หน้าแรกผู้จัดการ Online | หน้าแรกป้อมพระสุเมรุ | ติดต่อเรา E-mail this articlePrint this article
วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2545
คำประกาศแห่งยุคสมัย : คำประกาศชาตินิยมใหม่
      ในยุคที่คำว่าโลกาภิวัตน์ (globalization) กำลังแผ่ขยายเข้าไปในทุกสังคมในสมองของชนชาติต่าง ๆ คำว่า “ชาตินิยม” กำลังถูกทำให้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นคำที่ไม่พึงปรารถนา เป็นคำที่สร้างความคิดและจิตสำนึกเหนี่ยวรั้งความทันสมัย เหนี่ยวรั้งก้าวย่างที่จะเดินตามกระแสโลก

ในสมองของพวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาที่คลั่งไคล้โลกาภิวัตน์ กำลังละเมอเพ้อพกไปไกลว่า อาณาเขตประเทศชาติไม่มีความหมาย โลกไร้พรมแดน แว่นแคว้นเป็นมายา พวกเขาแสร้งทำเป็นลืมไปว่า เมื่อต้องเดินทางไปประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา คนจากประเทศด้อยพัฒนาจะต้องขอวีซ่าด้วยความลำบากยากเย็น ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ หางานทำ ต้องคอยหลบการจับกุม พวกเขาพากันมืดบอดจนมองไม่เห็นว่าสินค้าส่งออกที่จะส่งเข้าไปในดินแดนยุโรปและสหรัฐอเมริกาต้องถูกตรวจสอบกีดกันด้วยวิธีการนานาชนิดที่เรียกว่า การกีดกันที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี (Non-tariff barriers)

พวกเขาลืมคิดหรือแสร้งลืมคิดไปว่า คนประเทศด้อยพัฒนาที่จะไปลงทุนทำการค้า หางานทำ และส่งสินค้าไปขาย ในประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา มันไม่ง่ายเหมือนคนจากประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในประเทศด้อยพัฒนา มันไม่ง่ายเหมือนบริษัท จี.อี. แคปปิตอล (G.E. Capital) ที่เข้ามาประมูลซื้อสินทรัพย์ราคาถูกๆจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) และเที่ยวกล่อมให้รัฐบาลไทยเชื่อว่าเป็นบริษัทที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส แต่กำลังถูกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตร้องเรียนว่า บริษัท จี.อี. ไม่โปร่งใส ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแก๊สที่ราชบุรีต่ำกว่ามาตรฐานที่ตกลงกันไว้ ยอกย้อนซ่อนเงื่อนเรื่องแบบและวัสดุก่อสร้าง

จี.อี. และ จี.อี.แคปปิตอล คือกลุ่มบริษัทเดียวกันที่เข้ามามีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจไทย ครอบครองใจรัฐบาลชวน-ธารินทร์ และจี.อี. แคปปิตอล กำลังดูดกินตลาดสินเชื่อรายย่อยในขอบเขตทั่วประเทศอย่างรวดเร็วเราอยากให้พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสา บ้าโลกาภิวัตน์ เปิดตาเปิดใจดูความเป็นจริงว่า คนบนผืนแผ่นดินไทยได้อะไร เสียอะไร จากการบ้า “โลกาภิวัตน์” เราจะส่งเสริมส่วนที่ได้อย่างไร ป้องกันส่วนที่เสียไม่ให้ลุกลามได้อย่างไร

“ความคิดชาตินิยมใหม่” คือความคิดและจิตสำนึกที่จะสร้างภูมิคุ้มกันที่จะสกัดกั้นมิให้ความหายนะที่มากับโลกาภิวัตน์เข้ามาทำลายรากฐานทางเศรษฐกิจและสังคมไทย

แผนของ CFR ที่มาของโลกาภิวัตน์หลังสงครามเย็น

CFR (Council on Foreign Relations) หรือสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นองค์กรกึ่งปิดกึ่งเปิดของกลุ่มอิทธิพลในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจใหญ่ นักการเมืองผู้มีอำนาจ นักวิชาการ สื่อมวลชน และผู้มีอำนาจรัฐสายทหารและตำรวจ

ตามรายงานของ Shoup and Minter ในหนังสือ Imperial Brain Trust (หน้า 256) CFR ได้กำหนดแผนการครอบงำโลกไว้ตั้งแต่ปี 1975 ว่า

“จะต้องยึดกุมยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนโลก โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนต่างๆ ทั้งระดับปัจเจกบุคคล ระดับองค์กร ระดับรัฐบาล ระดับระหว่างประเทศ กลุ่มผู้นำ บรรษัท กลุ่มผลประโยชน์ มวลชน และองค์กรอื่นๆ ทั้งระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ”

ฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus) ที่ประกอบด้วย การเปิดเสรี การแปรรูปให้เป็นเอกชน และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคม คือเครื่องมืออันทรงพลานุภาพในการปรับเปลี่ยนโลกด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ข้อมูลข่าวสาร และค่านิยมแบบอเมริกันนิยม (Americanism) คือเครื่องมืออันทรงพลานุภาพที่จะสร้างสมองพวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาให้คลั่งไคล้กระแสโลกาภิวัตน์ที่มีต้นธารมาจากกระแสอเมริกาภิวัตน์ หรือที่แท้คือแผนครอบงำโลกของ CFR

