เป้าประสงค์ในการจัดการกากกัมมันตรังสี
- พิทักษ์สุขภาพมนุษย์
- พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
- ป้องกันผลกระทบทางรังสีต่อประเทศเพื่อนบ้าน
- พิทักษ์มนุษยชาติในอนาคต
- ไม่ผลักภาระให้อนุชนรุ่นหลัง
- จัดองค์กรและกฎหมายให้ชัดเจน
- จัดให้มีสหสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ก่อกากกัมมันตรังสี และผู้เก็บกากกัมมันตรังสี
- เตรียมสถานที่จัดการกากกัมมันตรังสีให้ปลอดภัย
มาตรการของประเทศสำหรับการจัดการกากกัมมันตรังสี
ประเทศต่าง ๆ ที่มีกากกัมมันตรังสีเกิดขึ้นจะต้องกำหนดแผนนโยบายระดับชาติและกลยุทธ์ที่
เหมาะสมในการจัดการกากกัมมันตรังสีของตน มาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย
- ผู้ใช้สารรังสีและเทคโนโลยีนิวเคลียร์จะต้องขออนุญาตมีไว้ในครอบครองและใช้สารกัมมันตรังสี
พลังงานปรมาณูและวัสดุพลอยได้จากหน่วยงานเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และจะต้องรับผิดชอบสำหรับการ
จัดการกากกัมมันตรังสีรายย่อยอาจจะขอให้หน่วยงานกลางจัดการกากกัมมันตรังสีแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ
แทนก็ได้
- ประเทศต่าง ๆ จะต้องจัดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสี
อย่างถาวรของตนเอง
- ต้องจัดให้มีหน่วยงานทางกฎหมายรับผิดชอบด้านการกำหนดกฎ ระเบียบ และการควบคุมการ
ดำเนินการและจดทะเบียนสถานที่ รวมถึงสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสี และสถานที่บำบัดกากกัมมันตรังสีด้วย
ขั้นตอนการจัดการกากกัมมันตรังสี ประกอบด้วย
- การรวบรวมกากกัมมันตรังสี
- การคัดแยก
- การจำแนกประเภทกากกัมมันตรังสี
- การบำบัดกากกัมมันตรังสี
- การแปรสภาพกากกัมมันตรังสี
- การขนส่งและการขนย้ายกากกัมมันตรังสี
- การเก็บรักษากากกัมมันตรังสี
- การถ่ายทิ้งกากกัมมันตรังสีโดยถาวร
ขั้นตอนการดำเนินการจัดการกากกัมมันตรังสี
การบำบัดกากกัมมันตรังสี
การบำบัดกากกัมมันตรังสี มีกรรมวีธีต่าง ๆ กัน ในกรณีของอของแข็ง อาจใช้วิธีการบีบอัดกาก-
กัมมันตรังสีให้มีปริมาตรเล็กลง และการเผากากกัมมันตรังสีเพื่อทำลายขยะส่วนที่ลุกไหม้ได้ทิ้งไป
ในกรณีของของเหลว อาจใช้วิธีการต้นกลั่น หรือการตกตะกอนทางเคมี เป็นต้น
การแปรสภาพกากกัมมันตรังสี
การแปรสภาพกากกัมมันตรังสีนั้นเป็นการนำกากกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วมาผสมและตรึง
ให้ติดแน่นกับเนื้อสารที่มีความคงทนต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ แล้วทำให้เป็นทรงกระบอกหรือ
ลูกบาศก์และอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับภาชนะบรรจุที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์กากกัมมันตรังสีที่ได้ มีความ
ต้านทานต่อแรงกด/อัด (Compressive strength) ไม่ติดไฟ ไม่ละลายในน้ำ และไม่เสื่อมคุณสมบัติรวดเร็ว
วัสดุเนื้อสารที่คงทนนั้นได้แก่ ปูนซีเมนต์ ยางมะตอย พลาสติก เนื้อแก้ว หรือเซรามิก
การเก็บรักษา (ชั่วคราว)
ขั้นตอนหลังจากการแปรสภาพกากกัมมันตรังสี ให้อยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์กากกัมมันตรังสีแล้ว
ก็คือการเก็บรักษา (ชั่วคราว) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะทอดเวลาให้ผลิตภัณฑ์กากกัมมันตรังสีนั้นคลายความร้อน
ในตัวลง และหรือรอเวลาสำหรับการจัดสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสีโดยถาวร
การทิ้งกากกัมมันตรังสีโดยถาวร
คือการดำเนินการที่จะแยกผลิตภัณฑ์กากกัมมันตรังสีให้ออกจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ และเพื่อ
พิทักษ์มนุษยชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคตโดยไม่ผลักภาระให้แก่อนุชนรุ่นหลัง
การดำเนินการดังกล่าวจะมีหลักการพื้นฐาน 2 ประการ คือ
ก. การผนึกสารกัมมันตรังสีไว้ในเนื้อสารที่คงทน บรรจุในภาชนะที่แข็งแรง มีโครงสร้างวิศวกรรม
ที่หนาแน่นปกคลุมและล้อมรอบบริเวณสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสี
ข. ต้องทำการควบคุมและป้องกันมิให้มีการรั่วไหลของกากกัมมันตรังสีออกมาสู่สิ่งแวดล้อมของ
มนุษย์ ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยการเลือกใช้สถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสีในชั้นธรณีลึก และออกแบบสถาน-
ที่ทิ้งกากกัมมันตรังสีให้มั่นคงปลอดภัย รวมทั้งอาจจัดเครื่องป้องกัน เพื่อมิให้รังสีและสารกัมมันตรังสีออกมา
สู่สิ่งแวดล้อมของมนุษย์หรือระบบชีวภาค (Biosphere)
กากกัมมันตรังสีทิ้งที่ไหน
น้ำทิ้งภายหลังการบำบัดกากกัมมันตรังสี
ในการบำบัดกากของเหลวกัมมันตรังสี จะทำให้ได้กากของแข็งกัมมันตรังสีในรูปของกากตะกอน
และ/หรือในรูปของสารแลกเปลี่ยนไอออนซึ่งจะเก็บรวบรวมไว้ทำการแปรสภาพกากกัมมันตรังสีต่อไป ในส่วน
น้ำใสหลังการบำบัดซึ่งอาจจะมีสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนอยู่ในปริมาณน้อยมาก และต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ
"ปลอดพิษ" ก็จะถูกระบายออกสู่สิ่งแวดล้อม
กากกัมมันตรังสีระดับรังสีต่ำและปานกลาง
ภายหลังจากการปรับสภาพโดยผนึกในเนื้อคอนกรีตหรือในยางมะตอยแล้ว กากกัมมันตรังสีจะถูก
จัดเก็บไว้ในโรงเก็บกากกัมมันตรังสีชั่วคราวและหลังจากนั้นใช้วิธีทิ้งกากกัมมันตรังสีแบบฝังดินตื้น (near
surface disposal) ทั้งนี้ เนื่องจากกากกัมมันตรังสีเหล่านี้มีครึ่งชีวิตสั้นและมีระดับรังสีต่ำและปานกลาง
ดังนั้นช่วงเวลาที่จะต้องแยกห่างจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์จึงไม่ยาวนานนัก สารกัมมันตรังสีเหล่านั้นก็จะ
สลายตัวหมดสภาพไป (เป็นระยะเวลาประมาณ 200-300 ปี)
การป้องกันกากกัมมันตรังสีมิให้กลับสู่สิ่งแวดล้อมของมนุษย์
การเลือกพื้นที่สำหรับเป็นสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสีแบบฝังดินตื้น ต้องอยู่ในเกณฑ์ต่อไปนี้คือ
สถานที่มีสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมและไม่เป็นที่ลุ่ม ไม่มีปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม ไม่มีประวัติการเกิด
แผ่นดินไหว มีสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกน้อย ไม่เคยเกิดกรณีลมพายุ และมีระดับน้ำใต้ดินลึก (มากกว่า 10
เมตร) เป็นต้น
กากกัมมันตรังสีระดับรังสีสูงและเชื้อเพลิงใช้แล้ว
กากกัมมันตรังสีเหล่านี้มีระดับรังสีสูงและบางส่วนมีครึ่งชีวิต
ยาวมาก ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีทิ้งให้อยู่ห่างจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ให้
มากที่สุดและเป็นเวลาที่ยาวนาน
การผนึกกากกัมมันตรังสีกระทำโดยใช้ผนึกเป็นแก้วหรือ
เซรามิกซึ่งคงทนต่อความร้อนและรังสีดีกว่าปูนซีเมนต์หรือยางมะตอย
การจัดสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสี จะใช้วิธีขุดอุโมงค์ฝังในชั้นธรณีวิทยา
ที่ลึกและยั่งยืน (stable geologic formation) กล่าวคือไม่มีปัญหาจาก
แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดหรือแม้แต่วินาศภัยจากการจารกรรมใด ๆ
ทั้งสิ้น มีชั้นธรณีลึกที่เหมาะรวมถึงชั้นของหินอัคนี ชั้นของหินตะกอนหรือหินแปร เป็นต้น
ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ของสถานที่ทิ้งกากกัมมันตรังสีในชั้นธรณีลึกหลายแห่ง อาทิการ
ศึกษาในชั้นหินตะกอนที่ Mol ประเทศเบลเยียม การศึกษาในชั้นเกลือหิน (salt rock formation) ที่ Asse
ประเทศเยอรมนี และการศึกษาในชั้นหินอัคนีที่ประเทศสวีเดนและประเทศสหรัฐอเมริกา ในความคิดเห็นของ
นักวิชาการเชื่อว่าชั้นธรณีลึกเหล่านั้นมีสภาพเหมาะสมที่จะใช้เป็นที่ทิ้งกากกัมมันรังสีอย่างถาวรได้ดีทั้งสิ้น
การสร้างความเข้าใจต่อประชาชน
จากการวิจัยสังคมวิทยาในประเทศต่าง ๆ พบว่า สาเหตุที่ประชาชนทั่วไปมีความหวาดกลัวกาก
กัมมันตรังสี เพราะกลัวอันตรายจากรังสีและขาดความรู้ความเข้าใจว่า "กากกัมมันตรังสีคืออะไร" "มนุษย์
สามารถจัดการกากกัมมันตรังสีได้อย่างไร" และ "สารกัมมันตรังสีมีคุณสมบัติอย่างไรในธรรมชาติ" จึงเป็น
เหตุให้มีความเชื่อว่ากากกัมมันตรังสีก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายสูงมาก ความเชื่อดังกล่าวต่างจากข้อเท็จ-
จริงทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประเมินค่าความเสี่ยงอันตรายโดยการคำนวณค่าอันตรายจากรังสี กรรมวิธีการ
บำบัดกากกัมมันตรังสี การแปรสภาพกากกัมมันตรังสี การขนย้ายและการขนส่งภายใต้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด
และการจัดเก็บกากกัมมันตรังสี ให้แยกห่างจากสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ และพบว่าความเสี่ยงอันตรายจาก
กากกัมมันตรังสีนั้นแท้จริงมีค่าต่ำมาก
โดยเหตุที่โลกเป็นสมบัติของมนุษย์และประเทศชาติเป็นสมบัติของประชาชน ดังนั้นแม้ว่าใน
วงการนักวิชาการกากกัมมันตรังสี มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีดังที่ได้กล่าวแล้ว ดำเนินการ
จัดการกากกัมมันตรังสีให้มีความปลอดภัยต่อมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต แต่ก็ยอมรับว่าประชาชน
ของประเทศนั้น ๆ และชาวโลกโดยรวมเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่จะต้ดสินใจว่าจะเชื่อถือหรือยินยอมพร้อมใจให้
ดำเนินการต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของประชาชนจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจที่
ถูกต้อง มิใช่ถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวหรือความไม่รู้จริง