สรุปผลการประชุมกลุ่มย่อยสายสังคมศาสตร์



สรุปผลการประชุมกลุ่มย่อยสายสังคมศาสตร์

โดยนางสาวสาวตรี สุขศรี นักเรียนกฎหมายจากมึนเช่น

ในการประชุมกลุ่มย่อยสายสังคมศาสตร์ได้มีการจัดแบ่งเวลาการประชุมออกเป็น 2 ช่วง ด้วยกัน คือ ช่วงการนำเสนองานเขียน และ Methodology ในสาขาสังคมศาสตร์ โดยในทั้งสองช่วงดังกล่าวได้รับความกรุณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน คือ ศ. เสน่ห์ จามริก และ Professor Volker Grabowsky เข้าร่วมประชุม รวมทั้งให้คำชี้แนะแก่นักศึกษาด้วย

ช่วงแรก การนำเสนองานเขียน ได้มีการกำหนดหัวข้อของกลุ่มผลงานไว ้ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

หัวข้อ 1. โลกาภิวัฒน์ : ท้องถิ่นนิยม VS ทิศทางไทยในด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ มีผลงานนำเสนอทั้งหมด 6 ฉบับโดยสามารถสรุปแนวคิดในหัวข้อนี้ กับงานเขียนที่มีการนำเสนอ ได้ว่า

ในปัจจุบันกระแสโลกาภิวัฒน์ได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางสังคมของแต่ละประเทศมากขึ้น จนในที่สุดได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างค่านิยม และวัฒนธรรมท้องถิ่นกับสิ่ง ที่สากลกำลังพยายามยัดเยียด ซึ่งจะเห็นได้ชัดในสังคมแห่งโลกตะวันออก อย่างไรก็ตามในความ เป็นจริงแล้วเราต้องยอมรับว่า ความเป็นสากล หรือการมีวัฒนธรรม ค่านิยมที่เหมือนกันทั่วโลก ไม่อาจทำให้ทุกประเทศพัฒนาไปได้ด้วยดี และเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากแต่ละประเทศ มีปัจจัยเกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นระบบโครงสร้างทางสังคม ค่านิยม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และจารีตประเพณี ซึ่งล้วนแล้วแต่หลอมรวมกันเข้าเป็นลักษณะของชาติ แต่ละชาติ การเข้ามาแห่งกระแสโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยี แนวคิด ระบบทุนนิยม ได้มีผลกระทบต่อ ระบบเศษรฐกิจ การเมือง และสังคมในทุก ๆ ด้านจนในที่สุดได้ก่อให้เกิดปัญหาและเกิดกระแสต่อ ต้านเพื่อคงไว้ซึ่งความหลากหลายแห่งวัฒนธรรม โดยปัญหาในส่วนนี้เอง คุณจิรวดี ขาวอ่อน ได้นำเสนอไว้ในงานเขียนระดับปริญญาเอก หัวข้อ “Asiatische Werte Debatte im Kontext der Globalisierung” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบสภาพสังคมเอเชียว่า หมายถึงสิ่งใด ดำเนินอยู่ อย่างไร และจะดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไรเพื่อให้คงไว้ซึ่งบทบาทที่มีต่อชาติของตน ทำนองเดียวกับ งานเขียนของ คุณทินยา โวลเวเบอร์ เรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขา และคนพื้นที่ราบ และบทบาทของนักมานุษยวิทยา” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะของการยกเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้น มาต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ งานเขียนระดับปริญญาเอกเรื่อง“สถาปัตยกรรมไทยกับพุทธศาสนา” ของพี่โต วันชัย มงคลประดิษฐ์ จากประเทศฝรั่งเศส ก็มีวัตถุประสงค์สอดคล้องต้องกันกับหัวข้อนี้ด้วย ทั้งนี้เพราะเป็น งานเขียนที่ต้องการค้นหาถึงวิธีการใช้ศิลปะแสดงออกมาซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม กล่าว คือ การใช้สถาปัตยกรรมสื่อความหมายของศาสนา และจิตวิญญาณ รวมทั้งพัฒนาการของระบบ ความเชื่อให้ดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างปกติสุข อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในเรื่อง การรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไปได้นั่นเอง นอกจากผลกระทบที่มีต่อระบบสังคมดังกล่าวมาแล้ว กระแสโลกาภิวัฒน์ยังมีผลกระทบ ในเรื่องการเมืองอีก ด้วย “การเงินของพรรคการเมือง เงินบริจาค ความโปร่งใส และการตรวจสอบ : กรณีศึกษาประเทศเยอรมันเปรียบเทียบกับประเทศไทย” ซึ่งเป็นงานเขียนระดับปริญญาเอกของ คุณปริญญา เทวานฤมิตกุล อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบการเมืองที่เข้ามามีบทบาทต่อการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ทั้งนี้เพราะในความเป็นจริงแล้วอาจกล่าวได้ว่า ระบบพรรคการเมืองมิได้เกิดขึ้นภายในประเทศไทยเอง แต่เป็นแนวคิดที่รับมาจากต่างประเทศและ ก็ได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านการเมืองไทย งานเขียนชิ้นนี้ต้องการศึกษาแง่มุมหนึ่งที่เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในส่วนของเงินสนับสนุนที่พรรคการเมืองจะได้รับเพื่อนำไปเป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อไป

