แรงจูงใจ (Motivation) |
||
ผศ.วินัย เพชรช่วย |
||
แรงจูงใจ
คือพลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม
และยังกำหนดทิศทางและเป้าหมายของพฤติกรรมนั้นด้วย
คนที่มีแรงจูงใจสูงจะใช้ความพยายามในการกระทำไปสู่เป้าหมายโดยไม่ลดละ
แต่คนที่มีแรงจูงใจต่ำจะไม่แสดงพฤติกรรมหรือไม่ก็ล้มเลิกการกระทำก่อนบรรลุเป้าหมาย
แรงจูงใจของมนุษย์มีมากมายหลายอย่าง เราถูกจูงใจให้มีการกระทำหรือพฤติกรรม หลายรูปแบบเพื่อหาน้ำและอาหารมาดื่มกิน สนองความต้องการทางกาย แต่ยังมีความต้องการมากกว่านั้น เช่น ต้องการความสำเร็จ ต้องการเงิน คำชมเชย อำนาจ และในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม คนยังต้องการมีอารมณ์ผูกพันและอยู่รวมกลุ่มกับผู้อื่น แรงจูงใจจึงเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยสำคัญของแรงจูงใจ ปัจจัยทั้งหลายที่ทำให้เกิดแรงจูงใจในมนุษย์ จำแนกกว้าง ๆ ได้ 4 ประเภท คือ 1. ปัจจัยพื้นฐานทางชีวภาพ (biological factors) เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ เพศ อุณหภูมิที่พอเหมาะ 2. ปัจจัยทางอารมณ์ (emotionnal factors) เช่น ความตื่นตระหนก กลัว โกรธ รัก เกลียด และอารมณ์อื่น ๆ ที่จูงใจให้คนมีพฤติกรรมตั้งแต่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จนถึงการฆ่าผู้อื่น 3. ปัจจัยทางความคิด (cognitive factors) คนเราจะกระทำหรือแสดงพฤติกรรมที่คิดว่าเหมาะสมและเป็นไปได้ และตามความคาดหวังว่าคนอื่นจะสนองตอบการกระทำของตนอย่างไร 4. ปัจจัยทางสังคม (social factors) ได้แก่ จากปฏิกริยาและผลที่ผู้อื่นได้รับ จากตัวอย่างในโทรทัศน์ หรือจากกฏระเบียบทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นต้น ทฤษฎีแรงจูงใจ นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายถึงแรงจูงใจของมนุษย์ เพื่อตอบคำถามว่า ทำไมมนุษย์จึงทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะอะไร แต่ไม่มีทฤษฎีใดที่อธิบายแรงจูงใจได้ครบถ้วน ที่กล่าวอ้างกันมากมีอยู่ 4 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีสัญชาตญาณ ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎีการตื่นตัว และทฤษฎีสิ่งล่อใจ ทฤษฎีสัญชาตญาน (instinct theory) สัญชาตญาน เป็นกระสวนของพฤติกรรมอัตโนมัติ ไม่เกิดจากการเรียนรู้ อยู่นอกเหนือการบังคับของจิตใจ ซึ่งพฤติกรรมนี้จะแสดงออกมาทันทีเมื่อปรากฎสิ่งเร้าเฉพาะต่อพฤติกรรมนั้น (Tinbergen, 1989) เช่น ปลากัดตัวผู้จะแสดงการก้าวร้าวพร้อมต่อสู้ทันทีที่เห็นตัวผู้ตัวอื่น พฤติกรรมนี้ไม่ต้องเรียนรู้ เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ตายตัวแน่นอนซึ่งกำหนดมาโดยกำเนิด แมคดูกัลล์ (William McDougall, 1908) รายงานว่ามนุษย์มีสัญชาตญาน 18 ชนิด เช่น การรักษาสิทธิตนเอง การสืบพันธ์ การต่อสู้ การรวมกลุ่ม ฯลฯ แต่หลังจากนั้นมาอีก 20 ปี มีผู้กล่าวถึงสัญชาตญานของคนเราได้ถึง 10,000 ชนิด จนมีคนล้อกันว่า นักจิตวิทยาสมัยนั้นมีสัญชาตญานในการผลิตสัญชาตญาน และทำให้สัญชาตญานไร้ความหมายในการอธิบายพฤติกรรม เพราะทฤษฎีการเรียนรู้อธิบายได้ดีกว่า ปัจจุบันไม่มีใครอธิบายว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากสัญชาตญานแล้ว แต่ทฤษฎีนี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยทางชีวภาพต่อพฤติกรรม ทฤษฎีแรงขับ (drive reduction theory) ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของปัจจัยทางชีวภาพเหมือนทฤษฎีสัญชาตญาน แต่มีพื้นฐานความคิดในเรื่องระบบสมดุลย์ภายในร่างกาย หรือ โฮมิโอสแตซิส (homeostasis) ระบบนี้มีทั้งในคนและสัตว์ เป็นกลไกภายในที่รักษาระบบทางสรีระให้คงสภาพสมดุลย์ในเรื่องต่าง ๆ ไว้เพื่อทำให้ร่างกายเป็นปกติ โดยการปรับระบบให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใน ทฤษฎีแรงขับอธิบายว่า เมื่อใดที่เกิดการเสียสมดุลย์ในระบบโฮมิโอสแตซิส จะทำให้เกิดความต้องการ (need) อย่างหนึ่งขึ้น เป็นความต้องการทางชีวภาพเพื่อรักษาความอยู่ดีของชีวิต และความต้องการนี้จะทำให้เกิด แรงขับ (drive) อีกต่อหนึ่ง แรงขับเป็นสภาวะทางจิตใจที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว และพร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้กลับคืนสู่สภาพสมดุลย์ ซึ่ง ฮัลล์ (Hull, 1943) อธิบายว่าเป็นกระบวนการเพื่อลดแรงขับ (drive reduction) ตัวอย่าง เช่น ถ้าเราอดน้ำมานานเป็นระยะเวลาหนึ่ง ความสมดุลย์ทางเคมีในเลือดจะถูกรบกวนจนเกิดความต้องการทางชีวภาพ คือต้องการเพิ่มน้ำในร่างกาย สภาพทางจิตใจหรือแรงขับที่เกิดจากต้องการน้ำคือ ความกระหาย จะจูงใจให้เราดื่มน้ำ หรือหาน้ำมาดื่ม หลังจากดื่มแล้ว ความต้องการน้ำได้รับการสนองตอบ แรงขับก็ลดลง อาจกล่าวว่า แรงขับผลักดันให้คนเราตอบสนองความต้องการ เสร็จแล้วทำให้แรงขับลดลง และร่างกายกลับสู่สภาพสมดุลย์ แรงขับ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แรงขับปฐมภูมิ และแรงขับทุติยภูมิ แรงขับปฐมภูมิ (primary drives) คือแรงขับที่เกิดจากความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ความต้องการและแรงขับประเภทนี้เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องเรียนรู้ แรงขับทุติยภูมิ (secondary drives) เป็นแรงขับที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ (โดยการวางเงื่อนไขหรือวิธีการเรียนรู้แบบใด ๆ) แรงขับประเภทนี้เมื่อเกิดแล้ว จะจูงใจคนให้กระทำสิ่งต่าง ๆ ราวกับว่าความต้องการไม่เคยได้รับการสนองตอบ เช่น คนเรียนรู้ว่าเงินมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการลดแรงขับปฐมภูมิอันเกิดจากความต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ อีกมาก การมีเงินจึงกลายเป็นแรงขับทุติยภูมิ การมีเงินไม่เพียงพอ (คนส่วนมากคิดอย่างนี้ตลอดเวลา) จะจูงใจให้กระทำพฤติกรรมหลากหลายเพื่อให้ได้เงินมา ตั้งแต่การทำงานหนักจนถึงการปล้นธนาคาร ทฤษฎีแรงขับสามารถอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้มากกว่าทฤษฎีสัญชาตญาน แต่ก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่ไม่ได้แสดงชัดเจนว่ากระทำเพื่อลดแรงขับใด ๆ เช่น การซุกซนและการสำรวจสิ่งรอบตัว เมื่อมีวัตถุใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในสิ่งแวดล้อมของสัตว์ทดลอง มันจะลงมือดม สัมผัสสิ่งนั้นโดยวิธีต่าง ๆ ลิงเป็นสัตว์ที่แสดงการอยากรู้อยากเห็นค่อนข้างมาก และมนุษย์เราก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่น้อย อดใจไม่ได้ที่จะต้องไปดูเองหรือหารายละเอียดเมื่อมีเหตุการณ์หรือสิ่งของใหม่เกิดขึ้น เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ เดินทางท่องเที่ยว หรือไปห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารเปิดใหม่ ทฤษฎีการตื่นตัว (arousal theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่าคนเราถูกจูงใจให้กระทำพฤติกรรมบางอย่างเพื่อรักษาระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะ (optimal level of arousal) โดยทั่วไป เมื่อระดับการตื่นตัวต่ำลงจะถูกกระตุ้นให้เพิ่มขึ้น และเมื่อระดับการตื่นตัวสูงเกินไปก็จะถูกดึงให้ลดลง เมื่อรู้สึกเบื่อหรือเซ็ง คนเราจะแสวงหาความตื่นเต้น เมื่อเผชิญกับความตื่นเต้นเร้าใจมานานระยะหนึ่ง จะต้องการพักผ่อน เช่น หลังจากฟังบรรยายในช่วงเช้า และยังอ่านหนังสืออีกตลอดช่วงบ่าย เราคงอยากจะดูหนังบู๊โลดโผนสักเรื่องหนึ่งในตอนเย็น แต่ถ้าทั้งวันนั้นเราเล่นกีฬา หรืออภิปรายโต้แย้งปัญหาทางการเมืองมาอย่างเผ็ดร้อน หรือช่วยขนของย้ายที่อยู่ให้เพื่อน เย็นวันนั้นเราคงต้องการความเงียบเพื่อพักผ่อนให้สบาย แต่ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างที่กล่าวมา แสดงว่าระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะของเราค่อนข้างสูงมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนก็มีระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะแตกต่างกันไป นักทฤษฎีอธิบายว่า การตื่นตัว คือระดับการทำงานที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ระบบทางสรีระ สามารถวัดระดับการทำงานนี้ได้จาก คลื่นสมอง การเต้นของหัวใจ การเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือจากสภาวะของอวัยวะต่าง ๆ ระดับการตื่นตัวต่ำที่สุดในขณะที่เราหลับสนิท และสูงสุดเมื่อเกิดความตื่นตกใจหรือตื่นเต้นสุดขีด การตื่นตัวทำให้เพิ่มขึ้นได้จากความหิว กระหายน้ำ หรือ แรงขับทางชีวภาพอื่น ๆ และจากสิ่งเร้าที่เข้มรุนแรง เหตุการณ์ใหม่ ๆ หรือไม่คาดหวังไว้ก่อน หรือจากสารกระตุ้นในกาแฟและยาบางชนิด เมื่อมีระดับการตื่นตัวปานกลาง การทำงานจะที่มีประสิทธิภาพสูง ถ้าระดับการตื่นตัวต่ำเกินไป ประสิทธิภาพในการทำงานจะต่ำลง เช่น ขณะที่เรากำลังง่วงมาก เป็นการยากที่จะคิดเข้าใจเรื่องต่าง ๆ หรือแม้แต่จะพูดจะทำสิ่งใดให้ถูกต้อง ระดับการตื่นตัวที่สูงเกินไปจะรบกวนความใส่ใจ การรับรู้ การคิด เสียสมาธิ กล้ามเนื้อทำงานประสานกันได้ยาก โดยทั่วไป คนเราทำงานยากมีรายละเอียดซับซ้อน ได้ดีมีประสิทธิภาพสูงเมื่อระดับการตื่นตัวต่ำ แต่ถ้าเป็นงานที่ง่าย จะทำได้ดีเมื่อระดับการตื่นตัวสูง คนที่มีระดับการตื่นตัวสูงเป็นนิสัย มักสูบบุหรี่ ดื่มสุรา กินอาหารรสจัด ฟังดนตรีเสียงดัง มีความถี่เรื่องเพศสัมพันธ์ ชอบการเสี่ยงและลองเรื่องใหม่ ๆ ส่วนคนที่มีระดับการตื่นตัวต่ำเป็นปกติ มักมีพฤติกรรมที่ไม่เร้าใจมากนัก ไม่ชอบการเสี่ยง ความแตกต่างในระดับพอเหมาะของการตื่นตัวเกิดจากพื้นฐานทางชีวภาพเป็นเรื่องหลัก และทำให้มีบุคลิกภาพแตกต่างกันไปด้วย ทฤษฎีสิ่งล่อใจ (incentive theory) ทฤษฎีอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ล้วนแต่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยภายในร่างกาย แต่ทฤษฎีสิ่งล่อใจกลับอธิบายถึงปัจจัยภายนอกหรือจากสิ่งแวดล้อมที่จูงใจหรือดึงดูดให้คนมุ่งไปหาสิ่งนั้น โดยอธิบายว่า การกระทำทั้งหลายของคนเราล้วนเป็นการกระทำเพื่อแสวงหาสิ่งที่พอใจ (positive incentives) และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พอใจ (negative incentives) การที่คนมีพฤติกรรมแตกต่างกันหรือพฤติกรรมของคนคนหนึ่งไม่เหมือนเดิมเมื่อเปลี่ยนสถานการณ์ไป ขึ้นอยู่กับสิ่งล่อใจที่มีแตกต่างกัน หรือมีค่านิยมและให้คุณค่า (values) ต่อสิ่งล่อใจไม่เหมือนกัน ถ้าคนคิดว่าการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจะได้รับผลที่คุ้มค่ากับความคาดหวัง เขาก็จะมีแรงจูงใจให้กระทำอย่างที่คิดนั้น คุณค่าของสิ่งล่อใจเกิดขึ้นได้ทั้งจากปัจจัยทางชีวภาพและทางความคิด เช่น อาหารจะมีค่าของการจูงใจต่อคนที่กำลังหิว มากกว่าต่อคนที่อิ่มแล้ว ทฤษฎีกระบวนการปฏิปักษ์ (oppeonent-process theory) อธิบายเสริมทฤษฎีสิ่งล่อใจ และทฤษฎีการตื่นตัวในเรื่องการเปลี่ยนค่าของสิ่งล่อใจและระดับความตื่นตัวว่า 1) ปฏิกิริยาตอบสนองเริ่มต้นต่อสิ่งเร้าจะมีปฏิกิริยาตรงกันข้ามเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นกระบวนการปฏิปักษ์ เช่น อาการตื่นตกใจเสียงระเบิดจะตามมาด้วยอาการโล่งใจและผ่อนคลายลง 2) หลังจากเผชิญกับสิ่งเร้าเดิมบ่อยครั้งขึ้น การตื่นตัวในระยะเริ่มต้นจะลดลง แต่กระบวนการปฏิปักษ์จะเร็วและเข้มขึ้น จึงอธิบายได้ว่า ทำไมคนบางคนจึงชอบการกระทำที่ตื่นเต้นแต่เสี่ยงอันตรายสูง เช่น การดิ่งพสุธา การกระโดดหอสูง, bangee-jumping และเกมส์ท้าทายอื่น ๆ เพราะในการกระทำครั้งแรก ๆ นั้น จะเกิดความรู้สึกตื่นเต้น กลัวผิดพลาด มีอันตราย สูงมาก แต่เมื่อทำได้ในแต่ละครั้งจะมีความรู้สึกสบายใจ ภูมิใจ และสนุกสนานตามมา ความกลัวก็ลดลง เป็นการเปลี่ยนแปลงค่าของสิ่งล่อใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการกระทำนั่นเอง ทฤษฎีแรงจูงใจที่กล่าวมาทั้งหมด มีส่วนที่เสริมแก่กันในการเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะเป็นการเน้นปัจจัยที่ต่างกันในการเกิดแรงจูงใจ ตอไปนี้จะได้กล่าวถึงการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับแรงจูงใจในพฤติกรรมสำคัญต่าง ๆ เช่น การกิน การทำงาน เป็นต้น ความหิว และการกินอาหาร คนเราจะหิวเมื่อไม่ได้กินอาหาร เหมือนกับรถยนตร์ที่ขาดน้ำมันเป็นพลังงาน คนต้องการพลังงานจากสารอาหาร จึงสงสัยว่าร่างกายมีการตรวจวัดปริมาณอาหารอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุของความหิว อะไรทำให้คนเลือกชนิดอาหาร และรู้ได้อย่างไรว่าต้องหยุดกิน การตอบข้อสงสัยเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง ระบบอื่น ๆ ของร่างกาย รวมทั้งการเรียนรู้และปัจจัยทางสังคม สัญญาณทางชีวภาพ เมื่อไม่ได้กินอาหารเป็นระยะเวลาหนึ่งจะเกิดความหิว คนทั่วไปจะรายงานว่าเมื่อหิวรู้สึกว่าท้องร้องเพราะท้องว่าง และเมื่อกินอิ่มแล้วรู้สึกว่าอาหารเต็มท้อง เป็นการทำงานของกระเพาะอาหาร แต่พบว่าคนที่ถูกตัดกระเพาะอาหารออกไปเพราะความเจ็บป่วย ก็ยังรู้สึกหิวและกินอาหารได้ตามปกติ การทำงานของกระเพาะอาหารทำให้เรารู้สึกได้เมื่อหิวจัดหรืออิ่มมากเท่านั้น แต่มันไม่รู้ว่าเมื่อไรจะต้องกินอาหาร สมองทำหน้าที่เหมือนมาตรวัดปริมาณอาหาร ไม่ได้ควบคุมกระเพาะโดยตรง แต่ตรวจสอบจากกระแสเลือด สามารถจับสัญญาณความต้องการอาหารได้ นักวิทยาศาสตร์เคยทดลองให้หนูตัวหนึ่งอดอาหารเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมง แล้วเอาเลือดจากหนูอีกตัวหนึ่งที่เพิ่งกินอาหารอิ่มเต็มที่ ฉีดเข้าไปในหนูตัวที่อดอาหารจากนั้นนำอาหารมาให้มัน พบว่าหนูตัวนี้กินอาหารได้น้อยมาก (Davis et al., 1969) สารอาหารและฮอร์โมน ตัวบอกสัญญาณ สมองสามารถตรวจวัดทั้งสารอาหารและฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ปริมาณของสารเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าควรรับสารอาหารเพิ่ม (หิว,กิน) หรือควรหยุดรับ (อิ่ม) สมองจะตรวจสอบระดับสารอาหารจำพวก กลูโคส (glucose) กรดไขมัน (fatty acids) และกรดอะมิโน (amino acids) เมื่อระดับของกลูโคสในเลือดลดต่ำลง ร่างกายต้องกินอาหารเพิ่มขึ้น เมื่อฉีดสารที่ผสมกลูโคสปริมาณมากให้หนูที่อดอาหาร หนูจึงกินอาหารได้น้อย ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่สมองคอยตรวจวัด ได้แก่ glucocorticoids, insulin และ cholecystokitin (CCK) ถ้าระดับของ glucocorticoids เพิ่มขึ้น เป็นการจูงใจให้กินอาหารประเภท แป้งและไขมัน insulin จะถูกปล่อยออกมาเมื่อระดับของกลูโคสสูงขึ้น cholecystokitin ทำหน้าที่เป็นสารส่งสัญญาณในสมองที่บอกว่าอิ่มแล้ว สารนี้ยังหลั่งได้จากในกระเพาะอาหารเอง ตรวจจับได้โดยระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งส่งสารสัญญาณไปยังสมองอีกทอดหนึ่ง ในระหว่างการกินอาหารแต่ละมื้อ CCK ถูกปล่อยมาทั้งจากกระเพาะ ลำไส้ และจากไฮโปธาลามัส ส่วนสำคัญในสมองที่ควบคุมการกิน การหิวและการอิ่ม คือ ไฮโปธาลามัส ซึ่งมีศูนย์ควบคุมอยู่ในตำแหน่ง 3 ตำแหน่งคือ
รสชาติ การเรียนรู้ กับความอร่อย ปัจจัยที่อาจทำให้ set point ในการกินสูงขึ้นคือ ความอร่อยและความน่ากินของอาหาร ได้แก่การปรุงแต่งสีและกลิ่นรสของอาหาร คนเราจึงไม่ใช่กินเพื่อลดความหิวอย่างเดียว แต่ยังถูกจูงใจให้กินเพราะติดใจในรสชาติของอาหารและความสนุกในการกินด้วย ความอร่อยเกี่ยวข้องกับประสาทหลายส่วนในสมอง โดยเฉพาะที่ธาลามัส ทำหน้าที่บันทึกคุณสมบัติและกลิ่นรสของอาหาร เช่น ลักษณะเนื้ออาหารและอุณหภูมิว่าเราจะกินได้มากเพียงใด สาร dopamine