โรงเรียนวัดแสงสรรค์ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอธัญบุรี สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดปทุมธานี สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ(เดิม) ต่อมาเปลี่ยนไปสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 2 โทร. (02) 533-1099, (02) 533-0289 ตั้งอยู่เลขที่ 18 หมู่ที่ 6 ถนนรังสิต-นครนายก ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โรงเรียน ได้รับอนุมัติให้สร้างเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2476 โดยพระอธิการปลั่ง อุตตโม อดีตเจ้าอาวาสวัดสงสรรค์ โดยใช้ศาลาการเปรียญของวัดเป็นสถานที่เรียน มีนายทองใส แจ่มประเสริฐ ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ ในปี 2483 นายกวี เหงียนระวี ได้บริจาคที่ดินจำนวน 3 ไร่เศษ และได้สร้างอาคารเรียนแบบ ป.1.ข. เป็นอาคารเรียนแบบเอกเทศเป็นหลังแรก และพัฒนาก่อสร้างสิ่งต่างๆ มาโดยลำดับ จนในปี 2534 พระครูธัญเขมคุณ เจ้าอาวาสวัดแสงสรรค์คนปัจจุบัน ได้ก่อสร้างอาคารเรียนแบบรัตนโกสินทร์สมโภชน์ เป็นตึก 4 ชั้น 1 หลัง 24 ห้องเรียน แล้วเสร็จเปิดใช้เมื่อปีการศึกษา 2539 และทำพิธีมอบอาคารเรียนให้ทางราชการ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2541 ปัจจุบันมีอาคารเรียนรวม 2 หลัง อาคารประกอบ 1 หลัง บ้านพักครู 5 หลัง สนามบาสเกตบอล 1 สนาม ดำเนินการจัดการศึกษาในพื้นที่ 6 ไร่ 40 ตารางวา |
ปรัชญาของโรงเรียน
โรงเรียนงามสง่า การศึกษาก้าวไกล ไปสู่มาตรฐาน สมานชุมชน
คำขวัญของโรงเรียน เรียนดี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม สีประจำโรงเรียน น้ำเงิน ขาว ดอกไม้ประจำโรงเรียน ดอกทองหลางลาย |
สภาพชุมชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
สภาพพื้นที่เหมาะกับการเพาะปลูก บางส่วนยังคงมีการทำนาอยู่บ้าง ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน
มีอาชีพรับจ้างทั้งนี้เนื่องจากการคมนาคมในปัจจุบันสะดวกในการติดต่อกับกรุงเทพมหานครความเจริญจึงแพร่เข้ามาในพื้นที่อย่างรวดเร็วทำให้ประชากร อพยพหลั่งไหลเข้ามาทำงาน เกิดปัญหาทางสังคมอย่างมากมาย บริเวณรอบๆ โรงเรียนเต็มไปด้วยหมู่บ้านจัดสรร บริษัท โรงงาน และชุมชนริมคลองแออัด ซึ่งเป็นที่พักของผู้ปกครองที่อพยพเข้ามาหางานทำ โดยมีรายได้เฉลี่ย โดยรวมประมาณ 7,500 บาท ต่อครอบครัว |
ประวัติ
และข้อมูลเทศบาลเมืองรังสิต วันเพ็ญ (ตาล) 2 พย 46 ประวัติความเป็นมาและข้อมูลทั่วไป
มีที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้ - ด้านเหนือ ติดต่อกับเขตเทศบาลตำบลคลองหลวงและเขตองค์การบริหารส่วนตำบล คลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี - ด้านตะวันออก ติดต่อกับเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี - ด้านใต้ ติดต่อกับเขตเทศบาลเมืองคูคตและเขตองค์การบริหารส่วนตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี - ด้านตะวันตก ติดต่อกับองค์การบริหารส่วนตำบลหลักหกและเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบางพูน อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ลักษณะภูมิประเทศ ทรงมีพระราชดำริให้ขุด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2433 โดยขุดแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองปทุมธานี ไปจนถึงเขตองครักษ์ จังหวัดนครนายก ความยาวโดยประมาณ 38.4 กิโลเมตร มีคลองซอย 14 คลอง อยู่ในเขตเทศบาลเมืองรังสิต จำนวน 3 คลองซอย ใช้สำหรับส่งน้ำเพื่อประโยชน์ทางกสิกรรมและการคมนาคมขนส่ง ด้านเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพพาณิชยกรรม ค้าขาย และมีนักลงทุนสนใจมาลงทุนในพื้นที่ของเทศบาลจำนวนมาก เห็นได้จากจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้น ส่วนลักษณะการประกอบอาชีพดั้งเดิมของท้องถิ่น เช่น การทำนา ทำไร่มันสำปะหลัง ทำสวนส้ม ฯลฯ ยังคงมีหลงเหลือให้เห็นอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฐานะการคลังของเทศบาล เทศบาลเมืองรังสิตมีรายได้จากหมวดภาษีอากร หมวดค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ค่าใบอนุญาต รายได้จากทรัพย์สิน หมวดสาธารณูปโภค และเทศพาณิชย์ หมวดรายได้เบ็ดเตล็ด หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ เงินกู้ และรายรับจากเงินสะสม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.25412545 มีรายรับจริงจำนวน 134,603,144.74 บาท 170,144,268.27 บาท 174,835,443.60 บาท 197,984,398.71 บาท และ 215,579,274.10 บาทตามลำดับ โดยรายได้ในแต่ละปีส่วนใหญ่มาจากหมวดภาษีอากร โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2541-2545 มีรายรับหมวดภาษีอากร 79,766,404.26 บาท 78,862,610.50 บาท 87435,884.55 บาท 136,782,137.08 บาท และ 165,558,984.44 บาท ตามลำดับ ในส่วนของรายจ่ายประกอบด้วยรายจ่ายตามข้อผูกพัน เงินสำรองจ่าย หมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำ หมวดค่าจ้างชั่วคราว หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ หมวดค่าสาธารณูปโภค หมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง หมวดเงินอุดหนุน รายจ่ายจากเงินสะสม และรายจ่ายจากเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โดยมีรายจ่ายจริงในปี พ.ศ.2541-2545 จำนวน 108,456,510.54 บาท 164,050,634.13 บาท 169,205,547.55 บาท 179,568,184.68 บาท และ 210,240,476.75 บาท ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายในหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ และหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ด้านการสาธารณสุข และการอนามัย เทศบาลเมืองรังสิตมีโรงพยาบาลทั้งสิ้นจำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็น - โรงพยาบาลของรัฐ จำนวน 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลประชาธิปัตย์ และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ - โรงพยาบาลของเอกชนจำนวน 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลเอกปทุม โรงพยาบาลปทุมเวช และโรงพยาบาลวิภาวดีรังสิต ด้านการศาสนา มีศาสนสถานที่สำคัญ คือ - วัด จำนวน 2 แห่ง คือวัดแสงสรรค์ วัดคลองหนึ่งแก้วนิมิต - สำนักสงฆ์ จำนวน 1 แห่ง คือ สำนักสงฆ์จันทรสุข - โบสถ์ในคริสตศาสนา จำนวน 1 แห่ง คือ โบสถ์พระแม่ชนนี - ศาลเจ้าจำนวน 3 แห่ง คือ ศาลเจ้าหลักเมือง ศาลเจ้าไต้ฮงกง และศาลเจ้าพ่อเฮ็งเจีย ด้านการศึกษา สถานศึกษาในเขตเทศบาลเมืองรังสิต มีจำนวน 17 แห่ง คือ - ศูนย์เด็กเล็กสังกัดเทศบาลและเมืองพัทยา จำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์เด็กเล็กเทศบาลเมืองรังสิต - โรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา จำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนสายปัญญารังสิต และโรงเรียนธัญบุรี - โรงเรียนในสังกัด ส.