พญ. รุจิพร   ชื่อธนบุญ

ลอดปีใครที่ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ ถือเป็นลาภอันประเสริฐ ส่วนผู้ที่เริ่มป่วยและรักษาแต่เนิ่นๆ ก็นับว่าโชคดีที่รู้เท่าทันโรค ฤดูฝนของปีนี้ก็เป็นฤดูฝนที่ฝนตกพรมลงมาให้ความเย็นฉ่ำชื่นใจ ไปไหนมาไหน ก็จะเห็นคนถือร่มกันดูสีสันแปลกตาให้ความสดใส ไปอีกอย่าง ฝนตกทีไรอากาศเย็นสบาย ยุงบินว่อนมากมาย และยุงลายตัวเล็กๆนี่แหละ ความร้ายกาจของมันได้คร่าชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนมากด้วยโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสเดงกิว โดยมียุงลายเป็นตัวนำที่สำคัญ ซึ่งมีลักษณะของโรค คือ ไข้สูงลอย ร่วมกับอาการเลือดออก ตับโต ในรายที่รุนแรงจะมีภาวะช็อกร่วมด้วย

ระบาดวิทยา

ยุงตัวเมียจะดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกิว ในระยะที่มีไข้สูง และเชื้อไวรัสจะฟักตัวในยุง 8 - 10 วัน ยุงลายชอบกัดกลางวัน เพาะพันธุ์ในน้ำใส และชุกชุมในฤดูฝน

อายุที่พบส่วนใหญ่ช่วง 2 - 8 ปี ผู้ใหญ่พบได้ประปราย เพศหญิงและเพศชายพอๆกัน แต่ในรายที่เป็นรุนแรงพบผู้หญิงมากกว่าชาย ลักษณะของการระบาดสูงปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี

สาเหตุ

ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกิว ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ในรายที่เป็นรุนแรงมักจะเกิดจากการติดเชื้อซ้ำ ซึ่งจะเป็นรุนแรงกว่าครั้งแรก เพราะภูมิต้านทานหลังการติดเชื้อครั้งแรกสูงไม่พอในการป้องกันครั้งต่อไป

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก

  1. การติดเชื้อเดงกิวซ้ำโดยเฉพาะช่วง 1 - 5 ปีแรก
  2. ระดับภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งแรกที่ต่ำกว่าระดับที่สามารถฆ่าเชื้อได้
  3. ชนิดของสายพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการระบาดช่วงนี้เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกิวสายพันธุ์ที่ 2

พยาธิกำเนิด และพยาธิสรีรวิทยา

  1. มีการรั่วของน้ำเลือด (พลาสม่า) ซึ่งมีตัวบ่งชี้คือ
    • มีการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นของเลือด
    • จำนวนไข่ขาวในเลือดลดลง
    • พบน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด จากภาพรังสีทรวงอก
  2. มีความผิดปกติในระบบการแข็งตัวของเลือด

ลักษณะทางคลินิก

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดแบ่งการเกิดโรคจากเชื้อไวรัสเดงกิวไว้ดังนี้

  1. ส่วนใหญ่ 80 - 90% จะไม่มีอาการ
  2. พวกที่มีอากรแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มโรค คือ
    • กลุ่มมีอาการของไข้หวัด จะพบในเด็กเล็ก
    • กลุ่มมีอาการของการติดเชื้อไวรัสเดงกิวไม่รุนแรง
    • กลุ่มที่มีอาการไข้เลือดออก

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก มีการวินิจฉัย 2 วิธี คือ

  1. อาการทางคลินิกดังกล่าวข้างต้น ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะได้ผลดีถึง 95% และจะมีประโยชน์ในแง่ของการรักษาอย่างทันท่วงที
  2. การตรวจน้ำเหลืองซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกิว จะได้ผล 100% ซึ่งจะมีประโยชน์ในแง่ของการวิจัย แต่ล่าช้าในการรักษา เพราะผลออกมาหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการช็อกแล้ว สรุปแล้ววิธีที่ 2 ไม่มีผลต่อการรักษา

ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก

  • เกรด 1 ผู้ป่วยไม่มีอาการช็อก มีแต่จุดเลือดออกตามผิวหนัง
  • เกรด 2 ผู้ป่วยไม่มีภาวะช็อก แต่มีเลือดออกจากเหงือก, เลือดกำเดาไหล, อาเจียนเป็นเลือด, เลือดออกในกระเพาะอาหาร, ถ่ายดำ
  • เกรด 3 ผู้ป่วยมีภาวะช็อก
  • เกรด 4 ผู้ที่มีภาวะช็อกนาน ทำให้วัดความดันและจับชีพจรไม่ได้

