การพัฒนาระบบสารสนเทศ
ในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้เกิดขึ้นภายในองค์กร
จัดทำได้ 4
วิธีด้วยกัน
จัดทำขึ้นเองโดยอาศัยเจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์
-
หากบุคลากรขาดความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง
ก็เกิด
การเปลืองเวลาและทรัพยากรมาก
มีความเสี่ยงสูง
2. ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดทำระบบให้ - หน้าที่คือ
ให้คำปรึกษาในการเขียนรายละเอียดสำหรับประมูลงานคอมพิวเตอร์
ให้คำปรึกษาในการวิเคราะห์และออกแบบระบบคอมพิวเตอร์
ให้บริการในการเขียนโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการ
ให้บริการติดตั้ง ดูแล
ควบคุมระบบงาน
ให้บริการอื่น ๆ เช่นการจัดซื้อ
จัดหาระบบคอมพิวเตอร์
การเตรียมการเพื่อว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาระบบงานคอมพิวเตอร์ - ต้องดำเนินการดังนี้
-ผู้ว่าจ้างต้องศึกษาความต้องการให้ชัดเจน
-จัดทำใบแจ้งให้บริษัทเสนอราคามาให้
-จัดส่งประกาศเชิญ
-ประเมินข้อเสนอของบริษัท
-เลือกบริษัทที่ปรึกษา
-เจรจาต่อรองเงื่อนไขและราคา
-จัดทำสัญญาว่าจ้าง
-ควบคุมติดตามและประเมินผลงานของบริษัท
แนวทางในการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษามาพัฒนาระบบ
หรือซอฟต์แวร์
- มั่นคง มีประสบการณ์
มีบุคลากรที่มีความสามารถตรงสาขา มีเหตุและผลทางกฏเกณฑ์
3. การซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จมาใช้ - ทำให้สะดวกรวดเร็ว น่าเชื่อถือ
มีเอกสารประกอบ ใช้ง่าย ปรับปรุงง่าย
ข้อเสีย บางประเภทมีราคาแพง
ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใช้งานยาก
สรุปประเด็นในการพิจารณาเลือกซอฟต์แวร์
ดังนี้
-ในกรณีที่มีคอมพิวเตอร์ใช้งานอยู่แล้ว
-ความสามารถพื้นฐานของซอฟต์แวร์ที่ควรพิจารณา
-ประเด็นเกี่ยวกับราคาและค่าใช้จ่าย
-ประเด็นเกี่ยวกับบริษัทผู้ขาย
4. ผู้ใช้ทำขึ้นเอง - พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาใช้งานเอง
ซึ่งไม่ซับซ้อนนัก ใช้เครื่องมือโปรแกรมประยุกต์ช่วย
ปฏิบัติตามขั้นตอนเรียกว่า วัฏจักรการพัฒนาระบบงาน (System Development
Life Cycle หรือ SDLC)
มีขั้นตอน 7 ขั้นตอน คือ
แบบจำลองน้ำตก (Waterfall
Model)
ขั้นตอนที่
1.
การศึกษาเบื้องต้น (Preliminary
Study)
เป็นการศึกษาถึงความเหมาะสม
กำหนดปัญหา หรือการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)
เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบ
จะเน้นศึกษาใน 5 ประการ คือ
1. ความเหมาะสมทางด้านเทคนิค (Technical
Feasibility) - ศึกษาด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์
เหมาะสมหรือไม่
2. ความเหมาะสมทางด้านการปฏิบัติงาน (Operational
Feasibility) - การปฏิบัติงานซ้ำซ้อนหรือไม่
ตรงหรือไม่
3. ความเหมาะสมทางด้านการเงิน (Financial Feasibility)
-
เปรียบเทียบความคุ้มค่า ผลตอบแทน
ค่าใช้จ่าย
4. ความเหมาะสมทางด้านเวลา (Schedule
Feasibility) - พิจารณาเวลาในการสร้างระบบงาน
การใช้เวลา
5. ความเหมาะสมทางด้านบุคลากร (Human
Feasibility) - ดูความพร้อมของบุคลากร
การพัฒนาบุคลากร
ขั้นตอนที่ 2. การวิเคราะห์ระบบ
(Analysis)
เป็นการศึกษาระบบการทำงานเดิม
ความตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้
กำหนดความต้องการระบงานใหม่นักวิเคราะห์ต้องดำเนินการดังนี้
1.
ทบทวนวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิเคราะห์ระบบให้ชัดเจน
2.
ศึกษาแนวทางที่ได้เสนอไว้ในรายงานการศึกษาเบื้องต้น
3. ศึกษาและรวบรวมเอกสารต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับระบบ
- แผนผังการจัดองค์กร (Organization
Chart)
- แผนงานของหน่วยงาน
- เอกสารแบบฟอร์ม และรายงานต่าง ๆ
ที่ใช้ในหน่วยงาน
- กฎและระเบียบต่าง ๆ
4. ศึกษาความต้องการของผู้บริหาร
- สัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน
- สำรวจความต้องการโดยใช้แบบสอบถาม
5. ศึกษาสภาพการปฏิบัติงานจริง
- ทำความเข้าใจเนื้อหาและรูปแบบของข้อมูลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
- ทำความเข้าใจทางเดินของข้อมูล (Data
Flow)
- ทำความเข้าใจกระบวนการทำงาน
ทำความเข้าใจในเรื่องการดูแลรักษาข้อมูล
6.
จำแนกปัญหาในระบบปัจจุบัน
7.พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา
8.ร่างเค้าโครงของระบบใหม่
9.คำนวณทรัพยากรต่าง ๆ
10.จัดทำรายงานการวิเคราะห์ระบบ
ขั้นตอนที่ 3. การออกแบบระบบ
(Design)
ออกแบบระบบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้และฝ่ายบริหาร
เป็นขึ้นตอนต่อจากการวิเคราะห์โดยทั่วไปการออกแบบระบบจะกระทำใน 2 ขั้นตอนดังนี้
การออกแบบโครงสร้างของระบบ (Conceptual Design)
เป็นการกำหนดว่าระบบใหม่มีการทำงานอะไร
หรือเรียกว่า
การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical
Design)
- ทบทวนรายงานการวิเคราะห์ระบบ
- แยกระบบงานรวมออกเป็นสองส่วนอย่างคร่าว
ๆ
- ออกแบบลำดับต่าง ๆ
ของงาน
- กำหนดส่วนที่คนและคอมพิวเตอร์ต้องทำงานประสานกัน
การออกแบบในรายละเอียด (Detail
Design)
- ออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ
ของระบบ
- ออกแบบข้อมูลต่าง ๆ
สำหรับใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของระบบ
- ออกแบบรายละเอียดและเนื้อหาของการฝึกอบรมที่จำเป็น
- จัดทำรายงานออกแบบ
ขั้นตอนที่ 4. การเขียนและทดสอบโปรแกรม
(Construction)
เป็นการเขียนและทดสอบโปรแกรมตามที่ได้ออกแบบไว้
ตามความต้องการของผู้ใช้ จะต้องมีลักษณะ
ทำงานได้ผลตรงกับความต้องการของผู้ใช้
ทำงานได้ถูกต้องไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
เชื่อถือได้
แก้ไขดัดแปลงได้ง่าย
ขั้นตอนที่ 5. การทดสอบระบบ (Testing)
เป็นการทดสอบระบบหลังจากเขียนโปรแกรมไปแล้ว
เพื่อตรวจสอบความผิดพลาด มีวิธีการดังนี้
การทดสอบรวม (Integration Test) -
ดูการเชื่อมโยงระหว่างโปรแกรม
การทดสอบทั้งระบบ (System Test) -
ทดสอบตั้งแต่เริ่มโปรแกรม
จนได้ผลลัพธ์
การทดสอบการยอมรับระบบ (Acceptance Test) -
การให้ผู้ใช้ได้ใช้งาน
นอกจากนี้ยังมีงานต่าง ๆ ที่ต้องทำ
คือ
1. การเตรียมเอกสารระบบ - คู่มือระบบและโปรแกรม
คู่มือปฏิบัติงาน คู่มือผู้ใช้
