รังสีในทางการแพทย์
	เวชศาสตร์นิวเคลียร์ คือ การนำเอาสารกัมมันตรังสีมาใช้ในการตรวจ การรักษาและศึกษาการทำงาน
ของระบบอวัยวะในร่างกายเพื่อช่วยในการตรวจวิเคราะห์หาสมุฏฐานหรือรักษาอาการโรค บรรเทาความทุกข์
ทรมานของผู้ป่วยและร่นระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล ตัวอย่างบางส่วนของการใช้สารรังสีด้านการแพทย์ 
เช่น
- ลวดแทนทาลัม -182 ในการรักษามะเร็งปากมดลูก
- ไอโอดีน -131 ใช้ตรวจ วินิจฉัย และรักษาโรคคอพอก
- คริปทอน -81m ตรวจการทำงานของหัวใจ
- การรักษามะเร็งในระดับตื้นของร่างกาย ด้วยโปรตอน
- การรักษามะเร็งและเนื้องอกในส่วนลึกของร่างกายด้วยนิวตรอน
	การนำรังสีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์ เป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์เอาพลังงาน
ปรมาณูมาใช้ในทางสันติ เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกคิดค้นและปรับปรุงขึ้นมาใช้มากมายเพื่อช่วยเหลือแพทย์ให้
สามารถดำเนินการวิจัยและรักษาโรคได้รวดเร็ว ถูกต้อง และดียิ่งขึ้น สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้มากยิ่งขึ้น 
ประโยชน์ในการใช้งานของรังสีทางการแพทย์ มีด้วยกันหลายด้านดังต่อไปนี้
1. ด้านการตรวจและวินิจฉัย (Diagnosis) 
	รังสีวินิจฉัย คือ การใช้รังสีจากต้นกำเนิดรังสีนอกร่างกาย ฉายเข้าสู่ร่างกายในเวลาสั้น ๆ เพียงพอ
ที่จะทำการตรวจวินิจฉัยอวัยวะเฉพาะส่วน กรรมวิธีและอุปกรณ์การใช้งานในงานรังสีวินิจฉัย มีอาทิ เครื่อง
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เครื่องเอกซเรย์ตรวจหลอดเลือด เครื่องเอกซเรย์ชนิดแสดงภาพบนจอ เครื่องเอกซเรย์
ถ่ายภาพทั่วไป เครื่องเอกซเรย์ถ่ายภาพฟัน และเครื่องถ่ายภาพด้วยสนามแม่เหล็ก (magnetic resonance 
imaging) เป็นต้น
	ก่อนเริ่มทำการรักษาแพทย์จะต้องทำการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร โดยอาศัยอาการทางคลีนิค
ร่วมกับการแปลผลการตรวจสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในบางกรณีจำเป็นต้องอาศัยการตรวจและวินิจฉัย
ทางรังสีร่วมด้วย ซึ่งสามารถแบ่งการใช้ประโยชน์จากรังสีเพื่อการตรวจและวินิจฉัยได้เป็นสองพวก คือ
	การตรวจวัดปริมาณสารที่ต้องการจะทราบ ได้แก่ การนำสิ่งส่งตรวจ เช่น เลือด หรือของเหลวต่าง ๆ 
จากร่างกาย มาตรวจวัดโดยใช้ประโยชน์จากสารรังสีด้วยเทคนิคที่เรียกว่า RIA วิธีนี้จัดเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ
และมีความไวมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถตรวจวัดสารที่มีปริมาณน้อย ๆ ในร่างกายได้ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ 
ยา ตัวอย่างเช่น การใช้ไอโอดีน -125 ในการตรวจวัดเพื่อช่วยวินิจฉัยแยกชนิดของโรคคอพอกและตรวจดูการ
ทำงานของต่อมธัยรอยด์รวมไปถึงใช้ติดตามผลการรักษาด้วย
การตรวจโดยวิธี RIA การตรวจโดยวิธี RIA
การตรวจและวินิจฉัยโดยอาศัยสารประกอบกัมมันตรังสีที่สามารถนำมาใช้กับร่างกายมนุษย์หรือ สัตว์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการวินิจฉัยหรือรักษาโรค (Radiopharmaceuticals) เช่น ใช้ตรวจดูการทำงานของ อวัยวะหรือหาบริเวณที่เกิดโรค กระทำโดยการรับประทานหรือฉีดสารกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตสั้น ๆ เข้าไปใน ร่างกาย แล้วทำการตรวจวัดการขับหรือหลั่งสารกัมมันตรังสีนั้นด้วยการเก็บตัวอย่างของเหลวในร่างกายมาตรวจ การถ่ายภาพทางการแพทย์โดยรังสี ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป คือ ภายในร่างกายหรือตรวจหาสิ่งผิดปกติที่ เกิดขึ้น เช่น การเอกซเรย์ปอดและกระดูก เป็นต้น ปัจจุบันมีวิวัฒนาการไปเป็น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography หรือ CTSCAN) โดย อาศัยเครื่องวัดจำนวนรังสีเมื่อผ่านคนไข้จะแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วเอามาสร้างรูป Tomography คือ การถ่ายภาพเอกซเรย์ ให้เห็นชัดเฉพาะในระนาบที่ต้องการดู เพียงระนาบเดียว
ภาพถ่ายมะเร็งที่สมองด้วยเครื่อง CT ภาพถ่ายมะเร็งที่สมองด้วยเครื่อง CT
เทคนิคการถ่ายภาพอวัยวะภายในร่างกายที่ทันสมัย PET = Positron Emission Tomography SPECT = Single Photon Emission Computed Tomography การตรวจด้วยเครื่องมือแสดงภาพอวัยวะที่แสดงให้เห็นทั่วโครงสร้างและการทำงานของอวัยวะแต่- ละระบบ วิธีนี้ เรียกว่า Organ imaging หรือ Scintigraphy ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ได้รู้ถึงบริเวณที่แน่นอนของ อวัยวะที่เสียหน้าที่ไป นำไปสู่การหาแนวทางรักษาคนไข้และใช้ติดตามประเมินผลของการรักษาทางยาและการ ผ่าตัดได้ ตัวอย่างของสารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้งานด้วยวิธีนี้ ได้แก่ : เทคนิเชียม -99 เอ็ม (Technitium -99m) ใช้ตรวจการทำงานของอวัยวะในระบบต่าง ๆ เช่น ตับ ธัยรอยด์ กระดูก สมอง ปอด ม้าม ไขกระดูก ไตและหัวใจ เป็นต้น : แทลเลียม -201 (Thallium -201) ใช้มากในการตรวจกล้ามเนื้อหัวใจ : ไอโอดีน -131 และไอโอดีน -123 (Iodine -131 ,Iodine -123) ใช้ตรวจหาความผิดปกติของต่อม ธัยรอยด์และใช้ติดตามผลการรักษา : แกลเลียม -67 (Gallium -67) ใช้ตรวจการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง เช่นมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง ตรวจการอักเสบต่าง ๆ ที่เป็นหนองอยู่ในช่องท้องที่ไม่สามารถแยกได้ด้วยการเอกซเรย์ธรรมดา
การตรวจการทำงานของไต โดยใช้รังสี การตรวจการทำงานของไต โดยใช้รังสี
นอกจากนี้ยังสามารถใช้รังสีหรือสารกัมมันตรังสีเพื่อการศึกษาการทำงานของอวัยวะและร่างกายใน สภาวะปกติ หรือใช้เพื่อการตรวจวัดสารในร่างกายที่มีปริมาณน้อย ๆ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการนำไปเป็น แนวทางในการตรวจรักษาคนไข้ การป้องกันโรคหรือการใช้บริการทางสาธารณสุขต่อไป
2. ด้านการบำบัดรักษา (Radiotherapy) รังสีรักษา คือ การใช้รังสีจากต้นกำเนิดรังสีชนิดต่าง ๆ รักษาผู้ป่วย (โรคมะเร็ง) โดยแบ่งเป็น 2 วิธี คือ ก. การใช้ต้นกำเนิดรังสีจากระยะไกล (teletherapy) โดยใช้ต้นกำเนิดรังสีที่มีความแรงรังสีสูง และ อยู่ภายนอกร่างกายผู้ป่วย อาทิเช่น เครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอน เครื่องโคบอลต์ -60 เครื่องเอกซเรย์ชนิดลึก และ เครื่องเอกซเรย์ชนิดตื้น เป็นต้น ข. การใช้ต้นกำเนิดรังสี สอดใส่ หรือฝัง เข้าไปยังตำแหน่งที่มีรอยโรคอยู่ (brachytherapy) ต้น กำเนิดรังสีที่ใช้มีขนาดเล็ก เหมาะที่จะสอดใส่เข้าไปในช่องเปิดของร่างกายหรือผ่าตัดเข้าไปในก้อนมะเร็งอาทิ เช่น เรเดียม -226 ชนิดเข็มหรือแท่งเล็ก ๆ ,โคบอลต์ -60 ชนิดเม็ด ,ซีเซียม -137 ชนิดเม็ด ,อิริเดียม -192 ชนิด เข็มหรือแท่ง และทองคำ -198 ชนิดเม็ด เป็นต้น การรักษาโรคบางชนิดนอกจากจะใช้ยาหรือสารเคมี (Chemotherapy) และการผ่าตัดแล้ว การใช้ สารกัมมันตรังสีอาจเข้ามามีบทบาทร่วมด้วย เช่น การรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งมีทั้งการฉายรังสีและการใช้สารกัมมัน- ตรังสีเป็นยารักษาโรค เช่น ไอโอดีน -131 ใช้รักษามะเร็งของต่อมธัยรอยด์ อิตเทรียม -90 ,ทอง -198 ใช้รักษา มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ สทรอนเชียม -90 ชนิด Plaques นำมาใช้กับการรักษาเนื้อเยื่อระดับผิว ฟอสฟอรัส -32 ชนิด solution ใช้รักษาภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงมากเกินไปและมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง เป็นต้น BNCT เป็นการรักษาโรคมะเร็งในสมอง ด้วย B -10 ซึ่งเป็นไอโซโทปเสถียร (stable isotope) และ อนุภาคนิวตรอน โดยการฉีดยาที่มีโบรอน -10 เป็นองค์ประกอบและยานี้มีคุณสมบัติที่จะจับเฉพาะกับเซลล์ มะเร็งเท่านั้น การให้ยาแก่คนไข้ เมื่อยากระจายตัวถึงอวัยวะเป้าหมายแล้วจึงยิงด้วยอนุภาคนิวตรอนไปยัง โบรอน -10 ที่อวัยวะเป้าหมายซึ่งจะทำปฏิกิริยากับนิวตรอน แล้วให้อนุภาคอัลฟา (α) ออกมาทำลายเซลล์ มะเร็งที่อวัยวะเป้าหมายนั้น โดยไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเซลล์ปกติในบริเวณข้างเคียง
3. ด้านการปลอดเชื้อผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Radiosterilization)
เครื่องมือทางการแพทย์
การปลอดเชื้อ หมายถึง การทำให้จุลินทรีย์ไม่ว่าในรูปแบบใดที่อาจมีปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้น ตาย หรือไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้อีก ทางการแพทย์จะถือว่าการปลอดเชื้อมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดย เฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดหรือสัมผัสเนื้อเยื่อในร่างกาย การใช้รังสีแกมมาจากธาตุโคบอลต์ -60 และรังสีจากเครื่องผลิตลำแสงอิเล็กตรอนพลังงานสูงเป็นตัวกลางในขบวนการปลอดเชื้อ เป็นที่ยอมรับอย่าง กว้างขวางทั่วไปถึงความมีประสิทธิภาพในการปลอดเชื้อที่เหนือกว่าวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ก๊าซหรือการอบด้วย ความร้อน เนื่องจากรังสีสามารถใช้ในการปลอดเชื้อได้กับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์หลายชนิด โดยเฉพาะผลิต- ภัณฑ์ที่ไม่ทนความร้อนผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างสลับซับซ้อน และที่อยู่ในภาชนะบรรจุขั้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว โดย วิธีนี้จะช่วยป้องกันการปนเปื้อนที่เกิดจากการบรรจุหีบห่ออย่างได้ผล นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูงต่อผู้ปฏิ- บัติงาน และไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ชนิดของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สามารถนำมาปลอดเชื้อด้วยรังสีแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ ก. เวชภัณฑ์ (Medical devices) คือ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาและใช้ในห้องปฏิบัติ การชันสูตรโรค ได้แก่ เครื่องมือเกือบทุกชนิดที่มีความทนทานต่อรังสีทั้งที่เป็นโลหะและไม่ใช่โลหะ อันได้แก่ ยาง พลาสติก เซลลูโลส แก้ว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตัวอย่างเช่น เครื่องมือและเครื่องแต่งกายในห้อง ผ่าตัด ด้ายไนล่อนและเข็มเย็บแผล เข็มกระบอกฉีดยาพลาสติก ถุงมือยาง สายสวนชนิดต่าง ๆ ชุดให้เลือด สำลี ผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ปิดแผล ภาชนะบรรจุยาและสิ่งส่งตรวจ กระดาษกรอง และเครื่องใช้พลาสติกในห้อง ปฏิบัติการ เภสัชภัณฑ์ ข. เภสัชภัณฑ์ (Pharmaceutical products) คือ ผลิตภัณฑ์ ทางเภสัชกรรมที่ต้องการให้อยู่ในรูปปลอดเชื้อ ได้แก่ ยา สารละลาย สำหรับฉีด เช่น ยาปฏิชีวนะ วิตามิน สเตียรอยด์ ฮอร์โมน น้ำเกลือ สาร ป้องกันการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น ยาใช้เฉพาะที่ เช่น ยาหยอดตา สารที่ใช้ช่วยในการวินิจฉัยโรค (diagnostic aid)รวมไปถึงสารอื่น ๆ ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยา นอกจากนี้ยาเตรียมชนิดอื่น เช่น ยารับประทาน ยาสมุนไพร และวัตถุดิบ ที่ใช้ในการเตรียมยาที่ไม่จำเป็นต้องทำให้ปราศจากเชื้อ แต่สามารถมีจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อโรคปนอยู่ได้ไม่เกินจำนวน ที่กำหนด สามารถใช้รังสีในการพาสเจอไรซ์ หรือลดจำนวนจุลินทรีย์ลงมาได้ ค. เนื้อเยื่อ (Biological tissue) ได้แก่เนื้อเยื่อจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ใช้สำหรับการรักษาบาด แผลที่เกิดจากความร้อนและการปลูกถ่ายอวัยวะตัวอย่าง เช่น กระดูก แผ่นเอ็นโคนขา เยื่อหุ้มสมอง กระดูกหู ชั้นกลาง ถุงน้ำคร่ำ และผิวหนัง เป็นต้น การใช้รังสีเพื่อการปลอดเชื้อในเนื้อเยื่อเหล่านี้ จะช่วยให้แพทย์มีเนื้อ- เยื่อพอเพียงในการรักษาและมีความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
4. การใช้รังสีในการเตรียมวัคซีนและแอนติเจน การเตรียมวัคซีนมีสองชนิด คือ - killed vaccine เป็นวัคซีนที่ได้จากจุลินทรีย์ก่อโรคที่ทำให้ตายแล้ว - lived-attenuated vaccine ได้จากจุลินทรีย์ก่อโรคที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกทำให้ความสามารถในการ ทำให้เกิดโรคอ่อนกำลังลง เมื่อฉีดเข้าร่างกายก็จะสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่อสิ่งมีชีวิตนั้นได้ ซึ่งวัคซีนประเภทหลังจะมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดีกว่าวัคซีนประเภทแรก ปัจจุบัน formalin และ beta-propriolactone เป็นสารที่นิยมใช้ในการผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรม แต่สารสองตัวนี้มีคุณสมบัติบางอย่างที่สามารถชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้ การนำ รังสีมาใช้เพื่อการผลิตวัคซีนชนิด lived-attenuated vaccine และการใช้รังสีเพื่อลดการปนเปื้อนหรือเพื่อการ ปลอดเชื้อโดยยังคงคุณสมบัติของวัคซีนเอาไว้จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยอย่างหนึ่ง วัคซีนที่เตรียมโดยใช้รังสี บางชนิดได้ผลิตออกจำหน่ายเป็นการค้า ตัวอย่างของวัคซีนที่ผลิตโดยการฉายรรังสี มีดังนี้ - Viral vaccine เป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคติดเชื้อที่เกิดจากจุลินทรีย์ประเภทไวรัส - Bacterial vaccine และ antitoxin เป็นวัคซีนป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Typhoid vaccine,Antipertussis vacine (วัคซีนป้องกันโรคไอกรน), Antitetanus serum (ใช้ป้องกันโรคบาดทะยัก) เป็นต้น - Larval vaccine หรือวัคซีนต่อต้านโรคพยาธิ เป็นวัคซีนต่อต้านโรคพยาธิ เป็นวัคซีนที่ประสบ ความสำเร็จมากที่สุดในวัคซีนที่เตรียมโดยการฉายรังสี ถึงระดับผลิตออกจำหน่ายเป็นการค้าได้ ส่วนมากจะเป็น วัคซีนที่ใช้กับสัตว์เลี้ยง เช่น Lerval vaccine ป้องกันโรคพยาธิในปอด ใช้กับสัตว์ประเภท วัว ควาย เป็นต้น - Venom หรือพิษที่เกิดจากแมลงที่มีพิษร้ายสามารถฉายรังสีเพื่อลดความเป็นพิษและขจัดการปน เปื้อนจากจุลินทรีย์แต่ยังคงคุณสมบัติในการแก้พิษไว้ได้ เช่น พิษจากงูเห่า (cobra venom) พิษจากงูกะปะ (rattle snake venom) เป็นต้น
5. ใช้รังสีหยุดยั้งการเติบโตของเม็ดเลือดขาวเพื่อป้องกัน Graft versus host disease Graft versus host disease (GVHD) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยอย่างหนึ่ง เกิดเนื่องจาก ภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถเข้ากันได้กับสิ่งแปลกปลอม เช่น เลือด ไขกระดูก หรืออวัยวะ ร่างกาย จึงมีการปฏิเสธไม่ยอมรับสิ่งแปลกปลอมนั้นอย่างรุนแรง พบบ่อยภายหลังการปลูกถ่ายไขกระดูก และ การใช้เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด ตัวอย่างเช่น เม็ดเลือดแดงอัดแน่น เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และพลาส- มาสด สาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิด GVHD คือเม็ดเลือดขาวชนิด T-lymphocyte ซึ่งสามารถดำรงชีวิต และ เติบโตได้ในผลิตภัณฑ์เลือดที่เก็บรักษาไว้ที่ 4 องศาเซลเซียส ในปัจจุบันการรักษา GVHD ทำได้ยากและยังให้ ผลไม่เป็นที่พอใจนัก เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยยังคงสูงมาก ทางเลือกที่ดีกว่าจึงเป็นการหาทาง ป้องกันไม่ให้ GVHD เกิดขึ้น ซึ่งได้แก่ การลดจำนวนเม็ดเลือดขาวลงโดยใช้เทคนิคทางกายภาพและการยับยั้ง การเจริญของเม็ดเลือดขาว การยับยั้งการเจริญโดยใช้เทคนิคแช่แข็ง (freezing) ใช้ได้กับเม็ดเลือดแดงแต่ไม่ สามารถประยุกต์ใช้กับเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดได้ ดังนั้นการฉายรังสีเพื่อหยุดยั้งการเจริญของเม็ดเลือด ขาวจึงเป็นวิธีการอันหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการลดการเสี่ยงต่อการเกิด GVHD อย่างได้ผลทำให้ผู้ป่วยมี ความปลอดภัยในการรับและถ่ายเลือดมากขึ้น การนำรังสีมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ควบคู่ไปกับวิธีการตรวจและรักษาแบบอื่น อันจะเป็น ประโยชน์ต่อคนไข้ นับว่าเป็นเทคโนโลยีด้านหนึ่งที่มีความสำคัญและมีโอกาสที่จะคิดค้น ปรับปรุงการใช้งาน ให้เป็นที่ยอมรับของแพทย์ในแต่ละสาขาได้มากยิ่งขึ้น
สารรังสีที่แพทย์ให้คนไข้รับประทาน สารรังสีที่เราได้รับจากแพทย์โดยการรับประทานเข้าสู่ร่างกายนั้น จะขับถ่ายออกจากร่างกายได้ จากการขับถ่ายของร่างกายตามปกติ หากผู้ป่วยพักอยู่ที่บ้านสิ่งขับถ่ายที่ปัสสาวะและอุจจาระที่ถ่ายลงส้วม ควรชำระและล้างด้วยน้ำปริมาณมาก ๆ ส่วนเสื้อผ้าที่อาจเปื้อนเหงื่อตามผิวหนัง ก็ควรแยกซัก และซักล้าง ในน้ำสะอาดเที่ยวสุดท้ายด้วยน้ำมากสักหน่อย เท่านี้ก็คงพอเพียงต่อความปลอดภัยของผู้อื่นในครอบครัว แล้ว อีกประการหนึ่งสารรังสีที่ผู้ป่วยได้รับเข้าสู่ร่างกายนั้น นอกจากถูกขับออกจากร่างกายผ่านกระบวนการ ขับถ่ายแล้ว มันยังลดความแรงรังสีลงจากกระบวนการสลายตัวตามธรรมชาติของสารรังสีนั้นด้วย