ป.ช. มีจำนวน 3 แห่ง คือ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร โรงเรียนทองพูลอุทิศ และโรงเรียนวัดแสงสรรค์ - โรงเรียนเอกชนมีจำนวน 11 แห่ง คือ โรงเรียนศิริศึกษา โรงเรียนแก้วสว่างวิทยา โรงเรียนทิพพากรวิทยาการ โรงเรียนอุดมวิทยา โรงเรียนดวงกมล โรงเรียนอนุบาลรังสิต โรงเรียนรัตนโกสินทร์ รังสิต โรงเรียนอนุบาลบรรจบรัตน์ โรงเรียนอนุบาลรังสฤษฎ์ โรงเรียนอนุบาลฟ้าศิรินทร์ และโรงเรียนธัญวิทย์
กิจการเทศพาณิชย์ เทศบาลเมืองรังสิตมีกิจการเทศพาณิชย์จำนวน 1 แห่ง คือ สถานธนานุบาล ตั้งอยู่บริเวณตลาด หวั่งหลี หมู่ที่ 2 ตำบลประชาธิปัตย์ จำนวนประชากร จำนวนประชากรของเทศบาลเมืองรังสิต ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2546 มีจำนวน 65,681 คน ประกอบด้วยประชากรชายจำนวน 31,429 คน ประชากรหญิง จำนวน 34,252 คน ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ย 3,158 คนต่อตารางกิโลเมตร การเมืองการบริหาร จากการยกฐานะเทศบาลตำบลเป็นเทศบาลเมืองทำให้เทศบาลเมืองรังสิตมีภาระและหน้าที่เพิ่มขึ้นตามมาตรา 53 และ 54 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 (และที่แก้ไขเพิ่มเติมจนถึงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2543) นอกจากนี้องค์กรของเทศบาลเปลี่ยนไปจากเดิมที่ประกอบด้วยคณะเทศมนตรี กับสภาเทศบาล เปลี่ยนเป็นนายกเทศมนตรีกับสภาเทศบาล ซึ่งรูปแบบใหม่นี้นายกเทศมนตรีและสภาเทศบาลจะได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดยประชาชนจะเลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรงจำนวน
1 คน (นายกเทศมนตรีแต่งตั้งรองนายกเทศมนตรีจำนวน 3 คน) และเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลจำนวน
18 คน ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ.2546 ภายใต้ข้อบังคับแห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 (แก้ไขเพิ่มเติม จนถึงฉบับที่ 11 พ.ศ.2543 ) เทศบาลเมืองมีหน้าที่ต้องทำในเขตเทศบาล เพิ่มขึ้นจากเทศบาลตำบล ( เทศบาลตำบลทำหน้าที่เพียงข้อ 1-9 ) โดยเทศบาลเมืองมีหน้าที่ต้องทำในเขตเทศบาล ตามมาตรา 53 ดังต่อไปนี้ 1. รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 2. ให้มีและบำรุงทางบกและทางน้ำ 3. รักษาความสะอาดของถนน หรือทางเดินและที่สาธารณะรวมทั้งการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล 4. ป้องกันและระงับโรคติดต่อ 5. ให้มีเครื่องใช้ในการดับเพลิง 6. ให้ราษฎรได้รับการศึกษาอบรม 7. ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ 8. บำรุงศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 9. หน้าที่อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของเทศบาล 10. ให้มีน้ำสะอาดหรือการประปา 11. ให้มีโรงฆ่าสัตว์ 12. ให้มีและบำรุงสถานที่ทำการพิทักษ์และรักษาคนเจ็บไข้ 13. ให้มีและบำรุงทางระบายน้ำ 14. ให้มีและบำรุงส้วมสาธารณะ 15. ให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น 16. ให้มีการดำเนินกิจการโรงรับจำนวำหรือสถานสินเชื่อท้องถิ่น
นอกจากนี้ ตามมาตรา 54 ยังกำหนดให้ เทศบาลเมืองอาจจัดทำกิจการใด ๆ ในเขตเทศบาลได้ดังนี้ 1. ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือและท่าข้าม 2. ให้มีสุสานและฌาปนสถาน 3. บำรุงและส่งเสริมการทำมาหากินของราษฎร 4. ให้มีและบำรุงสงเคราะห์มารดาและเด็ก 5. ให้มีและบำรุงโรงพยาบาล 6. ให้มีการสาธารณูปการ 7. จัดทำกิจการซึ่งจำเป็นเพื่อการสาธารณสุข 8.จัดตั้งและบำรุงโรงเรียนอาชีวศึกษา 9. ให้มีและบำรุงสถานที่สำหรับการกีฬาและพลศึกษา 10. ให้มีและบำรุงสวนสาธารณะ สวนสัตว์และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 11. ปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรม และรักษาความสะอาดเรียบร้อยของท้องถิ่น 12. เทศพาณิชย์ จำนวนชุมชนที่ได้รับการจัดตั้งแล้วโดยเทศบาลได้ให้ความสนับสนุนงบพัฒนา ในเขตเทศบาลมีชุมชน 45 แห่ง รูปแบบที่อยู่อาศัยมีความหลายหลาย เช่น ชุมชนหมู่บ้านจัดสรร ชุมชนย่านการค้า ตลาดสด ชุมชนแออัด (เช่น บุกรุกที่ริมคลอง) บุคลากร เทศบาลเมืองรังสิตมีบุคลากรทั้งสิ้นจำนวน 456 คน แบ่งเป็น พนักงานเทศบาล 74 คน ลูกจ้าง ประจำ จำนวน 53 คน ลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 329 คน การเลือกตั้ง พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2546 มาตรา 13 (3) กำหนดให้เทศบาลเมืองแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง และให้มีจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลได้ เขตเลือกตั้งละ 6 คน ซึ่งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลเมืองรังสิตได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลเมืองรังสิต ในวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2546 ปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น จำนวน 20,019 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 44,619 คน ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งคิดเป็นร้อยละ 44.87 มีบัตรเสียจำนวน 1,529 คน คิดเป็นร้อยละ 7.64 บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนจำนวน 714 ใบ คิดเป็นร้อยละ 2.09 ผลการรวมคะแนนจากหน่วยเลือกตั้งทั้ง 59 หน่วย
*************************************************** สรุปการทำงาน 1 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2546) คณะทำงานหลักได้แก่ อ.วรวุฒิ อ.วิชัย และคุณวันเพ็ญ ได้ร่วมหารือกับทางเทศบาล เพื่อจัดการประชุมในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีการจัดการประชุมไป 5 ครั้ง ดังนี้ 1. วันที่ 22 กันยายน พบคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกกอง เพื่อแจ้งเรื่องความร่วมในการทำแผนพัฒนาเทศบาลระยะ 20ปี ในครั้งนี้ได้ประสานงานเรื่องขอข้อมูลที่เทศบาลมีอยู่แล้ว และได้มอบหมายให้คุณวันเพ็ญ ไปดำเนินการหาเอกสารเพิ่มเติม และทำสรุปประเด็นข้อมูล ที่ได้มา 2. วันที่ 2 ตุลาคม ได้ร่วมประชุมเตรียมการในการทำพิธีลงนามสัญญา (จัดในวันที่ 