สภาพการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นประเทศแนวหน้าในด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย
การที่จะ ก้าวสู่ ่
ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาการท่องเที่ยว
โดยการสนับสนุนจาก
หน่วยงาน ของรัฐ ในบทนี้จึงขอกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ และแผนของรัฐที่มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้ได้ศึกษาให้เกิดความเข้าใจ และเรียนรู้ให้ทราบแนวทางการดำเนินการด้านแผนการท่องเที่ยวของไทย
10.1 โครงการศึกษาเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งชาติ
ในช่วง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)ประเทศไทยเป็นประเทศ
แนวหน้าในด้านการ
ท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย จะเป็นรองก็เพียงจีนเท่านั้น
การท่องเที่ยวก่อให้เกิด
รายได้ ที่เป็น
เงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนกว่า 300,000
ล้านบาทต่อปี จากนักท่องเที่ยวนานาชาติประมาณ 9.5 ล้านคน และเป็น
ภาคเศรษฐกิจ ที่
สามารถโอบอุ้มและเกื้อหนุน
ประเทศไทยไว้ได้ในยามเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 9
คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว
ต่างประเทศมาประเทศไทยไม่น้อยกว่า 14 ล้านคน อัตราเฉลี่ยการขยายตัวของ
นักท่องเที่ยว
นานาชาติคาดว่า
จะมีถึงร้อยละ 7 ต่อปี ส่วนการท่องเที่ยวของคนไทยนั้นในปี พ.ศ. 2549 ประเมินว่าจะสูงถึง 59 ล้านคนครั้งต่อปี
การวิเคราะห์สภาพภายนอก
องค์การการท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization : WTO) ได้ประมาณอัตราการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยว ของโลกระหว่างปี พ.ศ. 2543 ถึง 2553 เท่ากับร้อยละ 4.2 และได้คาดคะเนอัตราการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยว
ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เท่ากับร้อยละ 7.7 สำหรับประเทศไทย WTO คาดว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 7.8 ในช่วงแผน
พัฒนาเศรษฐกิจ และ
สังคมฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
และการทรุดตัว ลง
อย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ซึ่งกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
ความต้องการ
ท่องเที่ยวนานาชาติจะลดลง ในขณะที่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงนักท่องเที่ยวจะรุนแรงมากขึ้น ถึงแม้ว่าประเทศคู่แข่งของไทยในภูมิภาค ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ต่างก็มีปัญหาด้านการเมืองและสังคม
ทำให้ความ สามารถ
ในการดึงดูด
นักท่องเที่ยว ลดลง แต่ก็อาจมีการแข่งขัน กันสูงขึ้นในตลาดราคาต่ำ ในสหัสวรรษที่ 2000
โลกตะวันตก ได้เข้า
สู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economy หรือ Digital Economy) นักท่องเที่ยว ที่มาเยือนไทยเป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์
(E-tourists) มากขึ้น และ ต้องการ
สินค้าบริการที่มีส่วนประกอบของสาระและความรู้ บริการที่ยืดหยุ่น และบริการที่เหมาะกับความต้องการรายบุคคล (personalized service) มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ไทยก็ยังมีลูกค้าจากระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมอยู่ส่วนหนึ่งความสามารถที่ไทย
จะรักษาความเป็นประเทศผู้นำด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาค เอเชียขึ้นอยู่กับการปรับโครงสร้างการจัดการ
ที่เหมาะสมทั้งในภาค รัฐแ
ละ ภาคเอกชน
กระแสวิวัฒนาการเทคโนโลยีการบินที่สามารถสร้างยานที่บินได้ไกลขึ้น และการขยายเส้นทางบินของสายการบินต่างๆ ทำให้ความ ได้เปรียบด้านที่ตั้งของไทยลดลง ในขณะเดียวกันการเปิดตัวของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ และแบบแผนการทำงานและการดำรงชีวิต ในประเทศตะวันตก มีผลให้การท่องเที่ยวนานาชาติในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเป็นการท่องเที่ยวบ่อยครั้งในหนึ่งปี แต่มีระยะเวลาสั้นลง ในแต่ละครั้ง กระแสเช่นนี้อาจทำให้ความพยายามที่จะเพิ่มจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนไทยเป็นไปได้ยากขึ้น (WTO 2544) แต่การเพิ่มจำนวนครั้งของการท่องเที่ยวต่อปีและค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวต่อวัน
ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความ
สามารถ ในการ ดึงดูดใจของแต่ละประเทศ เมื่อแนวโน้มการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในกระแสโลกาภิวัฒน์รุนแรงขึ้นตามลำดับ
นานาประเทศ ต่างก็ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT)
มาเป็นอาวุธสำคัญใน
การช่วงชิงตลาด ในโลก
ของการ พาณิชย์ ผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์ ความรู้ สาระและสารสนเทศกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความแตกต่างของสินค้าและสร้างคุณค่า ยิ่งไปกว่า นี้ลักษณะ (characteristics) ของนักท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มเปลี่ยนไปจากการแสวงหาความบันเทิงมาเป็นสาระบันเทิง ดังนั้น การท่องเที่ยวจึงมิใช่การหาความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว
การท่องเที่ยวที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้กำลัง
เป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่
ที่มี คุณค่า และ มูลค่าสูง ภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจึงต้องการการลงทุนในแนวใหม่
นั่นคือการสร้างความรู้และ
สาระบันเทิงเพื่อ การ
ท่องเที่ยว