และการที่พวกกลุ่มทุนใหญ่อเมริกันสร้างความมั่งคั่งด้วยแผนการทุกชนิด ทั้งชอบธรรมและไม่ชอบธรรม ทั้งสกปรกและไม่สกปรก ทำให้กลุ่มทุนใหญ่อเมริกันร่ำรวยที่สุด มีอำนาจแท้จริงสูงสุด เหนือสังคมสหรัฐอเมริกาและเหนือสังคมโลก

ในหนังสือ Globalization and its discontents ของ Roger Burbach และคณะ เรียกกลุ่มทุนอเมริกันเหล่านี้ (หน้า 108) ว่า “พ่อค้าโจร” (robber baron) รุ่นใหม่ ที่มีวิถีชีวิตมั่งคั่งด้วยวิธีการสารพัดเลว เหมือนพวกพ่อค้าโจรยุคปลายคริสตศตวรรษที่ 19

ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เที่ยวเรียกร้องและกดดันให้รัฐบาลและเอกชนในประเทศกำลังพัฒนามีความโปร่งใส รับผิดชอบ ตรวจสอบได้ (accountability) แต่ Robert Monk กลับกล่าวไว้ใน Financial Time (15 กรกฎาคม 1996) ว่า

“บรรษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกันมีอำนาจล้นฟ้า ไม่มีใครตรวจสอบได้ และไม่เคยรับผิดชอบต่อใครเลย”

และนี่เองที่บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้กำลังวางตนเป็นผู้มีอำนาจเหนือรัฐในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายได้

เมื่อพูดถึงแผนครอบงำโลก พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาต่างพากันเบือนหน้า บอกว่าเป็นไปไม่ได้ สหรัฐอเมริกาไม่ทำเช่นนั้น แล้วก็หลงละเมอเพ้อพก ยกย่องความวิเศษวิโส ความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรม ของสหรัฐอเมริกา โดยพวกเขาลืมคิดไปว่า สหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้นมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อินเดียนแดง ยึดครองดินแดนเม็กซิโก ครอบครองฟิลิปปินส์ พวกเขาลืมคิดไปว่าสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูฆ่าพลเมืองญี่ปุ่นนับแสนคน พลเมืองเหล่านี้เป็นทั้งผู้หญิง คนแก่ และเด็กไร้เดียงสา ซึ่งล้วนไม่ใช่ทหารและปราศจากอาวุธ และทิ้งระเบิดนาปาล์มเผาล้างป่าและล้างหมู่บ้านเป็นร้อยๆหมู่บ้านในสงครามเวียตนาม

พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ ไม่เคยตั้งคำถามว่าการยึดครองประเทศอื่น ๆ ของประเทศผู้มีอำนาจมากกว่านั้นเขาทำกันอย่างไร ทำกันมากี่ยุคกี่สมัยในประวัติศาสตร์ เป้าหมายของการยึดครองคืออะไร กลยุทธ์และวิธีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาพากันไม่เข้าใจว่า การยึดครองประเทศอื่น ๆ มีเป้าหมายอยู่ที่การดูดกินความมั่งคั่งและทรัพยากรเพื่อสนองความโลภของมนุษย์ผู้มีอำนาจมากกว่า การดูดกินความมั่งคั่งได้พัฒนารูปแบบมาโดยลำดับ จากการปล้นสดมภ์กวาดต้อนผู้คน มาเป็นการยึดครองขยายดินแดนอาณานิคม แล้วมาถึงยุคปัจจุบัน คือ การครอบครองตลาดดูดกินสินทรัพย์และกำไร วิธีการดังกล่าว ลูล่า (Lula) ผู้นำแรงงานของบราซิลเรียกว่า “สงครามเงียบ” (silent war) ที่ทำลายประเทศด้อยพัฒนา ทำให้เด็ก ๆ อดตาย ทำให้คนว่างงาน ทำให้ธุรกิจล้มละลาย ทำให้เศรษฐกิจล่มสลาย ทำให้ประชาชนทุกข์ยากลำบากและล้มตาย โดยไม่ต้องใช้ทหารทำการรบ

วิธีการหลังสุดนี้ เงื่อนไขเบื้องต้นของความสำเร็จคือ การยึดพื้นที่สมองของกลุ่มคนที่ต้องการใช้เป็นเครื่องมือ การดูดกินที่เป็นรูปธรรมก็คือ พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสา คลั่งโลกาภิวัตน์ เหมือนคนบางประเภทในรัฐบาล นักวิชาการบางหมู่เหล่า ที่กลายเป็น “อาณานิคมทางปัญญา” ของพวก CFR ตกเป็นเครื่องมือในการขายชาติ ขายแผ่นดิน ให้มหาอำนาจดูดกินความมั่งคั่งจากแผ่นดินไทย จากประชาชาติไทย โดยที่บางคนก็ยังไม่รู้สึกตัว