7 ตค) และได้จัดทำแบบสำรวจปัญหาต่างๆ ของเทศบาล โดยกลุ่มเป้าหมายคือ เจ้าหน้าที่ทุกกอง และผู้บริหารเทศบาล โดยจะนำข้อมูลมากำหนดแนวทางการศึกษาและวางแผนทำข้อมูลต่อไป (ดูสรุปการประชุมประกอบ) 3. วันที่ 8 ตุลาคม ได้ทำการประชุมระดมปัญหากับเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ กลุ่มผู้บริหารเทศบาล (นายกเทศมนตรี รองนายกฯ สมาชิกสภาเทศบาล และที่ปรึกษาฯ) กลุ่มผู้บริหารข้าราชการ (ผู้อำนวยการ หัวหน้าส่วนต่างๆ) และกลุ่มเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการทุกฝ่ายฯ ในการประชุมครั้งนี้ได้ค้นพบปัญหาของเทศบาลในหลายเด้าน (ดูสรุปการประชุมประกอบ) 4. วันที่ 27 ตุลาคม ได้ทำการประชุมแกนนำชุมชน ทั้ง 45 แห่ง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำแผนพัฒนาระยะ 20ปี และขอความร่วมมือกับคณะทำงานในโอกาสต่อไป 5. วันที่ 29 ตุลาคม ได้ทำการประชุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่พื้นที่รอบเทศบาลเมืองรังสิต โดยได้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ ร่วมกัน ของการทำแผนนี้ และขอความร่วมมือให้สนับสนุนการทำงานของธรรมศาสตร์และเทศบาลเมืองรังสิต ในวันนั้นได้รับข้อเสนอและข้อมูลจากเทศบาล และอบต.ต่างๆ (ดูสรุปการประชุมประกอบ)
เกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลต่างๆ โดยคุณวันเพ็ญ ในเดือนตุลาคม มีดังนี้ จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ได้พบข้อมูลของพื้นที่ศึกษาและองค์การท้องถิ่นรอบๆ โดยได้ยืมเอกสารจากเอไอทีมาค้นคว้า และไปค้นที่ห้องสมุด กรมควบคุมมลพิษ ห้องสมุดสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ห้องสมุดสำนักผังเมือง และอื่นๆ โดยทั่วไปพบว่า รังสิต-คลองหลวง เป็นพื้นที่เป้าหมายของการขยายตัวของ กทม.อีกแห่งหนึ่ง มีการศึกษาโครงการ MIT ปี 2537 ที่กำหนดให้พื้นที่รังสิต- คลองหลวงนี้ เป็นพื้นที่พัฒนาต่อเนื่องกับการพัฒนาของ กทม. ซึ่งจะส่งผลให้มีการพัฒนาเทศบาลนี้จะเป็นพื้นที่ สำหรับการอยู่อาศัย และการพาณิชย์ เนื่องจากนโยบายเรื่องผู้ว่าบูรณาการ (ซีอีโอ) จังหวัดภาคกลางตอนบน 4 จังหวัดได้แก่ อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรีและอ่างทอง ได้ประชุมทำแผนงานแบบบูรณการของทั้งสี่จังหวัด ได้ผู้ว่าราชการจังหวัดแถลงแนวทางเมื่อปลายเดือน ตค.ที่ผ่านมา เรื่องการทำพื้นที่ทั้ง 4 จังหวัดเป็นแหล่งท่องเที่ยว (ต้องติดตามหาข้อมูลเรื่องการกำหนดแผนพัฒนาตามวิสัยทัศน์ ผู้ว่าฯใน 4 จังหวัดภาคกลางต้นบน) เรื่องที่จะมีผลต่อการพัฒนาพื้นที่ศึกษา ได้แก่ การสร้างศูนย์ราชการใหม่ ถ้ารัฐบาลตกลงเลือกพื้นที่ในจังหวัดนครนายก จะมีผลต่อการวางบทบาทและการทำแผนพัฒนาเทศบาลเมืองรังสิต ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้มาแล้ว คือ 1. ได้รวบรวมหนังสือของเอไอที (ยืมจาก urban planning) มาศึกษา พบว่าเป็นข้อมูลระหว่างปี 2537-2543 จากข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่มีผลการวิเคราะห์ภาพรวมของศักยภาพพื้นที่เหล่านี้ พบข้อมูลของ อบต.บึงยี่โถ แห่งเดียว จากทั้งหมด 5 อบต.ที่อยู่รอบๆ เทศบาลเมืองรังสิต ผลจากการเชิญองค์กรปกครองท้องถิ่นรอบๆ มาหารือวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมสภาเทศบาลเมืองรังสิต ได้รับทราบถึงความต้องการที่จะให้เทศบาลเมืองรังสิตเป็นแกนนำในการทำโครงการพัฒนาต่างๆ แก้ไขปัญหาการจราจร และแก้ไขปัญหาขยะชุมชน ซึ่งทางโครงการได้ประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการทำแผนฯ ต่อไป
