวควรกักขังไว้ดูอาการเป็นเวลา 10 วัน
- รีบชำระล้างทำความสะอาดบาดแผลหรือบริเวณที่ได้รับเชื้อทันที
โดยใช้น้ำชะผ่านปริมาณมาก ๆ ถ้าเป็นน้ำสบู่หรือใช้สบู่ถูเบา ๆ บริเวณบาดแผลด้วยยิ่งดี
เมื่อล้างแผลแล้งควรใช้ยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์หรือยาใส่แผลสด เช่น
ยาแดง หรือทิงเจอร์ไอโดดีนราดแผลเสร็จแล้วรียไปพบแพทย์
- แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการได้รับเชื้อ
ชนิดของสัตว์ที่กัด อาการของสัตว์ขณะที่กัดสัตว์ที่กัดหนีไปหรือจับกักขังไว้ได้ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน
กัดหลังจากทำให้สัตว์ตกใจหรือเปล่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นเครื่องช่วยพิจารณาการใช้วัคซีนหลังสัมผัสโรคได้ส่วนหนึ่ง
ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO,1984) ได้แนะนำวิธีการฉีดวัคซีนหลังการสัมผัสโรคไว้ดังนี้
- ตาราง คำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนหลังการสัมผัสโรคขององค์การอนามัยโลก
วีธีการที่ได้รับเชื้อ
หรือช่องทางที่สัมผัสโรค
|
สภาพของสัตว์ที่นำโรคหรือสัตว์ที่กัด
(1)
|
คำแนะนำการใช้วัคซีน
|
ขณะสัมผัสโรค
หรือขณะที่กัด
|
ระหว่างกักขังดูอาการ
10 วัน
ต่อมา(สำหรับ สุนัขและแมว)(2)
|
1) สัมผัสโดยไม่มีบาดแผล
หรือไม่ได้สัมผัสโดยตรง
|
ปกติ
|
ปกติ
|
ไม่ต้องฉีด
|
สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
|
|
2) ถูกเลียผิวหนังมีรอยข่วน
แผลถลอก บาดแผลเล็กน้อย
(กัดผ่านเสื้อผ้าที่ส่วนแขน ขา
และลำตัว)
|
ปกติ
|
ปกติ
เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
|
ไม่ต้องฉีด
เริ่มฉีดวัคซีนเมื่อสังเกตเห็นอาการ(3)
เริ่มฉีดวัคซีน/หยุดฉีด
หลังกักขังได้ 5 วัน แล้วยังปกติดี(4)
เริ่มฉีดวัคซีนและให้ครบชุด
เมื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็น
โรคพิษสุนัขบ้า
ฉีดวัคซีน ครบชุด
|
สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
|
ปกติ
เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
|
เป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือกัด
แล้วหนี หรือเป็นสัตว์ป่า
|
|
3) ถูกเลียบริเวณเยื่อเมือก
บาดแผลรุนแรง
(บาดแผลหลายแห่งบนใบหน้า
หัว คอ และ นิ้ว )
|
สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือ
ยืนยันว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือ
กัดแล้วหนี หรือเป็นสัตว์ป่า(5)
|
|
ซีรั่ม + วัคซีน / หยุดฉีด
วัคซีนเฉพาะกรณีที่
สุนัขหรือแมวที่กักขังไว้ 5 วัน
แล้วยังปกติดี
|
(1) สัตว์อื่นที่กัดควรทำลายทันทีแล้วตรวจสมองด้วยวิธี
FA test
(2) หมายรวมถึงสัตว์ที่อยู่ ๆ ก็กัดโดยไม่ได้ตื่นตกใจ
(3) เมื่อเริ่มสังเกตเห็นอาการควรทำลายแล้วตรวจสมองด้วยวิธี FA test
(4) หรือเมื่อตรวจสมองด้วยวิธี FA test แล้วไม่พบว่าเป็นโรค
(5) รวมทั้งสัตว์แทะต่าง ๆ เช่น หนู กระต่าย เป็นต้น
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ใช้สำหรับคนในประเทศไทย
ในปัจจุบัน ได้แก่
- Human Diploid Cell Vaccine
(HDCV) เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นจากการเลี้ยงเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า
