คัดลอกมาจากเอกสารเผยแพร่
"วิธีจัดการโรคผื่นแพ้พันธุกรรม
: คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง"
จัดทำโดยบริษัท เชอริ่ง-พลาว
โรคผิวหนังผื่นคันในเด็กหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ
โรคผื่นแพ้พันธุกรรม
เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง
ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีผิวหนังแพ้งและคัน
บ่อยครั้งที่โรคนี้จะถูกเรียกว่า
"โรคคันที่ทำให้เกิดผื่น"
เนื่องจากอาการมักเริ่มต้นด้วยอาการคัน
เมื่อคัน เด็กก็จะเกา
หลังจากนั้นผื่นก็เกิด
ยิ่งเด็กเกามากเท่าไร
ผื่นก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อผิวหนังถูกเกาอย่างไม่หยุดยั้ง
การติดเชื้อที่ผิวหนังก็เกิดตามมา
สำหรับเด็กที่เป็นโรคผื่นแพ้พันธุกรรม
ผิวหนังของเขาจะอ่อนไหวมาก
อะไรๆภายในบ้านหรือที่อยู่ใกล้ตัวเด็กล้วนแต่สามารถทำให้เดิกเกิดอาการคันได้และทำให้ผิ่นมากขึ้น
และรุนแรงขึ้นได้
ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวที่จะบอกได้ว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นโรคผื่นแพ้พันธุกรรม
ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อไรเด็กจะเป็นโรคนี้
หรือแม้กระทั่งจะบอกว่าโรคจะหายได้เมื่อใด
แต่ยังมีความจริงบางประการที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบเกี่ยวกับโรคผื่นแพ้พันธุกรรม
ดังนี้
-
โรคผื่นแพ้พันธุกรรม
เริ่มเป็นได้ตั้งแต่ลูกยังเป็นทารกอายุระหว่าง
2 - 6 เดือน ร้อยละ 60
ของเด็กที่เป็นโรค
พบในช่วงอายุ 2 ปี
-
ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้
แต่จะพบเสมอว่ามีสมาชิกในครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้
เช่น ลมพิษ โรคภูมิแพ้
เป็นต้น
-
ประมาณร้อยละ
50
ของเด็กที่เป็นโรคผื่นแพ้พันธุกรรม
จะเป็นหอบหืดหรือเป็นโรคภูมิแพ้ในที่สุด
-
โรคผื่นแพ้พันธุกรรมเป็นโรคเรื้องรังติดตามวัยของเด็ก
จึงต้องการการดูแลรักษาทุกวันด้วยยาและทาผิวหนังด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์
พวกครีม
หรือโลชั่นทุกวัน
เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นอยู่เสมอ
-
เด็กส่วนใหญ่ที่เป็นโรคผื่นแพ้พันธุรรมจะมีอาการน้อยลงเมื่อโตขึ้น
แต่บางคนก็จะเป็นโรคนี้ไปเรื่อยๆจนเข้าสู่วัยรุ่น
และบางครั้งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
บันไดขึ้นแรกของการดูแลรักษาอาการของโรคผื่นแพ้พันธุกรรมก็คือ
แก้อาการคัน
เมื่ออาการคันน้อยลง
เด็กจะเกาน้อยลง
และผื่นก็จะยุบลง
คุณและลูกน้อยจะหลับได้มากขึ้น
แต่โปรดระลึกไว้ด้วยว่า
การเอาชนิดอาการคัน
ต้องการความร่วมมือจากคุณอย่างมาก
การตั้งกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติต่างๆและปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เอาชนะอาการคันได้
แต่ก็ต้องอาศัยเวลากว่าคุณจะสามารถปฏิบัติตามได้อย่างสำเร็จ
อย่า...อย่าเพิ่งท้อ
ขอเพียงแต่คุณได้ร่วมมืออย่างจริงจังกับแพทย์
หรือเภสัชกรที่ดูแลลูกของคุณ
คุณก็จะประสบความสำเร็จ
กฎในการเอาชนะอาการคัน
คือ
-
อย่าปล่อยให้ผิวหนังของลูกแห้งเป็นขุย
อาบน้ำให้ลูก
และใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์
เช่น ครีม โลชั่น หรือ
ออยล์
ทาที่ผิวหนังของลูกทันทีหลังอาบน้ำ
-
หากแพทย์ที่ดูแลลูกของคุณบอกให้ใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาที่ผิวหนังของลูก
ก็จงปฏิบัติตาม
การอาบน้ำ
จะช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น
และช่วยลดจำนวนจุลชีพตรงผื่นได้ด้วย
แต่คุณต้องไม่ลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์บนผิวหนังของลูกทันทีหลังการอาบน้ำ
การอาบน้ำให้ลูกนับเป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่ง
อย่างน้อยมันก็ทำให้คุรสามารถปลีกตัวจากงานอันยุ่งเหยิง
แล้วมีเวลามาสำรวจผิวหนังของลูก
อีกทั้งคุณจะรู้สึกมีความสุขที่เห็นลูกสนุกเมื่อได้เล่นน้ำ
อย่างไรเสียคุณก็อาจต้องใช้เวลาในการปรับตารางการทำงาน
เพื่อที่คุณจะมีเวลาอาบน้ำให้ลูกได้เป็นประจำ
คุณอาจต้องเสียเวลาอยู่บ้างในการสำรวจ
และเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์และใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาที่ดีที่สุดสำหรับลูก
ขอให้อดทน
และโปรดระลึกไว้ว่า
เมื่อคุณควบคุมอาการคันได้แล้ว
นั่นแปลว่ามันก็ง่ายนิดเดียวที่จะจัดการกับโรคผื่นแพ้พันธุกรรม
คำแนะนำในการอาบน้ำให้ลูก
-
คุณควรอาบน้ำให้ลูกทุกวัน
อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง
น้ำจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง
หากจะเอาลูกแช่น้ำก็ทำได้
แต่อย่าแช่น้ำนาน
เวลาที่เหมาะสมคือ
ประมาณ 5 นาที
-
น้ำร้อน
จะทำให้ผิวของลูกแห้งจนเกินไป
-
หลีกเลี่ยงการใช้สบู่
เว้นเสียแต่ว่าสิ่งสกปรกจะไม่หลุดออกด้วยน้ำเปล่า
ถ้าจำเป็นต้องใช้สบู่ให้เลือกแบบที่อ่อน
มีสารให้ความชุ่มชื้น
สารทำความสะอาดที่ไม่ทำให้ผิวแห้ง
โดยใช้สบู่ในปริมาณน้อยในช่วงสุดท้ายของการอาบน้ำ
ตรงบริเวณที่จำเป็นเท่านั้น
ไม่ควรทำให้เป็นฟอง
หรือถูด้วยผ้า
เนื่องจากถ้าใช้สบู่ปริมารมากไป
จะทำให้ผิวลูกแห้งมากยิ่งขึ้น
และการถูด้วยผ้าจะทำให้ผิวหนังระคายเคือง
จากนั้น
ให้ล้างสบู่ออกให้หมด
-
หลังอาบน้ำ
ควรใช้ผ้าเช็ดตัวลูกเบาๆเท่านั้น
ไม่ต้องเช็ดจนผิวแห้งสนิท
สิ่งที่ควรทำทันทีหลังจากนำลูกขึ้นจากอ่างน้ำในขณะที่ผิวหนังยังคงเปียกชื้น
ถ้าอาการของโรคผื่นแพ้พันธุกรรมไม่ทุเลาลงทั้งๆที่ได้อาบน้ำ
ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์
และใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาเป็นประจำทุกวันแล้ว
ก็อาจเป็นได้ว่า
มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ผิวหนังของคนเราทุกคนมีแบคทีเรียอาศัยอยู่
ซึ่งจะไม่ทำอันตรายแก่เรา
เพราะร่างกายเรามีกลไกป้องกันตัวเอง
แต่ผิวหนังของเด็กที่เป็นโรคผิวผื่นแพ้พันธุกรรมจะมีความไวต่อแบคทีเรียเหล่านี้
เมื่อเด็กเกา
แบคทีเรียก็จะเข้าไปตามรอยเปิดบนผิวหนังและทำให้เกิดการติดเชื้อ
คุณจะพบว่า
ผิวหนังบริเวณนั้นแดง
และมีน้ำเหลืองไหล
การรักษาจำเป็นต้องใช้ยาต้านจุลชีพ
ซึ่งคุณควรปฏิบัติตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าผิวหนังของลูกแพ้ง่าย
ดังนั้นอะไรๆก็สามารถทำให้ผื่นกำเริบขึ้นได้
บางสิ่งคุณสามารถเอาออกห่างจากลูกน้อยได้ง่าย
แต่
บางสิ่งคุณต้องใช้เวลาในการค้นหาว่ามันคืออะไรที่สามารถทำให้ลูกเกิดอาการแพ้ได้
บางครั้งสิ่งนั้นมีความสลับซับซ้อน
เกิดจากหลายปัจจัย
เพราะฉะนั้นจงอย่าใจร้อน
คุณอาจปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ก็ได้
เพื่อจัดการกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นตัวการทำให้ลูกเกิดอาการแพ้
-
เลือกเสื้อผ้าและเครื่องนอนที่ไม่ระคายผิวหนัง
-
เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย
100%
-
เมื่อลูกได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากฝ้ายจะสบายตัว
ไม่ร้อน เหงื่อไม่ออก
และก็ไม่รู้สึกคัน
-
หากซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูก
ควรนำไปซักก่อน
ตัดป้ายยี่ห้อออกเสียด้วย
เพราะตะเข็บของป้ายยี่ห้อจะถูกับผิวหนังเวลาสวมใส่ได้
และทำให้อาการผื่นลุกลาม
-
ผ้าใยสังเคราะห์เช่น
ไนล่อน
ไม่ควรนำมาตัดเสื้อหรือปูที่นอนให้ลูก
เพราะจะระคายผิวหนัง
ควรเลือกใช้ผ้าฝ้าย 100%
จะดีที่สุด
-
ถ้าใส่เครื่องกันหนาวให้ลูก
ก็ควรหลี่กเลื่ยงเสื้อ
หรือผ้าพันคอไหมพรม
รวมถึงผ้าห่ม
ผ้าขนหนูหรือผ้าที่มีส่วนผสมของขนหรือไยสัตว์
-
หากคุณจะใส่เสื้อหนาว
เวลาที่คุณจะอุ้มลูก
ก็ควรใช้ผ้าฝ้ายกันตัวลูกไม่ให้สัมผัสกับเสื้อหนาวของคุณซึ่งอาจเป็นไหมพรม
คุณควรปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้กับคนอื่นๆที่จะอุ้มลูกของคุณด้วย
-
จงหลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอก
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
และโลชั่นที่ใส่สีสวยๆและมีกลิ่นหอม
คุณอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการค้นหาผงซักฟอกที่ดีที่สุด
อ่อนนุ่มที่สุดสำหรับลูก
ถ้ายังไม่รู้จะเลือกยี่ห้อใดดี
อย่างนอ้ยที่สุดคุณควรเลือกหาผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าที่มีฤทธิ์อ่อนนุ่มไว้ก่อน
-
จงหลีกเลี่ยงการทาผิวหนังของลูกด้วยโลชั่นที่มีกลิ่นหอม
-
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่า
"ผลิตสำหรับเด็กโดยเฉพาะ"
ก็ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจใส่สีและกลิ่นหอมไว้ด้วย