ในส่วนผลกระทบในเรื่องระบบเศรษฐกิจนั้นกระแสโลกาภิวัฒน์ก็ได้เข้ามามีอิทธิพลอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเปิดตลาดเสรีการเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจภายในประเทศดังจะเห็น ได้จากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คุณสมศักดิ์ โง้ววัฒนา นักศึกษาปริญญาเอกจากประเทศฝรั่งเศส จึงได้นำงานเขียนเรื่อง “Economic Integration of the ASEAN” มาร่วมนำเสนอด้วย โดยศึกษาถึงบทบาทของประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ต่อความเจริญ ก้าวหน้าของประเทศในแถบอาเซียน รวมทั้งลักษณะการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในระหว่างประเทศ อาเซียนด้วยกันเอง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตามที่สุดแล้วเราคงต้อง ยอมรับว่า แม้แต่ละประเทศควรต้องคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม และจิตวิญญาณ ประชาชาติ เพื่อยังผลต่อทิศทางในการพัฒนาประเทศที่เหมาะสมกับประเทศของตนก็ตาม แต่ในยุคสมัยที่กระแสโลกาภิวัฒน์ยังมีกำลังในการขับเคลื่อนสูงเช่นนี้ ประเทศใดประเทศหนึ่งคงไม่ สามารถดำรงอยู่ได้โดยลำพังโดยไม่มีการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ อย่างน้อยก็กับ ประเทศใกล้เคียง ดังนั้นการตกลงทำสนธิสัญญาในเรื่องต่างๆ ทั้งการเมือง สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ลำบาก เช่นนี้ปัญหาที่ผู้ศึกษาวิชาและนัก วิจัยแขนงต่าง ๆ ต้องหันมาขบคิดก็คือ ทำอย่างไรการตกลงทำสัญญาดังกล่าวจะเป็นธรรมต่อ ประเทศของตนมากที่สุด สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐาน และแนวทางพัฒนาประเทศโดยให้ ประชาชนในชาติให้ความร่วมมือในบริบทของสังคมได้มากที่สุดด้วย ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ดังกล่าวได้ถูกนำเสนอโดย คุณชาติชาย เชตสุมน ในงานเขียนระดับปริญญาเอกด้าน กฎหมายเรื่อง “Die Vollstaendigkeit der voelkerrechtlichen Vertraege im deutschen und thailaendischen Recht” หรือ “การทำสนธิสัญญาให้มีผลบังคับใช้ภายในประเทศ :กรณีศึกษาไทย เยอรมัน” ทั้งนี้เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวิธีการของประเทศไทยกับประเทศเยอรมัน และนำแนวคิด ี่ประเทศเยอรมันใช้แก้ไขไปประยุกต์ใช้กับระบบกฎหมายในประเทศไทยต่อไป