การดำเนินโรคของไข้เลือดออก

การดำเนินโรคของโรคไข้เลือดออกแบ่งเป็น 3  ระยะ ดังต่อไปนี้คือ

  1. ระยะไข้สูง ลักษณะเป็นไข้สูงเฉียบพลัน 39 - 41 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 - 7 วัน ซึ่งผู้ป่วยอาจชักได้ มักมีอาการหน้าแดง ไม่มีน้ำมูกหรือไอ ในเด็กโตอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง เลือดออก ตับโตและกดเจ็บแต่ตัวไม่เหลือง มีผืนตามตัว (ผู้ป่วยที่มีไข้สูงลอยเกิน 7 วันมีร้อยละ 15)
  2. ระยะวิกฤตหรือระยะช็อก มักเกิดขึ้นพร้อมๆกับการที่ผู้ป่วยมีไข้ลง ในรายที่ไม่รุนแรงผู้ป่วยจะดีขึ้น บางรายอาจมีเหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันเลือดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเป็นช่วงสั้นๆ แล้วกลับเป็นปกติ ในรายรุนแรงอาจจะเลวลง ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว ช็อก ทำให้การรักษาไม่ทันจะช็อกนาน เลือดออกรุนแรงและเสียชีวิตได้
  3. ระยะพักฟื้น ผู้ป่วยเริ่มอยากรับประทานอาหาร เริ่มมีปัสสาวะมาก อาจพบมีผื่นวงสีขาวกระจายอยู่ท่ามกลางผื่นจุดเลือดออกตามแขนขา ชีพจรเต้นช้า

การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก แบ่งเป็น 3 ระยะดังกล่าวข้างต้น

  • การดูแลระยะไข้สูง
    • การลดไข้ - แนะนำให้ยาพาราเซตามอลเฉพาะเวลามีไข้สูง ระยะห่างของการใช้ยาลดไข้ไม่ควรน้อยกว่า 4 ชั่วโมง ร่วมกับการเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ห้ามใช้ยาแอสไพริน ยาหัวสิงห์ ยาลดไข้ชนิดอื่นๆ เพราะอาจทำให้เลือดออกมากได้
    • อาหาร - ควรให้ผู้ป่วยรับอาหารอ่อน ย่อยง่าย ถ้าเบื่ออาหารหรือรับประทานได้น้อย แนะนำให้ดื่มนม น้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่แทนน้ำเปล่า ถ้าผู้ป่วยมีอาเจียนมาก แนะนำให้จิบน้ำเกลือครั้งละน้อยๆบ่อยๆ (ควรงดรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีสีแดงหรือดำ เพื่อจะได้สังเกตอาการเลือดออกจากกระเพาะอาหารได้ง่ายขึ้น)
    • ต้องให้คำแนะนำอาการของภาวะช็อกแก่ผู้ปกครอง จะได้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการดังต่อไปนี้
    1. มีอาการเลวลงเมื่อไข้ลง
    2. เลือดออกผิดปกติ
    3. อาเจียนมาก
    4. ปวดท้องมาก
    5. ซึม ไม่ดื่มน้ำ บางรายอาจกระหายน้ำตลอดเวลา
    6. กระสับกระส่าย เอะอะโวยวาย ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
    7. ความประพฤติเปลี่ยนแปลง เช่น พูดไม่รู้เรื่อง เพ้อ
    8. ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย
    9. ไม่มีปัสสาวะเป็นเวลานานเกิน 6 ชั่วโมง
  • การดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติขณะอยู่โรงพยาบาล จะอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาล ตามแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกของประเทศไทย
  • ระยะพักฟื้น เป้าหมายของการรักษา คือ ป้องกันภาวะน้ำเกิน ซึ่งจะพบอาการของการมีปัสสาวะออกมาก, หัวใจเต้นช้า, ภาวะไม่สมดุลย์ของเกลือแร่ในกระแสเลือดได้ในระยะนี้

การควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออกประจำบ้าน การป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด และการกำจัดลูกน้ำยุงลาย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคไข้เลือดออกให้แก่บุตรหลานของเรา

ยุงลายชอบกัดเวลากลางวัน ชอบเกาะพักอยู่ตามมุมมืดในบ้าน กางมุ้งให้เด็กเวลานอนกลางวัน ทาสารป้องกันยุงที่ผิวหนัง หลีกเลี่ยงการอยู่ในมุมมืดของห้อง ใช้สารเคมีพ่นเพื่อกำจัดยุงลาย

แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้าน

จานรองขาตู้กับข้าว ใส่เกลือแกงหรือผงซักฟอก, ภาชนะในห้องน้ำห้องส้วม ใส่ทรายอะเบทเพื่อกำจัดลูกน้ำยุงลายทุก 3 เดือน ใส่ปลากินลูกน้ำ, ภาชนะใส่น้ำดื่มน้ำใช้ ปิดภาชนะให้มิดชิดตลอดเวลา, แจกันดอกไม้สด ภาชนะใส่พลูด่าง เปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์, ปิดภาชนะด้วยสำลี หรือกระดาษ ใช้วุ้นสำหรับปลูกต้นไม้แทนน้ำ

นอกบ้าน จานรองกระถางต้นไม้ เทน้ำในจานรองทิ้งทุกวัน ใส่ทรายในจานรองเพื่อดูดซับน้ำส่วนเกิน, เศษภาชนะต่างๆ เช่น ไห ยางรถยนต์ เผา ฝังดิน ดัดแปลงมาใช้ประโยชน์ หรือทิ้งใส่ถังขยะ, อ่างปลูกบัว บ่อน้ำ ใส่ปลากินลูกน้ำ ตรวจเช็คว่าปลายังมีชีวิตอยู่

(สายใยรักษ์   ปีที่  3  ฉบับที่  10   สิงหาคม - พฤศจิกายน  2545  หน้า   12  -  13)