การพูดถึงกระแสโลกาภิวัตน์ที่กลายเป็นเครื่องมือของอเมริกาภิวัตน์ หรือเครื่องมือของพวกมหาอำนาจนั้น กำลังเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นตามลำดับในสังคมของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมของ UNCTAD (United Nation Conference on Trade and Development) หรือการประชุมของกลุ่มจี 77 ที่เป็นกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (เดิม) และกลายเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนากลุ่มใหญ่ที่ลุกขึ้นมาคัดค้านมหาอำนาจ คัดค้านกระแสโลกาภิวัตน์ ภายใต้การครอบงำของมหาอำนาจ จนกระทั่งธนาคารโลกที่สหรัฐอเมริกามีอิทธิพลครอบงำอยู่ถึงกับต้องทำการสำรวจความคิดเห็นจากประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังมีท่าทีต่อต้านสหรัฐอเมริกามากขึ้น

ด้วยเหตุนี้งานวิจัยและงานประชุมของธนาคารโลกในปัจจุบันจึงต้องมีหัวข้ออภิปรายถกเถียงกันในประเด็นดังกล่าว หัวข้อหนึ่งในเรื่องนี้คือ “Doesgolbalization mean Americanization?” แปลว่า “โลกาภิวัตน์หมายถึงอเมริกาภิวัตน์ใช่หรือไม่?”

มหาอำนาจสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร G-7 กำลังใช้ฉันทามติวอชิงตันสร้างระเบียบเศรษฐกิจใหม่ (new economic order) แล้วทำให้ระเบียบเศรษฐกิจใหม่อยู่เหนืออำนาจรัฐของประเทศกำลังพัฒนา ด้วยการสร้างภาพลวงตาว่าเพื่อให้โลกมีการค้าเสรี แต่มันเป็นการเปิดเสรีที่กำหนดโดยมหาอำนาจ มันเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า authoritarian liberalism หรือ “ลัทธิเสรีอำนาจนิยม” เป็นลัทธิเสรีที่มหาอำนาจทำการคอร์รัปชันอำนาจไปหมดแล้ว !

ทุนไทย ทุนต่างชาติ

ทุกครั้งที่เราแสดงเหตุผลคัดค้านการเอารัดเอาเปรียบของทุนต่างชาติ ก็มักจะถูกพวกซ้ายประเภทไร้เดียงสาและขวาโลกาภิวัตน์ตอบโต้ คนสองประเภทนี้มีจุดยืนทางการเมืองคนละขั้ว แต่มีความเห็นเรื่อง “ชาติ” (nation) เหมือนกัน คือ เห็นว่าโลกนี้ไม่มี “ชาติ”

พวกขวาบ้าโลกาภิวัตน์เห็นว่า โลกไร้พรมแดน ไม่มีชาติ ไม่มีชนชาติ (Nationalities) มีแต่พลโลก ส่วนพวกซ้ายประเภทไร้เดียงสาก็เห็นว่า โลกนี้มีแต่ชนชั้น ไม่มีชนชาติ ไม่มีชาติ เช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่เลนินผู้สถาปนารัฐสังคมนิยมหรือรัฐชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมาครั้งแรกในโซเวียตเห็นว่า “ชาติ” (nations) ยังคงมีอยู่อีกช้านานท่านปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวไว้ในบทความของท่านชื่อ “ชาติคงมีอยู่” เห็นว่าโลกนี้ยังมีชาติ ทุก ๆ คนมีสัญชาติ ก็คือทุก ๆ คนเป็นชนของชาติหรือชนชาติ (nationality) นั้น ๆ ได้ร่วมกันประกอบขึ้นเป็นชาติ ซึ่งชาติตามนัยนี้เป็นกายทางสังคม (social organism) ดังนั้น คนที่มีจิตสำนึกว่ามีชาติเขาก็จะมีความรักชาติ ส่วนจะรักระดับใดขึ้นอยู่กับว่า ระหว่างความเห็นแก่ตัว (egoism) กับความเห็นแก่ส่วนรวม (altruism) เขามีสิ่งไหนมากน้อยกว่ากันเพียงไร คนที่มีความรักชาติจึงเป็นผู้ที่มีจิตใจชาตินิยม (nationalism)

พวกซ้ายประเภทไร้เดียงสาเห็นว่า การคัดค้านทุนต่างชาติเป็นการปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติ และซ่อนเร้นการขูดรีดของนายทุนไทยที่ขูดรีดหนักหน่วงกว่าทุนต่างชาติ แต่ถ้าใครรู้จักเราจริงก็ย่อมจะรู้ได้ว่า เรายืนหยัดคัดค้านการขูดรีดและการเอารัดเอาเปรียบของทุนไทยมาโดยตลอด แต่เราต้องยอมรับกันว่า “ทุนไทย” ที่ดีๆไม่เอารัดเอาเปรียบเกินไปก็มีอยู่ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทุนไทยทั้งที่ดีและไม่ดีกำลังจะถูกทำลายและถูกครอบงำโดยทุนต่างชาติ ที่เข้ามาครอบครองตลาดเศรษฐกิจไทย ขนกำไรไปต่างประเทศ สร้างอำนาจผูกขาดที่รุนแรงกว่า