(Pittman Moore 1503+3M strain) ในดิพลอยด์เซลล์ของคน (WI-38) เมื่อทำให้เข้มข้นขึ้นแล้วจึงฆ่าเชื้อด้วยบีต้าโปรปีโอแลคโตนเป็นวัคซีนที่มีการใช้กว้างขวางที่สุด
- Purified Chick Embryo Cell
Rabies Vaccine (PCEC) วัคซีนชนิดนี้ผลิตจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า
(Flury LEP-C25 strain) ใน Primary chick-embryo dell cultures หลังจากทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้นขึ้นแล้วฆ่าเชื้อด้วยบีต้าโปรปิโอแลคโตน
พบว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มโรคเทียบเคียงได้กับ (HDCV)
- Purified Vero Rabies Vaccine
(PVRV) เป็นวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าสะเตรนเดียวกับที่ใช้ผลิต
HDCV แต่เลี้ยงใน Vero cell (vervet monkey kidney) เมื่อทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้นแล้วฆ่าเชื้อด้วยบีต้าโปรปิโอ-
แลคโตนเช่นเดียวกัน วัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มโรคในระดับที่ดี
เช่นเดียว
กับวัคซีนที่ผลิตจากเซลล์เพราะเลี้ยงชนิดอื่น
- Purified Duck Embryo Rabies
Vaccine (PDEV) เป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจาก Duck Embryo Rabies
Vaccine (DEV) เดิม ผลิตโดยใช้เชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (PM strain)
เลี้ยงใน yolk sac ของไข่เป็ดฟัก เมื่อเก็บเชื้อทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้นขึ้นแล้วฆ่าเชื้อด้วยบีต้าโปรปิโอแลคโตน
มีรายงานการใช้ว่าได้ผลในการกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มโรคเช่นเดียวกับ HDCV
องค์การอนามัยโลก (WHO,1984) แนะนำการใช้วัคซีนที่ผลิตจากเซลล์เพาะเลี้ยงทั้งหลายว่า
วัคซีนที่ใช้ควรมี potency
ไม่น้อยกว่า 2.5 IU ฉีดทั้งหมดรวม 6 ครั้งในวันที่ 0, 3, 7, 14 และ 30
และฉีดกระตุ้นซ้ำเข็มสุดท้ายในวันที่ 90 การตรวจหา
ระดังภูมิคุ้มโรคควรทำหลังจากการฉีดวัคซีนได้ 3 สัปดาห์เป็นต้นไป
การใช้แอนติซีรั่วควบกับการใช้วัคซีน
หลักของการป้องกันหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้ามาก่อนคือ
การฉีดแอนติซีรั่มควบกับวัคซีนให้เร็วที่สุดหลังจากที่ทำความสะอาดบาดแผล
หากทำไม่ได้ทุกราย องค์การอนามัยโลก (WHO, 1984 ) แนะนำให้ทำในรายที่ถูกกัดมีบาดแผลรุนแรงหรือแผลรูลึก
โดยเฉพาะบาดแผลที่ แขน หัวไหล่ คอ ใบหน้า และศีรษะ ขนาดของแอนติซิรั่มที่ใช้
ถ้าผลิตจากสัตว์ (heterologous origin) ใช้ขนาด 40 IU ต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัม โดยทดสอบว่าจะแพ้ชีรั่มหรือไม่เสียก่อน ถ้าเป็น ribies immune
globulin ของคน (HRIG) ใช้ขนาด
20 IU ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทั้งสองชนิดนี้จะใช้ชนิดใดก็ได้ วีธีการฉีดใช้ฉีดเข้ากล้าเนื้อ
(อาจแบ่งครึ่งหนึ่งฉีดเข้า
กล้ามเนื้อรอบๆบาดแผล) การใช้แอนติซีรั่มมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฉีดวัคซีนให้ครบชุดอย่างเคร่งครัด
และ มักจำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ครบชุดอย่างเคร่งครัด และ มักจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นซ้ำเพิ่มจากชุดปกติ