2. เรื่องที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ในขณะนี้ รัฐบาลยังจัดการเรื่องการบริหารบุคคลและ การถ่ายโอนงาน และเงินไม่ได้ตามเป้าหมาย ที่วางแผนไว้ การปฎิรูปการศึกษา ก็ยังไม่มีเกิดผลที่ความคืบหน้า เนื่องจากเขตการศึกษา 175 เขต กำลังดำเนินการ ปัญหาครูกับบัญชีเงินเดือน สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่จะต้องติดตาม โดยส่วนตัวเสนอว่า เทศบาลเมืองรังสิตควรมี โรงเรียนของเทศบาล ที่จะกำหนดหลักสูตรท้องถิ่นให้การศึกษาที่เหมาะสมกับประชากรในอนาคต คือว่าถ้าวางแผนพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ควรมีหลักสูตรสอนภาษาต่างประเทศ การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการเตรียมคนให้ออกมารองรับงานในอนาคต เป็นต้น (ข้อมูลเพิ่มเติม ดูจากซีดี เรื่องคู่มือการกระจายอำนาจ) ทั้งนี้การปรับคณะรัฐมนตรีในวาระกันใกล้นี้ (ภายในเดือนพฤศจิกายน 46) จะมีหน่วยงานสำคัญที่เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะต้องดูผลที่เกิดขึ้นต่อไป
สำหรับการถ่ายโอนงบประมาณ 35% ในปี 2549 ให้ท้องถิ่น ในขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอน ดังนั้น การสร้างรายได้จากแหล่งอื่นๆ จึงต้องคำนึงถึง ในขณะนี้ กำลังมีการศึกษาถึงการเก็บภาษีทรัพย์สิน โดยยกเลิกภาษีโรงเรือน เก็บจากภาษีที่ดินและบ้าน ซึ่งคำนวณเก็บตามขนาดพื้นที่ใช้สอย ทั้งนี้รัฐบาลจะให้ท้องถิ่นเก็บเป็นรายได้เข้าท้องถิ่นเอง (ถือเป็นรายได้ส่วนที่เป็น 35%ที่รัฐต้องถ่ายโอนด้วย) รายงานสรุปผลเป็นทางการยังไม่มีคาดว่า ปี 2547 จะประกาศใช้เป็นกฎหมาย (พรบ.ภาษี..................) ซึ่งต้องติดตามต่อไป การเก็บภาษีให้ทั่วถึงเป็นวิธีหนึ่งที่ทางเทศบาลหลายแห่งสร้างแหล่งรายได้เพิ่มให้เทศบาล การปรับโครงสร้างการทำงานบางอย่าง เช่น การลดขั้นตอนการทำเอกสาร การปรับปรุงวิธีการจัดเก็บ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เทศบาลตำบลบ้านพรุ จ.สงขลา ใช้ระบบ one stop service เพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้เก็บค่าบำรุงการเก็บขยะบ้านละ 120 บาท เป็นรายปีได้ทั่วถึง เทศบาลนครระยองใช้การทำความเข้าใจกับประชาชน และปรับปรุงวิธีการเก็บภาษีให้ครอบคลุมมากขึ้น สร้างรายได้เพิ่มให้เทศบาลได้หลายเท่าตัว โดยไม่ได้เพิ่มอัตราภาษี เป็นต้น
3. เรื่องการวางผังเมือง ที่ผ่านมาการทำผังเมืองรวมในพื้นที่เทศบาลเมืองรังสิตยังไม่ได้นำมาใช้เพราะเป็นการวางผังเมือง ร่วมกับคลองหลวง การศึกษาเรื่องนี้กำหนดให้ลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน โดย อ.วิชัยจะนำนักศึกษา ป.ตรี ธรรมศาสตร์ มาทำการศึกษาเชิงปฏิบัติการ ในภาคเรียนนี้ 4. เรื่องสิ่งแวดล้อม ข้อมูลที่ได้เป็นกรอบการวางแผนสิ่งแวดล้อม สรุปได้ว่า มีการวางนโยบายระดับชาติไว้แล้ว แต่การนำมาปฏิบัติในพื้นที่ยังไม่เห็นรูปธรรมนัก ภาพรวมเอกสารคุณวันเพ็ญได้ประสาน อ.