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเข้ามาของทุนต่างชาติในภาคการเงิน ทุนต่างชาติไม่ได้เข้ามาโดยมีการลงทุนใหม่ๆ แต่เข้ามายึดครองกิจการเก่าของคนไทย และทำลายโครงสร้างการแข่งขัน เพราะสถาบันการเงินของไทยล้มหายตายจาก ที่เหลืออยู่ส่วนหนึ่งก็ถูกต่างชาติยึดครอง เมื่อจำนวนลดน้อยลง การแข่งขันก็ลดลงด้วย ประกอบกับเงื่อนไขของทุนต่างชาติเข้มงวดมากขึ้น ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารต่างชาติต่ำกว่าธนาคารไทยบางธนาคารเสียอีก เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน ของธนาคารดีบีเอสไทยทนุอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.5 แต่ธนาคารของคนไทยอยู่ที่อัตราร้อยละ 3-3.75 ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารต่างชาติอยู่ในระดับสูงกว่า คือ ร้อยละ 8.5-9 แต่ธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ร้อยละ 7.75-8.25 เป็นต้น

นอกจากนั้น บริษัทของต่างชาติยังมีการเคลื่อนไหวรวมตัวกันเพื่อครอบครองตลาดโลก เช่น ขณะนี้บริษัทน้ำมันเชพรอน รวมตัวกับเท็กซาโก้ เป็นต้น โครงสร้างตลาดจึงมีแต่กระจุกตัวมากขึ้น การแข่งขันลดลง บริษัทยักษ์ใหญ่ของต่างชาติเข้าครอบครองตลาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดค้าปลีกได้ถูกต่างชาติเข้าครอบงำมากที่สุด

ทุนค้าปลีกรายเล็กรายน้อยซึ่งเป็นหน่ออ่อนของการเรียนรู้เรื่องการค้าขาย เรื่องการประกอบการ ธุรกิจไทยขนาดใหญ่จำนวนมากเติบโตมาจากการค้าปลีกรายเล็กรายน้อยมาก่อน ธุรกิจขนาดใหญ่ในต่างประเทศที่มีอายุยืนนานมาเป็นร้อยปี จำนวนหนึ่งก็เติบโตมาจากธุรกิจเล็ก ๆ หากธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสังคมไทยถูกธุรกิจยักษ์ใหญ่จากต่างชาติดูดกิน ทำลาย โอกาสที่จะเกิดธุรกิจรุ่นใหม่ ๆ ในสังคมก็พลอยหดหายไปด้วย

ในบางประเทศ เช่น ในอิสราเอล ธุรกิจค้าปลีกจะอยู่ในมือคนยิวทั้งสิ้น ห้างสรรพสินค้าต่างชาติไม่มีเลย ร้านค้าปลีกในนครเยรูซาเล็มมีพัฒนาการมายาวนานนับพันปี ร้านเดิม สถานที่เดิม ยังคงอยู่ แม้ตัวเจ้าของร้านจะเปลี่ยนไป ประเภทสินค้าจะเปลี่ยนไป เขารักษามันไว้ได้โดยใช้นโยบาย “ชาตินิยม” ให้โอกาสแก่คนในชาติมากกว่าต่างชาติ ปกป้องธุรกิจเล็ก ๆ ของคนในชาติมิให้ถูกต่างชาติทำลาย นั่นเป็นเพราะคนยิวในอิสราเอลไม่คลั่งกระแสโลกาภิวัตน์เหมือนคนในกรุงเทพฯ พืชผักผลไม้ใดที่คนยิวผลิตได้ ขายได้ ก็ยากที่จะมีสินค้าจากต่างประเทศเข้าไปแข่งขันได้ ทั้ง ๆ ที่อิสราเอลใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามากที่สุด แต่ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลอิสราเอลเดินตามมติวอชิงตันอย่างใบ้บอดเหมือนรัฐบาลชวน-ธารินทร์ เพราะการเปิดเสรี การแปรรูป และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบตามความต้องการของมหาอำนาจนั้น รัฐบาลอิสราเอลจะปฏิบัติแต่เพียงพอประมาณ บนพื้นฐานของการพิทักษ์ผลประโยชน์ของคนในชาติ ที่มีทั้งคนเชื้อชาติยิวและคนเชื้อชาติอาหรับ (โดยเฉพาะในนครเยรูซาเล็ม)

การคัดค้านการเอาเปรียบของทุนข้ามชาติจึงเป็นเรื่องของสถานการณ์และจังหวะก้าว ไม่ใช่การปิดบังซ่อนเร้นการขูดรีดของทุนไทย แม้ความจริงจะมีว่ามีทุนไทยที่เอาเปรียบขูดรีด ทุนเหล่านี้ก็มักจะเอาตัวรอดด้วยการร่วมมือกับทุนข้ามชาติ ส่วนทุนไทยที่ดีและปรารถนาจะเติบโตอย่างเป็นอิสระ ถ้าถูกทุนต่างชาติที่ใหญ่กว่า เข้มแข็งกว่า แข่งขันคุกคาม ก็อาจต้องล้มหายตายจากหรือถูกดูดกินไปด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นจังหวะก้าวที่เราจะต้องคัดค้านและควบคุมทุนต่างชาติ ไม่ใช่การให้สิทธิประโยชน์และส่งเสริมทุนต่างชาติอย่างไม่มีขอบเขต เพราะทุนต่างชาติ เมื่อมีกำไรมากก็นำกำไรออกไปด้วย ขณะที่ทุนเล็ก ทุนน้อย ทุนขนาดกลาง มีกำไร ส่วนใหญ่ไหลเวียนอยู่ในตลาดภายใน หยดกระจายไปถึงการจ้างงานคนยากคนจนมากกว่าทุนใหญ่ๆของต่างชาติ นี่คือสิ่งที่พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาและพวกบ้าโลกาภิวัตน์ไม่ค่อยได้คิด

ในด้านการจ้างงาน สิ่งที่ปรากฏขณะนี้คือ ทุกบริษัทไทยที่ถูกต่างชาติเข้ายึดครอง คนงานจะถูกปลดออกประมาณ 20-30 % ดังนั้น ที่บอกว่าทุนต่างชาติจะช่วยเพิ่มการจ้างงานจึงไม่เป็นความจริง มันจะเป็นความจริงถ้ามีการลงทุนใหม่ จ้างงานใหม่ แต่ขณะนี้ในประเทศไทยยุควิกฤติเศรษฐกิจ การลงทุนของต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ใช่การลงทุนใหม่ แต่เป็นการลงทุนเข้ายึดครอง การเปิดเสรียิ่งทำให้การยึดครองเป็นไปโดยง่ายมากขึ้นและขณะเดียวกับที่ประเทศมหาอำนาจกดดันให้ประเทศด้อยพัฒนาเปิดเสรีตลาดการเงินและตลาดการค้า ประเทศมหาอำนาจกลับไม่ยอมเปิดเสรีตลาดแรงงาน เพราะการเปิดเสรีตลาดแรงงาน ประเทศมหาอำนาจจะเสียเปรียบ จะถูกแรงงานจากประเทศด้อยพัฒนาเข้าไปแข่งขันในตลาด จะทำให้แรงงานของประเทศมหาอำนาจว่างงานมากขึ้น ดังนั้น ในด้านตลาดแรงงาน ประเทศมหาอำนาจจึงเลือกใช้นโยบายปกป้องตลาดแรงงานเพื่อคนในชาติของตนเอง นี่ก็เห็นกันชัดๆแล้วว่า ประเทศมหาอำนาจไม่ได้เปิดเสรีจริงๆ จะเปิดเฉพาะตลาดที่พวกตนได้เปรียบเท่านั้น

ประเด็นนี้พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสามองเห็นหรือไม่?

ชาตินิยม ชาตินิยมใหม่

เมื่อเอ่ยคำ “ชาตินิยม” คนจำนวนหนึ่งมักไปยึดติดกับปรากฏการณ์ของเชื้อชาตินิยม หรือการแบ่งเชื้อชาติผิวพรรณ (racism) คิดไปถึงกรณียุคฮิตเลอร์ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติยิว และก็หยิบยกเอากรณีนี้ขึ้นมาประนามลัทธิชาตินิยมอย่างไม่จำแนก

แต่ถ้ามองประวัติศาสตร์ให้ไกลกว่านั้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อินเดียนแดงโดยชนผิวขาว การจับเอาคนผิวดำจากอาฟริกามาเป็นทาส มันคือรูปแบบของเชื้อชาตินิยมที่รุนแรงและโหดร้ายที่สุด มันเป็นเชื้อชาตินิยมของคนผิวขาวที่เชื่อว่า คนผิวขาวดีที่สุด เก่งที่สุด (white supremacy) เหมือนที่พวกโซเซียลดาวินนิสต์ (Social Darwinists) เห็นว่า สหรัฐอเมริกาควรยึดครองฟิลิปปินส์ ด้วยเหตุผลว่า คนฟิลิปปินส์ยังไม่เจริญพอที่จะปกครองตนเองได้ ควรจะอยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์ผิวขาว (Arglo-Saxons) เหตุผลเช่นนี้แหละที่พลเมืองผิวขาวและพวกหมอสอนศาสนาเห็นด้วยกับการให้รัฐบาลของตนขยายอาณานิคมไปทั่วโลก

จึงเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งที่ยังมีคนไทยบางคนเห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ เป็นทำนองว่า ทุนไทยไม่ดีพอที่จะพัฒนาเศรษฐกิจไทย จะต้องให้ทุนตะวันตกเข้ามาครอบครองตลาดเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทย เราก็ใคร่ถามคนเหล่านี้ว่า อดีตประเทศอาณานิคมจำนวนมากในอาฟริกาและในเอเชีย เช่น พม่า อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา ฯลฯ มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย พวกผิวขาวเชื่อในทฤษฎีผิวขาวนิยม (white supremacy) แต่กลับสร้างทฤษฎีต่อต้านชาตินิยม (anti-nationalism) ทั้งๆที่ชาติตามนัยนี้ก็คือ การยึดถือความเป็นชาติ (nation) ของพลเมืองที่อยู่ในรัฐหรือในองค์ปกครองเดียวกัน

พลเมืองที่อยู่ในรัฐอาจเชื่อมร้อยรัดกันด้วยสายเลือด วัฒนธรรม จารีต หรืออาณาเขตแห่งดินแดน ก็ได้ “ชาติ” ในลักษณะนี้จึงไม่ได้ยึดติดอยู่ที่เชื้อชาติแต่อย่างใด และชาติในความหมายนี้เกิดขึ้นหลัง “รัฐ” เพราะความเป็น “รัฐ” ได้อาศัยอำนาจปกครองรวบรวมและร้อยรัดพลเมืองกลุ่มต่างๆเข้าไว้ในดินแดนและองค์ปกครองเดียวกัน เรียกว่า “รัฐชาติ”

ชาตินิยมในรัฐชาติ จึงหมายถึง ความรู้สึกร่วมเป็นชาติในรัฐเดียวกัน มีเอกราชและผลประโยชน์ในแผ่นดินแห่งรัฐร่วมกัน ชาตินิยมของรัฐชาติจึงเป็นความคิดและความเชื่อที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทฤษฎี “ผิวขาวนิยม” เพราะชาตินิยมในรัฐชาติต้องการให้ดินแดนและผลประโยชน์ในดินแดนเป็นของพลเมืองในรัฐชาติของตน ไม่ต้องการให้ตกไปเป็นของรัฐชาติอื่น ๆ ชาตินิยมในรัฐชาติจึงต่อต้านจักรวรรดินิยม และเกิดขบวนการชาตินิยมเพื่อปลดปล่อยให้รัฐชาติเป็นเอกราช

สหรัฐอเมริกาและประเทศจักรวรรดินิยมในยุโรปจึงสร้างทฤษฎีต่อต้านชาตินิยม เพื่อบิดเบือนว่า ลัทธิชาตินิยมเป็นลัทธิต่อต้านต่างชาติ ทำลายสิทธิมนุษยชน นำไปสู่ความชิงชังและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งนี้เพื่อทำลายความชอบธรรมของชาตินิยมในรัฐชาติที่ต้องการจะรักษาเอกราชและต่อต้านจักรวรรดินิยม

พวกเสรีนิยมประเภทไร้เดียงสาที่ถูกล้างสมองด้วยองค์ความรู้จอมปลอมของมหาอำนาจจึงพากันรังเกียจเดียจฉันท์ “ชาตินิยม” ทั้งที่ความเป็นจริงในประวัติศาสตร์ กลุ่มคนที่เข่นฆ่าและทำลายล้างเผ่าพันธุ์อื่นๆมากที่สุดก็คือ พวกผิวขาว (หรือ Anglo-Saxon) คนเผ่าพันธุ์นี้ชอบเที่ยวล้างสมองให้คนเผ่าพันธุ์อื่นต่อต้านลัทธิชาตินิยม (Anti-nationalism) แต่พลเมืองในรัฐของตนเองเต็มไปด้วยพวกผิวขาวนิยม รังเกียจคนผิวสีอื่น ๆ

เราขอให้พวกเสรีนิยมไร้เดียงสาจงตระหนักไว้ด้วยว่า พวกเชื้อชาตินิยมพวกรังเกียจสีผิว (racism) นั้น อยู่ในรัฐชาติของพวกผิวขาวมากที่สุด ในสังคมไทย แม้จะมีพวกชาตินิยมใบ้บอด แต่ยังไม่ปรากฏเรื่องการต่อต้านเชื้อชาติและสีผิว ความรุนแรงเชิงชาตินิยมที่เกิดขึ้น แท้จริงเป็นเพียงการใช้อำนาจนิยมของพวกเผด็จการหลอกล่อและมอมเมาประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช่ชาตินิยมของพลเมืองสามัญในรัฐชาติที่ต้องการพิทักษ์เอกราชและผลประโยชน์ในแผ่นดินของพลเมือง

ชาตินิยมใหม่

จากแนวคิดเรื่องชาตินิยมที่หมายถึง ชาตินิยมของพลเมืองในรัฐชาติ เมื่อนำมาปรุงแต่งให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประชาชนทั่วโลกสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว ส่งข่าวถึงกันได้ในชั่วเสี้ยววินาที แต่ผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลและของกลุ่มคนยังคงวนเวียนอยู่ในกระแสของการแย่งชิง บางส่วนจึงเสียเปรียบและเสียประโยชน์ บางส่วนยังคงได้เปรียบและได้ประโยชน์มากกว่า ปัจเจกบุคคลและกลุ่มคนในสังคมต่างๆจึงต้องสร้างกลไกคุ้มครองปกป้องตนเองและผลประโยชน์ของตนเอง ทั้งระดับบุคคลและระดับรัฐชาติ เพราะมนุษย์สามัญแต่ละคนยังว่ายวนอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังคงตั้งหน้าแสวงหาความพอใจสูงสุดและประโยชน์สูงสุดให้แก่ตนเอง กลยุทธและวิธีการต่างๆจึงถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ให้บรรลุผลที่ตนปรารถนา อำนาจ อาวุธ สงคราม และกลไกทางเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้ที่ควบคุมมันได้สามารถนำมันไปใช้เพื่อให้บรรลุความโลภและความพอใจของตนเอง