เพื่อให้ภูมิคุ้มโรคเกิดขึ้นสูงพอที่จะป้องกันโรคได้ (ประเสริฐ ทองเจริญ,
2523) แอนติซีรั่มหรืออิมมูโนโกลบูลินนี้ไม่ควรใช้ฉีด systemic ให้กับผู้ที่เคย
ได้รับวัคซีนป้องกันโรคล่วงหน้าหรือได้รับวัคซีนป้องกันหลังสัมผัสโรคครบชุด
ในกรณีดังกล่าวนี้ หากผู้นั่นสัมผัสกับ
โรคพิษสุนัขบ้าใหม่ ควรพิจารณาฉีดกระตุ้นซ้ำด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงอีก
1-3 เข็มตามตำแหน่งและความรุนแรง
ของบาดแผล หากฉีดกระตุ้นซ้ำอีก 3 เข้ม ควรฉีดวันที่ 0, 3 และ 7 (WHO, 1984)
การควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies
Control)
หลักของกรควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าที่นับว่ามีความสำคัญมากลำดับแรกคือ
การศึกษาติดตามและเผ้าสังเกตทางระบาดวิทยา
ให้ทราบแน่ชัดว่าสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคและแพร่โรคที่สำคัญในประเทศนั้นๆ
คือสัตว์อะไร แล้วจึงหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมโรคในสัตว์นั้น ๆ ก่อน
มาตรการในการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในส่วนต่าง ๆ ของโลกจึงอาจแตกต่างกันตามสภาพของสัตว์นำโรค
เช่น ในยุโรป ตอนกลางมีสุนัขจิ้งจอกเป็นพาหนะนำโรคที่สำคัญ การควบคุมจึงมุ่งเน้นที่สัตว์ชนิดนี้ก่อน
ทำให้เกิดการพัฒนา oral rabies vaccine ขึ้นใช้ ในอเมริกาใต้มีค้างคาวดูดเลือด
(vampire bats) เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ การควบคุมจึงต้องหาวิธีการที่เหมาะสมในการกำจัดค้างคาว
เช่น การใช้สารกันเลือดแข็งตัว (anticoagulant) ฉีด เข้าในโคกระบือ เมื่อค้างคาวมาดูดเลือดก็จะตายจากการเป็นพิษของสารที่ฉีดไว้
และยังต้องร่วมป้องกันโรคในปศุสัตว์เหล่านี้ โดยการใช้วัคซีนช่วย ประเทศที่อยู่ในเขตร้อน
รวมทั้งประเทศไทยนั้นเป็นที่ทราบแน่ชัดว่าสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค และแพร่โรคที่สำคัญที่สุดคำ
สุนัข รองลงไปคือแมว (แต่เมื่อเปรียบเทียบจำนวนกันแล้ว แมวเป็นโรคน้อยกว่าสุนัขมาก)
ดังนั้นมาตรการในการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าจึงจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นในสัตว์เลี้ยงสองชนิดนี้เป็นหลัก
ในการวางมาตรการควบคุมโรคจะต้องมีการวางแผนที่รัดกุมโครงสร้าง ของโครงการครบคุมโรคต้องมีขั้นตอนการควบคุมที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ระดับชาติลงไปถึงระดับท้องถิ่น
มีวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนสามารถประเมินผลได้ มีความพร้อมในการจัดการด้านต่าง
ๆ เข้าเสริมและเอื้ออำนวยให้สามารถแก้ไขปัจจัยที่มีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคจึงจะทำให้การควบคุมโรคบรรลุเป้าหมาย
ขั้นตอนสำคัญของการควบคุมโรคควรประกอบด้วย:-
- นโยบายที่แน่นอนของประเทศในการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า
มีการจัดทำแผนงานรวมของชาติ (Comprehensive plan) โดยการวางโครงสร้างของโครงการควบคุมโรคในรูปของ
national rabies control program รวมทั้งการจัดระบบการบริหารโครงการและการแก้ไขบท
Iกลับหน้าหลักI