|
๏______นิราศร้างห่างเหเสน่หา
|
|
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย
หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง
แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงส์ตรัย
หรือไปปะพระอาทิตย์พิศวาส
หรือเมขลาพาชวนนวลละออง
หรือไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส
โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง
จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ
๏ พระผันแปรแลรอบขอบทวีป
จะแลดูสุริยนก็สนธยา
ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง
ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน
ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด
โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง
เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท
โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง
|
พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย
สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
น้องจะลอยลมบนไปหนใด
ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน
สหัสนัยน์จะช่วยรับประคับประคอง
ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง
เที่ยวลอยล่องเลียบฟ้าชมสาคร
บริเวณเมรุมาศราชสิงขร
จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว
นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาดคลาฯ
เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา
จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน
เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน
ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง
ระทวยทดทอดทบซบกันแสง
ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง
ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง
พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรมฯ
|
|
๏
โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉะนี้
เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม
โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน
ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน
โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม
ยังรื่นรื่นชื่นใจอาลัยวอน
จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม
โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้
๏ โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม
ยังเคลิ้มเคล้นเช่นปทุมกระพุ่มพวง
จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน
ครั้นรู้สึกดึกดื่นสะอื้นอาย
เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งจาบัลย์
๏ พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต
ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย
เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน
เห็นสระศรีที่เคยมาประพาส
ลมรำเพยเชยชายกระจายจร
๏ โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน
หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย
โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง
ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง
จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง
เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์
เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง
โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง
ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย
เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน
ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น
จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ
เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา
เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร
หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ
ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง
|
เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม
ยามประโลมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ
แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน
วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน
เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร
สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์ระทมทวี
ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี
เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวงฯ
เคยโอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง
เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย
ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย
แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน
พระทัยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน
สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพตฯ
กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด
พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน
เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน
จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์
ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน
หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรยฯ
เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย
พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตะลึง
เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำลึกถึง
เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง
แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง
เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง
แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง
พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤทัย
ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว
ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น
เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น
ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา
ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา
หรือกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด
จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว
ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง
บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง
อาบละอองเกสรขจรจายฯ
|
|
๏
จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น
ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย
จำจะตามทรามชมทางลมพัด
ดำริพลางทางสะท้อนถอนฤทัย
จึงแปลงนามตามกันเป็นปันจุเหร็จ
พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา
๏ พระเหลียวดูภูผาสะตาหมัน
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป
เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริด
โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย
๏ โอ้นกเอ๋ยเคยพากันมาจับ
โอ้เขาสูงฝูงหงส์เคยลงเดิน
จะเริดร้างห่างหงส์ไปดงอื่น
โอ้ก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรร้อง
ได้เคยฟังครั้งนี้มาวิบาก
แม้นพบเห็นเป็นตัวไม่กลัวเกรง
นี่จนใจไม่เห็นด้วยเป็นเคราะห์
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดอัดอารมณ์
แต่จำเป็นเกนหลงมาดงด้วย
กรดกระถินอินจันพรรณไม้
บ้างแก่อ่อนซ้อนซับสลับสล้าง
ที่ตายตอหน่อหนุนขึ้นรุ่นเรียว
๏ พระชวนพลอดกอดน้องประคองอุ้ม
ป่าประเทศเขตแคว้นแดนชวา
โกฐสดำจำปาดะดงองุ่น
สลาสล้างนางแย้มเข้าแกมกัน
โกฐกระวานกานพลูดูระบัด
หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง
ที่พื้นปราบราบรายล้วนทรายอ่อน
เทียนยี่หร่าป่าฝิ่นส่งกลิ่นฟุ้ง
๏ คิดถึงนุชบุษบานิจจาเอ๋ย
ยิ่งโศกเสียวเหลียวหาให้อาดูร
ดูเล็บนางนึกถึงนางเหมือนอย่างเล็บ
เห็นนมนางกลางพนมนึกชมแทน
มะปรางต้นผลอย่างพระปรางน้อง
ฝืนอารมณ์ชมพลับต้นทับทิม
๏ พนมมาศลาดเลี่ยนเตียนตลิบ
บ้างทะมึนทึนเทิ่งเป็นเชิงเทิน
เสียงสินธุดุดั้นลั่นพิลึก
ที่น้ำโจนโผนพังดังสะท้าน
คะนึงถึงนุชบุษบาแม้นมาเห็น
ฝูงปลาทองท่องไล่เล็มไคลกิน
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน
ปลานวลจันทร์นั้นก็งามแต่นามนวล
พลางรีบทัพขับรถกำหนดแสวง
ไม่ประสบพบเห็นให้เย็นทรวง
ถึงพลมากจากมิตรแต่จิตเปลี่ยว
เห็นนกหกผกโผนโจนจับไม้
นกกระตั้วคลัวเคลียตัวเมียป้อน
ป้อนสลาพาชื่นทุกคืนวัน
เห็นนกเปล้าเคล้าคู่เข้าชูชื่น
พอเวลาสายัณห์ตะวันเย็น
บ้างเยื้องอกหกหางก้อกางปีก
บ้างย่างย่องจ้องประจงที่วงเวียน
|
ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย
ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ
เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน
ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา
จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา
ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไปฯ
ที่สำคัญคูหาเคยอาศัย
จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย
ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย
จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนินฯ
จะแลลับฝูงนกระหกระเหิน
เคยเพลิดเพลินพิศวงด้วยหงส์ทอง
ทุกวันคืนค่ำเช้าจะเศร้าหมอง
ประสานซ้องเสียงดังดูวังเวง
ต้องพลัดพรากเพราะว่าลมทำข่มเหง
จะรำเพลงกริชผลาญสังหารลม
มาจำเพาะพลัดคู่เคยสู่สม
จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
ต้องชี้ช่วยชมผาพฤกษาไสว
มีดอกใบก้านกิ่งขึ้นพริ้งเพรียว
บ้างสดสร่างสีชุ่มชอุ่มเขียว
เถาวัลย์เกี่ยวกอดกิ่งเหมือนชิงช้าฯ
ให้ชมเพลินเดินมะงุมมะงาหรา
อินทะผาลัมชุมสลุมพัน
สหัสคุณขึ้นระคนปนปาหนัน
หญ้าฝรั่นฝรั่งเรียงขึ้นเคียงดง
กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง
พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง
เข้าดงดอนเลียบเดินเนินกุหนุง
สมส้มกุ้งโกฐจุฬาการบูรฯ
มิได้เชยชมสบายมาหายสูญ
ยิ่งเพิ่มพูนพิศวงในดงแดน
เคยข่วนเจ็บรอยมีอยู่ที่แขน
ละม้ายแม้นเหมือนเหมือนจะเยื้อนยิ้ม
น้ำเนตรคลองคลอคล้อยย้อยหยิมหยิม
ขึ้นรอบริมหว่างเขาลำเนาเนินฯ
บ้างสูงลิบลอยแหงนเป็นแผ่นเผิน
เป็นกรอกเกริ่นโกรกกรวยลำห้วยธาร
สะท้านสะทึกโถมฟาดฉาดฉาดฉาน
บ้างพุซ่านสาดสายสุหร่ายริน
จะลงเล่นลำธารละหานหิน
กระดิกดิ้นดูงามตามกระบวน
ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน
ไม่งามชวนชื่นเช่นระเด่นดวง
ทุกหล้าแหล่งลำเนาภูเขาหลวง
ให้เหงาง่วงเงียบเหงาเศร้าพระทัย
เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล
บ้างฟุบไซ้ปีกหางต่างต่างกัน
เหมือนขวัญอ่อนแอบประทับพี่รับขวัญ
มาจากกันกรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น
ถอนสะอื้นเหมือนไม่พอใจเห็น
นกยูงเล่นลมเพลินบนเนินเตียน
แฉลกฉลีกเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน
ออกกลางเตียนตีนขวิดดูกรีดกรายฯ
|
|
๏
คิดถึงไปใช้บนได้ยลสมร
โอ้อาภัพลับนุชสุดเสียดาย
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดล้วนโสดสูง
หงส์ก็งามตามอย่างเพราะหางงอน
อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์
พวกม่าเหมี่ยวเที่ยวเดินเนินพนม
เหล่าละเมาะเงาะป่าคุลาอยู่
สิงโตตื่นยืนหยัดสะบัดตน
ฝูงมฤคถึกเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองเดิน
พี่เข้าด้วยช่วยประคองพระน้องนุช
โอ้ยามนี้มิได้น้องประคองเคียง
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง
แม้นกรรมหนุนบุญน้อยจะลอยเลย
๏ พระครวญคร่ำร่ำไรมาในรถ
พอเวลาสายัณห์ตะวันรอน
โอ้นกเอ๋ยเคยอยู่มาสู่ถิ่น
ครั้นแลดูสุริย์แสงก็แดงดัง
เหมือนครั้งนี้พี่มาโศกแสนเทวษ
โอ้ตะวันครั้นจะลบภพไตร
ประหลาดนักรักเอ๋ยมาเลยลับ
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงคลั่งคลอ
ชะนีน้อยห้อยไม้เรไรร้อง
เหมือนอกพี่ที่ถวิลให้ดิ้นโดย
๏ พระสุริยงลงลับพยับค่ำ
หยุดสำนักพักพลสกลไกร
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด
ต้องจากวังครั้งนี้เพราะพี่พา
นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม
คิรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงชัย
เคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่
เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย
โอ้เวลาปานฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย
น้ำค้างเผาะเหยาะเย็นกระเซ็นซัด
พระขวัญเอ๋ยเคยนอนอย่าร่อนเร่
ขวัญมาอยู่สู่ที่พระพี่ยา
พระขวัญเอ๋ยเคยแอบแนบถนอม
โอ้แรมล่วงดวงเดือนก็เลื่อนเอียง
บุษบายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย
เมื่ออุ้มออกนอกเขตนิเวศน์วัง
พี่หยอกเย้าเซ้าซี้มีแต่โกรธ
อยู่ใกล้เคียงเพี้ยงเอ๋ยได้เชยชิม
พระครวญคร่ำรำลึกจนดึกเงียบ
สงบเสียงสิงสัตว์สงัดไพร
สุมามาลย์บานกลิ่นระรินรื่น
ผีพระไทรไม้พุ่มงุมงุมงึม
เหล่ามารยาป่าโป่งเที่ยวโทงเถื่อน
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย
จนทรวงเจ็บเหน็บแน่นแหงนดูฟ้า
พระน้องนุชบุษบาเจ้าข้าเคย
ทั้งโกสีย์ตรีเนตรเห็นเหตุสิ้น
หาไม่ฉันวานแต่พระสุชาดา
ทั้งพรหมานวานแต่พาหนะหงส์
แม้นได้นุชบุษบาวิลาวัณย์
|
เมื่อทอดกรฟ้อนรำระบำถวาย
สะอื้นอายมยุราให้อาวรณ์
แต่ล้วนฝูงหงส์จับสลับสลอน
เป็นคู่ป้อนปกปิดกันชิดชม
ปีกเหมือนครุฑครีบเท้ามีเผ้าผม
ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน
เที่ยวกินปูเปี้ยวป่าผลาผล
เห็นผู้คนโผนข้ามลำเนาเนิน
เป็นคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน
เหมือนน้องเชิญพานผ้าประหม่าเมียง
สงสารสุดสุดสวาทไม่อาจเถียง
พี่ก็เสี่ยงบุญตามเจ้าทรามเชย
คงได้น้องคืนมาเรียงเคียงเขนย
มิได้เชยบุษบาพะงางอนฯ
โศกกำสรดแสนเสียดายสายสมร
ปักษาร่อนรีบกลับมาจับรัง
แต่ยุพินลิบลับไม่กลับหลัง
หนึ่งน้ำครั่งคล้ำฟ้านภาลัย
ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล
ก็อาลัยโลกยังหยุดรั้งรอ
เหมือนเพลิงดับเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนอ
ยิ่งเย็นย่อเสียวทรวงให้ร่วงโรย
เสียงแซ่ซ้องเริ่มรัวเรียกผัวโหวย
ละห้อยโหยหานางมากลางไพรฯ
ถึงแนวน้ำเนินผาพฤกษาไสว
พระเนาในรถทองกับน้องยา
ให้บรรทมโสมนัสในรัถา
พระน้องมาอ้างว้างวังเวงใจ
งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว
อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง
มาฟังเรไรแซ่เหมือนแตรสังข์
มากำบังใบไม้ในไพรวัน
จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย
ต่างสำเนียงขับครวญหวนละห้อย
เหมือนนางคอยหมอบกรานอยู่งานพัด
กระไรเลยแลเงียบเชียบสงัด
ดึกสงัดดวงจิตจงนิทรา
ไปว้าเหว่หว่างไม้ไพรพฤกษา
พระมารดาบิตุเรศนิเวศน์เวียง
มาฟังกล่อมกลอนเพราะเสนาะเสียง
พี่พิศเพียงพักตร์แฝงพลิกแพลงบัง
ช่างลอยเลยลิบลับไม่กลับหลัง
พระน้องนั่งรถทรงที่ตรงริม
สะอื้นโอษฐ์โอษฐ์เอี่ยมเสงี่ยมหงิม
ถนอมนิ่มเนื้อน่วมร่วมฤทัย
เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
ทุกกอกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม
ในเที่ยงคืนเสียงแต่ผึ้งหึ่งระหึม
โขมดพึมผิวกู่หวิวหวู่โวย
ตะโกนเพื่อนเพิกเสียงสำเนียงโหย
ยิ่งดิ้นโดยเดือนดับไม่หลับเลย
องค์ประตาระกาหลาเจ้าข้าเอ๋ย
เป็นคู่เชยชมชื่นให้คืนมา
ว่ายุพินอยู่ที่ไหนนำไปหา
ช่วยอุ้มพามาให้พบประสบกัน
จะได้ทรงเหาะแสวงทุกแห่งสวรรค์
จะทำขวัญหงส์พรหมให้สมยศฯ
|
|
๏
จนพลบค่ำรำลึกนึกอนาถ
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันให้รันทด
ทุกแว่นแคว้นแดนชวาสุธาทวีป
ไม่พบเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ
๏ เมืองระตูรู้ทั่วกลัวอำนาจ
ไม่ไยดีอีนังแต่ซังตาย
แม้นมิเหมือนเพื่อนเชยที่เคยชิด
แต่ปราศรัยไต่ถามตามธรรมเนียม
๏ ถึงเจ็ดเดือนเคลื่อนคลาดประหลาดแล้ว
จนพระรูปซูบผอมเพราะตรอมใจ
จนถึงทางร่วมที่บุรีรัตน์
เห็นเขาเขินเนินร่มพนมวัง
ที่ธารถ้ำน้ำพุทะลุลั่น
ผลาผลหล่นกลาดดาษกระเด็น
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา
แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
จะสร้างพรตอดรักหักสวาท
แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย
จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศรม
ปะตาปาอายันอยู่บรรพต
ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช
จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย
|
ไม่ไสยาสน์ยามวิโยคโศกกำสรด
ให้ยกทัพขับรถเลี้ยวลดเดิน
เที่ยวเร็วรีบรอบเกาะดังเหาะเหิน
ไปจนเกินมะละกาพารารายฯ
ต่างแต่งราชธิดามาถวาย
แม้นแก้วหายได้ปัดไม่ทัดเทียม
ไม่ขอคิดนึกหน่ายละอายเหนียม
ไม่และเลียมเลยแสวงทุกแห่งไปฯ
ไม่พบแก้วกลอยจิตพิสมัย
ทั้งนายไพร่พลนิกรอ่อนกำลัง
ที่จะตัดมรคาไปกาหลัง
ต้นดงรังครึกครื้นระรื่นเย็น
เป็นช่องชั้นบัลลังก์น่านั่งเล่น
ดอกไม้เป็นดอกพร้อมหอมรัญจวน
เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน
ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย
จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส
รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด
อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย
ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย
ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอนฯ
|
|
๏
คิดถึงนุชบุษบาออกมานั่ง
พระตรวจน้ำร่ำว่าด้วยอาวรณ์
จะอุตส่าห์ปะตาปารักษากิจ
จะเกิดไหนในจังหวัดปัถพี
เป็นจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแลอังกฤษ
แม้นเป็นไทยให้เป็นวงศ์ร่วมพงศ์พันธุ์
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสด็จกลับ
ทุกเช้าค่ำรำลึกเฝ้าตรึกตรอง
|
บนบัลลังก์เหลี่ยมผาหน้าสิงขร
หวังสมรเหมือนจะคลาดในชาตินี้
อวยอุทิศผลผลาถึงยาหยี
ให้เหมือนปี่กับขลุ่ยต้องทำนองกัน
ให้สนิทเสน่หาตุนาหงัน
พอโสกันต์ให้ได้อยู่เป็นคู่ครอง
เข้าห้องหับโหยไห้พระทัยหมอง
จนขาดครองคราวสวาทนิราศเอยฯ
|