หัวข้อที่ 2 เทคโนโลยี อินเตอร์ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ปัญหาด้านกฎหมาย และนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งมีงานเขียน 3 ฉบับที่ร่วมนำเสนอในหัวข้อนี้ โดยได้ข้อสรุปในส่วนนี้ว่า ทุกสาขาวิชาต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหาที่เกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เนื่องจากปัญหา ดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวโยงกับหลายสาขาวิชา ประเทศต้องวางนโยบายและแบบแผนใน การปฏิบัติอย่างไรจึงจะก่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการใช้เทคโนโลยี โดยไม่เกิดความขัดแย้ง หรือทำอย่างไรเทคโนโลยีจึงจะสามารถดำเนินต่อไปได้ภายใต้ความเป็นธรรมในสังคม ในหัวข้อนี้ มีข้อสรุปที่ต้องตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกฎหมายว่านักกฎหมายคงไม่สามารถออก กฏหมายโดยอาศัยแนวคิดทฤษฏีแบบเดียวกับในสมัยก่อนได้อีกแล้ว แต่จะต้องคำนึงถึงสภาพสังคมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นประกอบกันด้วย ดังเช่นงานเขียนของ คุณสุนทรียา เหมือนพะวงศ์ ที่ได้นำเสนอเรื่อง “การบัญญัติ และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ซึ่งมีบทสรุปค่อนข้างชัดเจนในเรื่องของการที่นักกฎหมายต้องหันมาหาความเป็นธรรมโดยร่วมมือกับผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาอื่นด้วย โดยอาจยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรมได้ในกรณีของ กฎหมายที่จะออกมาเพื่อควบคุมการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน อันเป็นกรณีที่นักกฎมายไม่สามารถอาศัยความรู้ทางด้านกฎหมายที่มี อยู่เพียงอย่างเดียวออกกฎหมายเพื่อมาใช้บังคับหรือวางแนวทางให้กับสังคมที่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ได้ แต่ต้องอาศัยความรู้ในสาขาวิชาอื่น ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อหาความ เป็นไปได้และวิธีการที่เหมาะสมในการเข้าไปควบคุมดังกล่าว ดังเช่นงานเขียนที่ได้นำเสนอโดย คุณสาวตรี สุขศรี ซึ่งเป็นงานที่จะได้มีการเขียนต่อไปในระดับปริญญาโทแต่ได้เคยวิจัยมาแล้ว ในงานระดับปริญญาโทที่ประเทศไทยในเรื่อง “ภาระหน้าที่และความรับผิดทางอาญาของผู้ให้ บริการอินเตอร์เน็ต: ศึกษาเฉพาะกรณีการเผยแพร่ภาพลามกและการหมิ่นประมาณ” ในส่วนของปัญหาด้านแนวนโยบายแห่งรัฐที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี อินเตอร์ สิ่งแวดล้อม และพลังงานนั้นคุณณัฐพันธ์ ถนอมสัตย์ นักศึกษาปริญญาตรี-โทด้านวิศวกรรมศาสตร์ ก็ได้ร่วมนำ เสนองานเขียนด้านวิศวกรรมศาสตร์เชิงนโยบาย เรื่อง “การยกเลิกการผูกขาดด้านพลังงานของ เยอรมัน” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางแก้ปัญหาด้านนี้ตามนโยบายแห่งประเทศเยอรมัน เพื่อนำกลับไปประยุกต์ใช้กับประเทศไทยด้วย ซึ่งงานเขียนลักษณะนี้เองได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนถึง มุมมองที่กว้างขึ้นของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจทางด้านแนวนโยบายแห่งรัฐอันเป็นขอบเขตในสาขาสังคมศาสตร์ จึงเป็นลักษณะงานวิจัยที่อาศัยความรู้ แบบสหวิทยาการ เข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนั่นเอง

หัวข้อที่ 3 ภาษาศาสตร์ เทคนิคการเปิดโลกกว้างผ่านภาษา ซึ่งมีงานเขียนที่นำเสนอในหัว ข้อนี้เพียงหนึ่งฉบับเท่านั้น คือ งานเขียนระดับปริญญาเอกของ คุณนรเศรษฐ์ แก้ววิภาส เรื่อง “แนวทาง และระเบียบวิธีการวิจัยทางภาษาศาสตร์ประยุกต์ภาษาเยอรมัน ในฐานะภาษาต่าง ประเทศ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงพัฒนาการของวิชาภาษาเยอรมันในฐานะของภาษาต่าง ประเทศ เนื้อหาการเรียนการสอน รูปแบบการวิจัย เพื่อนำแนวคิดดังกล่าวกลับไปพัฒนาสาขาวิชา นี้ในประเทศไทยต่อไปอันนับเป็นงานเขียนที่มีประโยชน์ในแง่ของการกระบวนการเปิดโลกทัศน์ ของคนไทยให้กว้างขวางขึ้น ภายหลังการนำเสนอผลงานครบถ้วนแล้วท่าน ศ. เสน่ห์ จามริกประธาณคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้กรุณาวิพากษณ์วิจารณ์งานเขียน และให้คำชี้แนะแก่นักศึกษาผู้นำเสนอ งานในทุกหัวข้อรวมทั้งนำยังได้ร่วมเสนอความคิดเห็นในหัวข้อ “ภารกิจและบทบาทของนักสังคมศาสตร์ไทยในปัจจุบัน” เพื่อฝากเป็นแง่คิดให้กับนักศึกษาทุกคนที่เข้าร่วมประชุมด้วยในส่วนนี้ จึงนับเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาทั้งผู้นำเสนอผลงาน และนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างมาก