2. การฝึกอบรมผู้ใช้ - เป็นการเตรียมการใช้งานให้กับบุคลากรในการใช้ระบบงานใหม่
มีหลายวิธี คือ
3.การฝึกอบรมโดยการจัดกลุ่มสัมมนา (Seminars and Group
Instruction)
4.การฝึกอบรมวิธีปฏิบัติงาน (Procedural
Training)
5.การฝึกอบรมโดยการบรรยาย (Tutorial
Training)
6.การฝึกอบรมโดยการจำลองสถานการณ์
(Simulation)
7.การฝึกอบรมโดยการปฏิบัติงานจริง (On the job
Training)
ขั้นตอนที่ 6. การเปลี่ยนระบบ
(Conversion)
การเปลี่ยนจากระบบงานเดิมมาเป็นระบบงานใหม่ที่ได้ออกแบบและพัฒนาเรียบร้อยแล้ว
มี 4
วิธีการ
คือ
1.การเปลี่ยนระบบทันที (Direct Conversion)
เหมาะกับระบบเดิมที่ไม่มีประโยชน์ต่อองค์กรแล้ว
2.การเปลี่ยนระบบแบบคู่ขนาน (Parallel Conversion)
เป็นการใช้ระบบเก่าและระบบใหม่พร้อมกัน
3.การเปลี่ยนแปลงระบบตามหน่วยงาน (Modular Conversion)
หรือ
หลักการแบบนำร่อง (Pilot Approach)
เป็นการนำระบบไปใช้ในบางหน่วยงาน
4.การเปลี่ยนแปลงระบบที่ละส่วน (Phase-In Conversion)
แบ่งตามส่วนระบบงาน
หลังการการพัฒนาระบบไปแล้ว
อาจมีปัญหาต่าง ๆ ตามมา ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขกระทำได้ 2
วิธี
คือ
1.การบำรุงรักษาระบบ
(Maintenance)
2.การเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมด
(redevelopment)
การบริหารโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศ
จะประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ
คือ
1. การวางแผนโครงการ - เกี่ยวกับการจัดบุคลากรในโครงการ
การงบประมาณ การกำหนดระยะเวลา
และเป้าหมายการวางแผนโครงการจะต้องกำหนดทีมงานสำหรับพัฒนา
ซึ่งอาจมีหลายระดับดังรูป
หัวหน้าโครงการ - เป็นผู้วางแผน ควบคุม
สั่งการและติดตามให้งานพัฒนาระบบสารสนเทศดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและได้ผลตามเป้าหมาย
ผู้ปะสานโครงการ - ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน
อำนวยความสะด้วยให้กับทีมงานพัฒนาระบบสารสนเทศ
นักวิเคราะห์ระบบ - ทำการศึกษาความเหมาะสมของระบบงาน
และศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้
นักเขียนโปรแกรม - ทำหน้าที่พัฒนาโปรแกรม
และทำการทดสอบโปรแกรมและทดสอบระบบ
วิศวกรสื่อสาร - กำหนดระบบสื่อสารข้อมูล
การเชื่อมโยงอุปกรณ์ ระบบเครือข่าย
พนักงานเอกสาร - จัดพิมพ์เอกสาร
จัดหมวดหมู่เอกสารโครงการ เป็นเลขานุการ
2. การบริหารโครงการ - เป็นการจัดการให้บุคลากรในทีมงานดำเนินงานต่าง
ๆ ตามขั้นตอน โดยมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยกันดังนี้
การกำหนดผลงานสำรับส่งมอบ - เป็นหน้าที่ของหัวหน้าโครงการที่ต้องกำหนดผลงานสำหรับส่งมอบให้แต่ละขั้นตอน
การมอบหมายงาน - หัวหน้าโครงการจะต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน
ๆ มอบหมายให้บุคคลเกี่ยวข้อง
การควบคุมการเปลี่ยนแปลง - หากไม่ทันกับการกำหนดไว้
จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ความสัมพันธ์กับผู้ใช้ - การสร้างความรู้สึกอันดีต่อกัน
ทำให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี
การปิดโครงการ - เป็นขั้นตอนที่สิ้นสุดและส่งมอบงานต่าง
ๆ
การพัฒนางานประยุกต์อย่างเร็ว
(Rapid Application Development : RAD) เป็นการคิดค้นหาวิธีการในการพัฒนาระบบงานต่าง
ๆ
การกำหนดความต้องการ - เป็นการกำหนดหน้าที่และงานต่าง ๆ
ภายในระบบ โดยผู้ใช้และบริหารร่วมสัมมนา
การออกแบบโดยผู้ใช้ - ผู้ใช้มีส่วนในการออกแบบระบบที่ไม่ใช่ทางเทคนิคคอมพิวเตอร์
เช่น ฟอร์ม หน้าจอ
การสร้างระบบ - โดยการใช้ตัวซอฟต์แวร์ประยุกต์อย่างเร็ว
(RAD
Software) ในการสร้างโปรแกรม
การเปลี่ยนระบบ - ทำการทดสอบระบบให้เสร็จสิ้นก่อน
ฝึกอบรม แล้วจึงมีการเปลี่ยนแปลง
เครื่องมือในการพัฒนาระบบงานอย่างเร็ว
ภาษาในยุคที่ 4 เช่น ภาษา SQL (Structure Query
Language) เป็นภาษาที่ใช้ในการสอบถามข้อมูลในโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลต่าง
ๆ
เครื่องมือทำต้นแบบ (Prototyping Tool)
เป็นเครื่องมือที่สร้างต้นแบบของงานได้อย่างรวดเร็ว
ที่ช่วยในการกำหนดความต้อง การออกแบบ และขั้นตอนการสร้างระบบงาน
เครื่องมือ CASE (Computer Aided
Software Engineering) เป็นซอฟต์แวร์ในการวาดแผนภาพต่าง ๆ
ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการออกแบบระบบ
การพัฒนามาตราฐานของซอฟต์แวร์
เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับผู้ใช้
ในการกำหนดมาตราฐานก็ควรจะมีการกำหนดทั้งในส่วนของโปรแกรมและเอกสาร
เมื่อผู้ใช้งานระบบและผู้พัฒนาระบบ สามารถบำรุงรักษาระบบต่อไปในอนาคตได้
ประกอบด้วย
มาตราฐานของโปรแกรม - ประกอบไปด้วยรายละเอียด
(Specification)
เกี่ยวกับภาษาที่จะนำมาใช้ในการเขียนระบบงาน
การเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสม การใช้คำสั่งที่เป็นที่รู้จักทั่วไป
การตั้งชื่อตัวแปรต่าง ๆ
มาตราฐานของเอกสารประกอบระบบ - (Document Standard)
เป็นรายละเอียดทั้งหมดของเอกสารในระบบงาน
เพื่อใช้ในการอ้างอิงกับระบบงาน เมื่อมีการแก้ไข ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง
โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเอกสาร 3 ชุด คือ
- เอกสารประกอบการทำงานของผู้ใช้ (User Documentation)
เป็นเอกสารแสดงวิธีใช้งานระบบ
- เอกสารประกอบการทำงานของพนักงานปฏิบัติงานเครื่อง
(Operator
documentation)
เป็นเอกสารที่บอกถึงขั้นตอนการทำงานของระบบ
โดยส่วนมากจะนำเสนอในรูปแบบของแผนภูมิ
(Flow Chart)
- เอกสารประกอบการทำงานของผู้เขียนโปรแกรม (Programmer
documentation) เป็นคู่มือสำหรับ
ระบบงานที่ได้พัฒนาไปแล้ว
อธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมเทคนิคในการเขียน ตัวแปร