โคลงสร้างกลอนไทย
คนไทยชอบแต่งกลอนและแต่งกลอนกันได้อย่างเพราะมากๆเป็นส่วนใหญ่เพื่อขอโอกาสนี้เท้าความกลับไปถึงการแต่งกลอนไทยจริงๆว่าจริงๆแล้วกลอนไทยนั้นมีอยู่หลายแบบและจริงๆแล้วบางอย่างอาจจะดูเหมือนแต่งยากแต่จริงๆพอแต่งออกมาแล้ว ก็มีความไพเราะที่แตกต่างกันออกไปซึ่งทุกคนต้องเคยเรียนกันมาบ้างแล้วแต่ยังจำกันได้หรือเปล่าเอ่ยว่าโคลงฉันท์กาพย์กลอนจริงๆนะแต่งกันยังไงถ้านึกแล้วต้องทำหน้าเหมือนคุ้นๆยังไม่ปิ๊งซักทีก็ลองไปรื้อฟื้นความจำกันได้เลย
กลอน 1 บท จะมี 2 บาท หรือ 2 คำกลอน บาทแรกเรียก บาทเอก ประกอบด้วย วรรคสดับ กับ วรรครับ บาทที่ 2 เรียก บาทโท ประกอบด้วย วรรครอง กับ วรรคส่ง
โคลงสี่สุภาพ 1 บท จะมี 4 บาท วรรคหน้าของทุกบาทจะมี 5 คำ วรรคหลังของบาทที่ 1 2 และ 3 มี 2 คำ แต่เพิ่มสร้อยในวรรคที่ 2 ของบาทที่ 1 และ 3 ได้อีกบาทละ 2 คำ วรรคหลังของบาทที่ 4 มี 4 คำ บังคับเอก 7 แห่ง คำโท 4 แห่ง และกำหนดสัมผัสดังนี้
คำแนะนำในการแต่งโคลง
1. คำที่ 4 และ 5 ในบาทที่ 1
สับตำแหน่งคำเอกและโทกันได้
เช่น ออกจากปาก น้ำน่าน
หนองพราย
2.
ให้ใช้คำตายแทนตำแหน่งบังคับคำเอกได้
3. ในตำแหน่งบังคับคำเอก คำโท
ให้ใช้เอกโทษ และ โทโทษ
แทนได้ตามลำดับ เช่น ใช้ ฟ่า
แทน ฝ้า เป็นเอกโทษ ใช้ เฉ้น
แทน เช่น เป็นโทโทษ
แต่พึงใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
4. คำสุดท้ายของบาทที่ 1 (ไม่นับคำสร้อย)
นิยมเสียงจัตวา และ สามัญ
ห้ามคำที่ใช้รูปวรรณยุกต์เอก
โท ตรี เสียงเอก โท ตรี
ในคำตายใช้ได้
5.
คำสุดท้ายของวรรคหน้าในบาทที่
2 และ 3
ใช้แบบเดียวกับคำสุดท้ายของบาทที่
1
6.
คำสุดท้ายของบทนิยมเสียงจัตวาและสามัญ
ห้าม เสียงเอก โท และ ตรี
กล่าวก่อนเรื่องกาพย์
คำว่า "กาพย์"
มีทั้งความหมายกว้างและแคบ
ในความหมายกว้างซึ่งเป็นความหมายเดิม
หมายถึง
บทประพันธ์ที่ได้ร้อยกรองขึ้น
ไม่จำกัดว่าเป็นคำประพันธ์ชนิดใด
เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ หรือ
ร่าย ฯลฯ
นับว่าเป็นกาพย์ทั้งสิ้น
แต่มักใช้ในความหมายที่แคบ
คือ หมายถึง
คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่คล้ายฉันท์มักใช้แต่งปนกับคำประพันธ์ประเภทฉันท์
แต่ไม่กำหนด ครุ ลหุ
อย่างฉันท์
จริงๆแล้วกาพย์มีอยู่หลายชนิด
แต่เราจะกล่าวถึงเพียง 3
กาพย์ในที่นี้คือ กาพย์ยานี 11
กาพย์ฉบัง 16 และ
กาพย์สุรางคนางค์