ช่วงที่ 2 Methodology ในสาขาสังคมศาสตร์ ในช่วงที่สองนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ ต่อนักศึกษาที่เพิ่งเริ่มศึกษา และยังไม่ได้เขียนงาน ทางกลุ่มสังคมศาสตร์จึงได้จัดให้มีการแนะนำระเบียบวิธีวิจัย การเลือกหัวข้องานเขียน รวมทั้ง กระบวนการในการได้มาซึ่งข้อมูล โดยนักศึกษารุ่นพี่ที่ได้ผ่านการเขียนงานมาแล้ว ทั้งระดับ ปริญญาโทและปริญญาเอก นอกจากนั้นยังได้รับเกียรติจาก ท่าน Professor Volker Grabowsky โปรเฟสเซอร์ชาวเยอรมันในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ละในฐานะที่ท่านได้เคยตรวจงานเขียนตาม มาตรฐานของชาวเยอรมันมาโดยตลอดได้มาให้คำแนะนำ และพูดคุยในหัวข้อ “การเขียนงานวิชา การ (WissenschaftlicheArbeit)” อีกด้วย ำหรับรุ่นพี่ที่กรุณามาให้คำแนะนำกับรุ่นน้องในช่วงนี้ คือ พี่ปิ่น พี่ทินยา รวมทั้งพี่ประมวลซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกจากประเทศฝรั่งเศส เนื้อหาหลัก ของช่วงนี้ คือ ารแนะนำวิธีการในการเลือกหัวข้อทำวิจัย ซึ่งสรุปได้ใน 2 หลักเกณฑ์ด้วยกันคือ นักศึกษาผู้เขียนงานควรเลือกหัวข้อที่ตนเองสนใจจริง ๆ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการค้นคว้า และง่าย ต่อการทำความเข้าใจเพราะเป็นเรื่องที่ตนเองสนใจอยากรู้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันที่ สังคมและประเทศมีปัญหามากมายที่ยังรอการแก้ไข เช่นนี้การเลือกหัวข้อที่ตนเองสนใจเพียงอย่าง เดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมเลย จึงอาจกลายเป็นงานเขียนที่ไม่สามารถนำไป ใช้ประโยชน์ได้เท่าที่ควร หรืออาจไม่เป็นที่สนใจของ อาจารย์ด้วย ดังนั้นนักศึกษาควรคิดงานวิจัย โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานหลัก ๆ สองส่วนคือ 1.ที่ตนเองสนใจ และ 2.สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง ต่อไปได้ในอนาคตด้วย หลังจากนั้นจึงได้เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเรื่องระเบียบ วิธีวิจัย และกระบวนการการได้มาซึ่งความรู้ รวมทั้งวิธีการและแหล่งข้อมูลที่นักศึกษาจะสามารถ นำไปปรับใช้กับงานเขียนของตนเองได้

ในช่วงท้ายสุด Prof. Grabowsky ได้กรุณาให้ข้อคิดที่มีประโยชน์อย่างมากแก่นักศึกษาด้วย ว่า ในสมัยก่อนนี้การเรียนการศึกษาวิชาต่างๆ ไม่ได้มีการแบ่งแยกออกเป็นคณะฯหรือเป็นสาขา อย่างเช่นในปัจจุบัน ผู้ศึกษาจะได้ศึกษาความรู้ในทุกแขนงวิชา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องนำความรู้ ที่ตนเองมีอยู่ไปใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นักปราชญ์หรือผู้มีความรู้ในสมัยนั้นจึงสามารถคิดแก้ไข ปัญหาโดยมีมุมมองที่รอบด้านมากกว่าผู้ศึกษาในยุคสมัยนี้ ดังจะเห็นได้จากวิธีการของนักปราชญ์ ที่มีชื่อเสียงในอดีตหลายท่าน แต่ต่อมาเมื่อได้เริ่มมีการแบ่งแยกสาขาวิชาโดยวัตถุประสงค์ที่ต้อง การให้เกิดความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านขึ้น ถึงแม้จะมีประโยชน์ในแง่ที่ผู้ศึกษาในยุคปัจจุบัน เป็นผู้รู้และมีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่ตนเรียนมาอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วกลับส่งผล ในแง่ของแนวคิด รวมทั้งแง่มุมที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาสังคม ทั้งนี้เพราะผู้เชี่ยวชาญเพียงสาขาเดียว ย่อมไม่อาจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ปรากฎว่า การคิดแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และงานวิจัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่วนใหญ่มักอาศัยพื้น ฐานแนวคิด และมุมมองจากสาขาวิชาที่ตนเองศึกษาเป็นที่ตั้งเพียงสาขาเดียวเท่านั้น หาได้มองจาก ลักษณะของปัญหาที่เกิดไม่ ในขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงแล้วมีความเกี่ยวพันกับหลายๆ สาขาวิชา และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันแก้ไข อย่างไรก็ตามหนทางในการแก้ไข สถานการณ์เช่นนี้น่าจะอยู่ที่ผู้ศึกษาในแต่ละสาขาวิชาในปัจจุบันต้องเปลี่ยนทัศนะคติ และหันมาร่วมมือกันเพื่อคิดวิธีการแก้ปัญหาสังคมแบบที่เรียกว่า การแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้แบบ“สหวิทยาการ” ทั้งนี้เพื่อให้มีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้นนั่นเอง

Send your comment and suggestions to webmaster