ภายใต้สัจธรรมเหล่านี้ พลเมืองในรัฐชาติต่าง ๆ จึงต้องสร้างกลไกต่าง ๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของตนเอง ทั้งระดับความคิด จิตสำนึก องค์กร สังคม และประเทศชาติ

ระดับความคิดและจิตสำนึกก็คือ จิตใจชาตินิยม ที่ทำให้กล้าสู้ กล้าเสียสละ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของคนในชาติ เพื่อความเป็นอิสระและความเป็นเอกราชของรัฐชาติ แต่จิตใจชาตินิยมในยุคที่คนในโลกติดต่อถึงกันได้รวดเร็วนี้จะต้องพัฒนาเป็นจิตใจชาตินิยมใหม่

ชาตินิยมใหม่ คือ ชาตินิยมของชนชาติ (ที่อาจมีหลายเชื้อชาติ) ในรัฐชาติเดียวกัน ชาตินิยมใหม่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่รังเกียจสีผิว ไม่แบ่งแยกวัฒนธรรมและประเพณี ไม่แบ่งแยกศาสนา เป็นชาตินิยมที่ปกป้องคุ้มครองไม่ให้คนร่วมแผ่นดินถูกเอาเปรียบ ถูกคุกคามข่มเหง จากต่างชาติหรือจากคนในรัฐชาติอื่นๆ ชาตินิยมใหม่เน้นการปกป้องคนในชาติ แต่มีจิตใจสมานฉันท์กับชนชาติในรัฐชาติอื่น ๆ เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของคนทุกชาติทุกภาษาในทุกรัฐชาติ ชาตินิยมใหม่เป็น “ชาตินิยมที่ปกป้องตนเอง” (defensive nationalism) ไม่ใช่เป็น “ชาตินิยมที่ยกตนเหนือผู้อื่นและล้มล้างทำลายผู้อื่น” (offensive nationalism) เหมือนพวกเชื้อชาตินิยมหรือพวกรังเกียจผิว (racism) ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมของพวกผิวขาว ตัวอย่างรูปธรรมในยุคนี้ เช่น พวกนาซีใหม่ (Neo-NAZI) เป็นต้น

ชาตินิยมใหม่ที่เน้นการปกป้องตนเอง จะช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันในจิตสำนึกที่หวงแหนแผ่นดิน หวงแหนผลประโยชน์ร่วมของพลเมืองในรัฐชาติ สกัดกั้นมิให้ต่างชาติเอาเปรียบ ครอบงำ ขณะเดียวกันก็มีจิตใจสากลสมานฉันท์ที่จะร่วมประโยชน์กับคนชาติอื่นอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม

หลักการของชาตินิยมใหม่

เพื่อให้แนวคิดชาตินิยมใหม่มีรูปธรรมของหลักการ เราจึงใคร่ทดลองเสนอหลักการของชาตินิยมใหม่ ดังนี้

(1) หลักของความเป็นรัฐชาติ
รัฐชาติอาจก่อกำเนิดจากพลเมืองที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม แต่ร้อยรัดด้วยองค์ปกครอง (governance body) เดียวกัน ในอาณาเขตดินแดนเดียวกัน

(2) หลักของความเป็นชาตินิยมใหม่
ชาตินิยมใหม่ คือ จิตใจที่รักชนชาติในรัฐชาติ หวงแหนแผ่นดินและผลประโยชน์ร่วมของคนในชาติ ต่อสู้ป้องกันมิให้คนจากรัฐชาติอื่นๆเข้ามาเอาเปรียบ ครอบงำ กดขี่ ข่มเหง คนในรัฐชาติเดียวกัน ชาตินิยมใหม่จึงเป็นชาตินิยมป้องกันตนเอง (defensive nationalism) ป้องกันผลประโยชน์ของคนในรัฐชาติเดียวกัน พิทักษ์และปกป้องความเป็นเอกราชของรัฐชาติของตน

(3) หลักของจิตใจสากลนิยม
คนในรัฐชาติต้องมีจิตใจสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ทุกชนชาติและชนชั้น ทั้งที่อยู่ในรัฐชาติเดียวกันและในรัฐชาติอื่น ๆ ทั่วโลก การปกป้องผลประโยชน์ของคนในรัฐชาติและการพิทักษ์ปกป้องเอกราชของรัฐชาติไม่ใช่การรังเกียจ แบ่งแยก ล้มล้าง และทำลาย คนจากรัฐชาติอื่น ตราบเท่าที่คนจากรัฐชาติอื่นนั้นมีความสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อคนในรัฐชาติของตน หรืออย่างน้อยไม่สร้างความเสียหายให้แก่คนในรัฐชาติ ไม่สร้างความเสียหายให้แก่เอกราชและอธิปไตยของรัฐชาติของตน

(4) หลักผลประโยชน์ของคนร่วมแผ่นดิน
ผลประโยชน์ของคนในรัฐชาติมีทั้งด้านนามธรรมและรูปธรรม อันได้แก่ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา ค่านิยม และประเพณี ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนในรัฐชาติที่จะพิทักษ์ปกป้องสิ่งเหล่านี้ของตน เว้นเสียแต่ว่าการเลิกล้างเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากความปรารถนาของคนในชาติเป็นสำคัญ