ซึ่งหลั่งจากสมองส่วนกลางและส่วนบนเกี่ยวข้องกับความเพลิดเพลินในการกิน ความรู้สึกอร่อยในการกินขึ้นอยู่กับรสชาติและการเรียนรู้เชื่อมโยงกับกลิ่นรสนั้น ๆ ด้วย กลิ่นรสอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้คนกินได้มาก แต่มื้อใดที่มีอาหารหลาย ๆ อย่าง ก็ทำให้เรากินอาหารได้ปริมาณมากขึ้นกว่ามีอาหารเพียงอย่างเดียว ถ้าเรากินอาหารชนิดเดียวหลาย ๆ มื้อติดต่อกันความรู้สึกพอใจในอาหารนั้นจะลดลง กลิ่นและรสของอาหารทำให้เกิดการวางเงื่อนไขในร่างกาย เช่น น้ำลายไหล น้ำย่อยหลั่งในกระเพาะ และเพิ่มอินซูลินในเลือด ทั้งนี้เป็นการเตรียมการเพื่อย่อยอาหาร อาการเหล่านี้จะลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้รู้สึกหิวขึ้นมาได้ แม้เพียงการเห็นรูปภาพของอาหาร การตอบสนองเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ทำให้เราสั่งอาหารกินทั้งที่ร่างกายยังไม่ต้องการจริง ๆ สิ่งเร้าบางอย่างอาจทำให้เรารู้สึกอิ่มและหยุดกินอาหารได้ แม้ว่าเราจะกินไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากสิ่งเร้านั้นมีความเชื่อมโยงกับสภาวะการอิ่มในร่างกาย สถานที่หรือฤดูกาลทำให้คนอยากกินอาหารบางอย่างเป็นการเฉพาะได้ ปริมาณอาหารที่กินมากหรือน้อยบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับการกินของคนอื่นมากกว่าความต้องการของเรา การรักษามารยาทและพิธีการทำให้กินน้อย แต่โดยทั่วไปเมื่อมีเพื่อนร่วมกินด้วยจะทำให้กินอาหารได้มากกว่าปรกติ พฤติกรรมทางเพศ แรงจูงใจทางเพศไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิตเหมือนความหิว แต่สัตว์ชนิดใดก็ตามจะสูญพันธ์ในมิช้ามินานถ้าไม่มีแรงจูงใจที่จะสืบพันธ์กัน สัตว์ต่างชนิดกันมีปัจจัยในแรงจูงใจทางเพศและพฤติกรรมทางเพศต่างกันมาก ปัจจัยที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ลักษณะทางชีวภาพ พฤติกรรมการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและสิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น นกทะเลทรายชนิดหนึ่ง จะมีพฤติกรรมทางเพศได้ต่อเมื่อ มีฮอร์โมนเพศ มีคู่ และสภาพอากาศที่พอเหมาะด้วย พบว่านกพวกนี้ไม่สนใจเรื่องเพศเลยตลอดฤดูร้อน แต่เมื่อถึงฤดูฝน เพียง 10 นาทีหลังฝนห่าแรกตกลงมา นกชนิดนี้จะมีการจับคู่ผสมพันธุ์กันอย่างเป็นการเป็นงาน พฤติกรรมซึ่งนำไปสู่การจับคู่กันของมนุษย์ในวัฒนธรรมต่าง ๆ มีกระสวนเหมือนกัน คือ เริ่มด้วยการพยายามสบตาและจ้องมองตากัน พูดจากระเซ้าเย้าแหย่ วนเวียนที่จะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายหนึ่ง หาทางที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน ส่งยิ้มให้แก่กัน เปิดเผยบางส่วนที่ปกปิดของร่างกาย เบียดสัมผัสกันเหมือนไม่ตั้งใจ แสดงสีหน้าและท่าทางให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงความต้องการ หญิงและชายมีลำดับของความรู้สึกทางเพศ (sexual response cycle) พื้นฐานคล้ายกัน จาก exitement, plateau, orgasm และ resolution แต่หญิงมีความซับซ้อนมากกว่า (Masters & Johnson, 1966) ฮอร์โมน: ปัจจัยทางชีวภาพต่อแรงขับทางเพศ ฮอร์โมนเพศหญิงคือเอสโทรเจน (estrogens) และ โปรเจสทิน (progestines) ที่สำคัญได้แก่ เอสทราดิออล (estradiol) กับ โปรเจสเทอโรน (progesterone) ฮอร์โมนเพศชายคือแอนโดรเจน (androgen) ตัวหลักได้แก่ เทสโทสเทอโรน (testosterone) หญิงและชายมีฮอร์โมนเพศทั้งสองเพศอยู่ในกระแสเลือด แต่ชายมีฮอร์โมนเพศชายสูงกว่า และหญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงสูงกว่า ฮอร์โมนเพศมีผลต่อร่างกายคือ ผลทางโครงสร้าง (organizational effect) คือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในสมองที่ทำให้หญิงและชายมีโครงสร้างบางส่วนต่างกัน โดยเฉพาะในไฮโปธาลามัส ส่วนที่เรียกว่า sexually dimorphic regions ซึ่งมีผลมาตั้งแต่วัยเด็กแต่อยู่ในระดับต่ำ และผลทางพฤติกรรม (activational effect) เกิดขึ้นเมื่อระดับฮอร์โมนสูงขึ้นโดยเฉพาะในวัยพิวเบอร์ตี้ อิทธิพลของฮอร์โมนเพศทำให้เริ่มสนใจพฤติกรรมทางเพศและเพศตรงข้าม ปัจจัยทางสังคมต่อพฤติกรรมทางเพศ การแสดงความต้องการทางเพศของมนุษย์ มีปัจจัยทางสังคมและการเรียนรู้เกี่ยวข้องอยู่ค่อนข้างมาก เช่น การเรียนรู้ในวัยเด็กทำให้เด็กรู้บทบาทของเพศของตน รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงเหมาะสม นอกจากนี้ยังเรียนรู้เจตนคติต่อเรื่องเพศตามวัฒนธรรมที่เด็กเติบโตมาอีกด้วย เช่น เห็นเรื่องเพศเป็นเรื่องปรกติธรรมชาติ หรือเห็นเป็นเรื่องหยาบคายที่ไม่ควรพูดถึง เป็นต้น อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (sexual dysfunction) เป็นอาการที่แสดงว่าไม่มีความต้องการทางเพศ หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ อาการในผู้ชายเรียกว่า erectile disorder อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอตามที่ต้องการ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุทางกาย เช่น ความเหนื่อย ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ผลข้างเคียงจากฤทธิ์ยาหรืออัลกอฮอล์ ถือเป็นอาการชั่วคราว หรือเกิดจากสาเหตุทางจิตใจซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการนี้ เช่น ความวิตกกังวล พบมากถึง 95% ในจำนวนผู้มีอาการนี้ ส่วนอาการที่เป็นในผู้หญิงเรียกว่า arousal disorder ไม่สามารถรู้สึกเป็นสุขทางเพศได้ หรือไร้ความรู้สึก เกิดจากสาเหตุทางจิตใจ เช่น มีทัศนคติเป็นลบในเรื่องเพศจากการอบรมของพ่อแม่หรือคำสอนทางศาสนา มีความรู้สึกไม่พอใจในสัมพันธ์ภาพกับคู่ของตัวเอง Sexual Orientation รูปแบบความสัมพันธ์ทางเพศของมนุษย์สามารถแบ่งได้เป็น 3 พวก คือ 1) heterosexual มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ที่มีเพศตรงข้ามกับตน คนส่วนใหญ่อยู่ในพวกนี้ 2) homosexual มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ที่มีเพศเดียวกับตน 3) bisexual เป็นพวกที่ชมชอบในความสัมพันธ์กับทั้งสองเพศ ไม่ว่าจะชอบแบบไหนก็เป็นส่วนหนึ่งใน sexual orientation ของคนเรา sexual orientation มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
to be continued .... |