โสภารัตน์ ให้ศึกษาเอกสารที่ได้มาแล้ว ทั้งนี้ในเบื้องต้น ปัญหาที่ต้องคำนึง คือ ปัญหาการจราจรติดขัด มลพิษจากการเดินทาง น้ำเสีย และขยะชุมชน เป็นเรื่องที่เทศบาลมีอำนาจจัดการได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้หาข้อมูลได้ จากซีดี คู่มือการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโดย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย การวางแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมมีหัวใจสำคัญที่ การร่วมมือจากประชาชน ต้องมีการสร้างและกระตุ้นให้เกิดสำนึกในการเป็นเจ้าของ ต้องให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพทุกโครงการ เพื่อส่งเสริมการทำงานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม 5. ข้อมูลชุมชน พบว่า ชุมชนทั้ง 45 แห่งมีรูปแบบที่หลากหลาย คุณวันเพ็ญได้ให้ตารางสรุปข้อมูลชุมชนกับทางผู้ประสานงานเทศบาล (คุณนันทยา ได้มอบให้ผอ.กองสวัสดิการดำเนินการอยู่ในขณะนี้ยังไม่เสร็จ) จากสอบถามเจ้าหน้าที่และความเห็นจากสมาชิกสภาเทศบาล ได้ทราบว่านายกเทศมนตรีเป็นบุคคลที่ทำงานร่วมกับชาวบ้านได้ดี ที่ผ่านมาได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีมาสองสมัย ตั้งแต่ยังมีฐานะเป็นสุขาภิบาลประชาธิปัตย์ การประชุมแกนนำชาวบ้านเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมมากถึง 100 คน มีการระดมความเห็นเพิ่มเติมจากแบบสำรวจที่ได้แจกไป ปัญหาหลักๆ ที่พบจะเป็นเรื่องถนนชำรุด สะพานข้ามคลองเพื่อเข้าชุมชน ติดไฟสาธารณะ เป็นต้น 6. ข้อมูลการศึกษา เนื่องจากการกระจายอำนาจในการจัดการศึกษายังมีความแน่นอน เรื่องการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษา 175 เขต กำลังปรับเปลี่ยนอยู่ หากพิจารณาตามกฎหมายการกระจายอำนาจ จะเห็นได้ว่าเทศบาลจะมีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาในรูปแบบต่างๆให้เหมาะกับความต้องการของประชาชนได้ เช่น การจัดการศึกษาหลักสูตรท้องถิ่น (กำหนดให้มีการจัดการศึกษาท้องถิ่น เป็นสัดส่วน ร้อยละ 30 ของเวลาเรียน การถ่ายโอนศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนประถมศึกษา แม้เป็นภารกิจที่ยังไม่ชัดเจนทั้งเรื่องงาน เงิน และคน แต่รัฐบาลต้องมีการถ่ายโอนให้เทศบาลจัดการในอนาคตอย่างแน่นอน คุณวันเพ็ญ ค้นหาหนังสือด้านการศึกษาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพรวมของปัญหาการศึกษาที่ผ่านมา และแนวโน้มการจัดการศึกษาอย่างมีส่วนร่วม ที่ไม่ถ่ายเอกสารมาเพราะต้องการให้ ดร.วรวุฒิได้พิจารณาถึงความจำเป็นก่อน
ข้อเสนออื่นๆ เกี่ยวกับการทำแผน ฯ 20 ปีเทศบาลเมือรังสิต ? ควรมีการเชิญหน่วยงานอื่นๆ มาร่วมรับทราบและให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น สิ่งแวดล้อมภาค 6 การประปา การไฟฟ้า กรมทางหลวง โรงพยาบาล และ ผอ.โรงเรียน ฯลฯ ? ควรมีการพัฒนาทีมงานชุดหนึ่งให้มีความรู้ สร้างคุ้นเคยและให้อยู่ในพื้นที่ต่างๆ โดยอาจใช้อาสาสมัครจากชุมชนหรือ เจ้าหน้าที่เทศบาล เพื่อช่วยเป็นสื่อในการให้ข้อมูลและรับข้อมูลจากโครงการตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งทีมงานนี้จะช่วยให้การเก็บข้อมูลทำได้มีคุณภาพมากขึ้น ในระยะยาวจะทำให้ประชาชนเกิดการมีส่วนร่วมกับเทศบาลมากขึ้น
|