ซึ่งจะทำให้ลูกแพ้และเกิดอาการผื่นคันขึ้นมาได้
-
จงพยายามทำให้ผ้านมีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
-
ห้องนอนของลูก
ควรอยู่ในมุมที่เย็นของบ้าน
หากห้องนั้นรับแดด
จะทำให้ห้องร้อน
ลูกจะมีเหงื่อออกมากและทำให้คันยิ่งขึ้น
ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อโรคผื่นแพ้พันธุกรรมเลย
-
ตัวไรเป็นจุลชีพชนิดหนึ่งชอบอยู่ตามที่นอนอับชื้น
เป็นตัวการที่สำคัญที่ทำให้ลูกเกิดอาการแพ้
ดังนั้นจึงต้องกำจัดตัวไร
โดยการนำฟูกหมอน
และผ้าห่มไปตากแดด
รวมทั้งควรใช้ผ้าพลาสติกห่อหุ้มฟูกและหมอน
แล้วจึงใช้ผ้าฝ้ายปูทับอีกชั้นหนึ่ง
สำหรับผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนก็ควรถอดไปซักบ่อยๆด้วยน้ำร้อน
หากมีการปูพรมในห้องนอนด้วยก็ควรเอาออก
-
หากลูกมีอาการมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงหรือตุ๊กตาที่มีขน
ก็ให้เอาสัตว์เลี้ยงไว้นอกบ้าน
หรือเลิกเลี้ยงสัตว์เหล่านั้น
สำหรับตุ๊กตาก็เลือกหาชนิดที่ทำด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้าร่มให้เล่นแทน
-
ตัดเสื้อลูกน้อยให้สั้นและลบเหลี่ยมคมเสมอ
ด้วยวิธีนี้จะช่วยลดการถลอกของผิวหนังที่เกิดจากการเกาได้
-
เตรียมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ไว้ในบ้านหลายๆขวด
คุณควรมีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ไว้ตามจุดต่างๆในบ้าน
อาทิเช่น ในห้องน้ำ
ห้องนอนของคุณเอง
ห้องนอนของลูก
ห้องรับแขก และห้องครัว
นอกจากนี้ก็ควรมีไว้ในรถและในกระเป๋าถือของคุณ
เพื่อที่คุณจะหยิบมาใช้ได้ทันที
เพื่อทาผิวหนังให้ลูกได้ตามต้องการ
หากคุณนำลูกไปฝากไว้ ณ
สถานรับเลี้ยงเด็กกลางวัน
โรงเรียนอนุบาล
หรือโรงเรียนประถม
ก็ควรเตรียมมอยส์เจอร์ไรเซอร์
และฝากครูหรือพี่เลี้ยงให้ทาผิวหนังของลูกให้ด้วย
"เมื่อคืนนี้
ลูกของดิฉันตื่นขึ้นกลางดึก
แกปลูกดิฉัน
บอกว่าคันมากและขอให้ดิฉันทายาให้
ดิฉันง่วงมาก
แต่ก็ต้องตื่น
ดิฉันลุกขึ้นมาอาบน้ำให้แก
ทายาให้และพาแกเข้านอน
ยังไม่ทันที่ดิฉันจะข่มตาหลับ
แกก็มาปลุกอีกแล้ว...
ปัญหาเดิม
และดิฉันต้องลุกขึ้นมาทำทุกอย่างเหมือนเดิมอีก" คุณประสบเหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้บ้างหรือไม่?
ทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ก็คือ
การใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำประคบตรงที่คัน
แล้วทาด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์
หากลูกของคุณมีอาการคันแบบนี้มากๆ
แพทย์อาจให้รับประทานยาแก้แพ้ด้วย
เพื่อบรรเทาอาการคัน
ยาแก้แพ้ที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วง
จะเป็นผลดีต่อลูกเพราะทำให้ลูกหลับได้
แต่ควรระวังในการให้ยาชนิดนี้ช่วงกลางวันเพราะจะทำให้ลูกง่วงซึม
ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมและอาจมีผลเสียต่อการเรียนรู้
|