(5) หลักของความสัมพันธ์และเชื่อมต่อกับสังคมโลก
คนในรัฐชาติจะไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ต้องมีการประสานเชื่อมต่อกับสังคมโลกและการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันและเหมาะสม อย่างเสมอภาคและมีศักดิ์ศรี ใช้ภูมิปัญญาของคนในชาติประสานกับภูมิปัญญาจากสังคมโลกที่เลือกเฟ้นกลั่นกรองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างพลังของสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ของรัฐชาติให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และพัฒนาต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน

นี่คือ หลักปัญจรัตน์หรือแก้วห้าดวงของชาตินิยมใหม่ ที่เราทดลองนำเสนอ เพื่อกอบกู้และสร้างสรรค์ชาติไทยให้รอดพ้นจากการถูกเอาเปรียบครอบงำจากต่างชาติ โดยการกระตุ้นสร้างจิตสำนึก “ชาตินิยมใหม่” ให้เป็นภูมิคุ้มกันทางความคิดและจิตวิญญาณ ปลุกเร้าความคิดและจิตวิญญาณนี้ให้แข็งกล้า จนกระทั่งผลิดอกออกผลเป็นการปฏิบัติ สู่การจัดตั้ง “ขบวนการชาตินิยมใหม่” เป็นหัวหอกของการต่อสู้เพื่อกอบกู้ชาติไทยให้รอดพ้นจากการถูกต่างชาติครอบงำ รอดพ้นจากการถูกทำลายและสลายความเป็นรัฐชาติเอกราช ไปสู่รัฐอาณานิคมแผนใหม่ ภายใต้อำนาจการครอบครองอย่างแฝงเร้นของบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศแถบลาตินอเมริกาและในประเทศแถบทะเลคาริบเบียน
เราเห็นว่า แม้ประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นประเทศอาณานิคมโดยตรงมาก่อน สังคมไทยไม่เคยมีรูปธรรมของขบวนการชาตินิยมเพื่อกอบกู้เอกราชในยุคอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก แต่วิกฤติเศรษฐกิจช่วงตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา คนไทยได้รับความเจ็บปวดและมีความเข้าใจมากขึ้นต่อการที่ต่างชาติเข้ามาครอบงำเอาเปรียบ มีหลายกลุ่มคนและชนชั้นที่กำลังคัดค้านทุนต่างชาติที่กำลังครอบงำทำลายธุรกิจไทย คนเหล่านี้ค่อยๆตกผลึกทางความคิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่กำลังขยายตัวเติบใหญ่เป็นลำดับ

เราจึงเห็นว่า เป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมที่จะนำเสนอความคิดและหลักการชาตินิยมใหม่ เพื่อให้เป็นทางเลือกเชิงอุดมการณ์ ในอันที่จะประสานและร้อยรัดความคิดและจิตวิญญาณของคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินให้มีความเชื่อมั่นและฟันฝ่า กอบกู้และพัฒนา เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ของประชาชาติไทย ให้รอดพ้นวิกฤติ และหยัดยืนอยู่ได้ด้วยเอกราชประชาธิปไตยที่มีศักดิ์ศรี และเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในสังคมโลกยุคปัจจุบัน

จากเรา
วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง
4 พฤศจิกายน 2543
 
ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- “เสน่ห์ จามริก – สิทธิมนุษยชนถูกใช้เป็นดับเบิลสแตนดาร์ดโดยตะวันตกตลอดเวลา”
- www.meechaithailand.com
- “ศักดิ์ศรีของประเทศไทย”
- “จดหมายถึงนาย”
- “คำประกาศชาตินิยมใหม่”
- ไทยโพสต์
- มติชน


Thai Airways International
210
 
ความคิดเห็นที่ 1
ผมเห็นด้วยกับบทความนี้อย่างยิ่ง และขอสนับสนุนให้นำบทความนี้ ช่วยกันถ่ายทอดไปในหลายๆสื่อนอกจากอินเตอร์เน็ตครับ เพื่อที่จจะได้สะกิดใจผู่ที่ยังหลงผิดหรือให้เป็นข้อคิดเปรียบเทียบครับ กับบแนวความคิดเดิม ขอยกมือสนับสนุนในฐานะคนไทยคนหนึ่งครับ
รักชาติ@ประเทศไทย.ของชาวไทย
 

แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

 ชื่อ/email ของคุณ :
ความคิดเห็น :
 
 

ข่าวปก | การเมือง | เศรษฐกิจ | การตลาด | อุตสาหกรรม | คุณภาพชีวิตชุมชน | ภูมิภาค | ต่างประเทศ | ทัศนะ
บันเทิง | Motoring | ผู้จัดกวน | อาทิตย์ทอดวง | ธรรมกับชีวิต | ติดต่อเรา | คุยกับเว็บมาสเตอร์

ผู้จัดการรายสัปดาห์ | ผู้จัดการรายเดือน | สะแด่ว | ไทยเดย์ ด็อท คอม | Asia Times | บุรพัฒน์ คอมมิคส์ | Public Law | ทะเลไทย

All site contents copyright (c) 2001 Thaiday Dot Com Co., Ltd.