วิปัสสนากรรมฐาน
การปฏิบัติอบรมจิตให้เกิดศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธศาสนามี
2 อย่าง คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน
สมถกรรมฐานคืออุบายหรือวิธีการปฏิบัติให้เกิดความสงบจิตไม่ฟุ้งซ่านมีจิตเป็นสมาธิมีผลให้ให้จิตสงบเมื่อสงบก็จะสามารถเกิดพลังจิตระงับกิเลสและนิวรณ์
ได้เป็นครั้งคราว เกิดความปิติและสุข มีอารมณ์เป็นหนึ่ง อาจแสดงฤทธิ์ได้ มีญาณสมาบัติเป็นผล
เป็นพื้นฐานในการทำวิปัสสนา
วิปัสสนากรรมฐานคืออุบายหรือวิธีการปฏิบัติให้เกิดปัญญาให้รู้ธรรมดาธรรมชาติของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งปวงที่ไม่เที่ยงและบังคับไม่ได้
อันเป็นทุกข์เป็นทุกข์ของความเกิดซึ่งเกิดกับกายกับจิตคือรูปกับนามมีผลให้ละคลายจากความยึดมั่นในอุปาทานทั้งปวงบรรเทาเบากายจากความทุกข์ใจทุกข์กาย
คำว่า "วิปัสสนากรรมฐาน" แยกออกได้เป็น 4 ศัพท์ คือ
วิ + ปัสสนา + กรรม + ฐาน โดยที่ วิ = แจ้ง ปัสสนา = เห็น ดังนั้น วิปัสสนา จึงแปลว่า
เห็นแจ้ง เป็นชื่อปัญญาอันเกิดจากการปฏิบัติ กล่าวโดยย่อก็คือ เห็นปัจจุบัน เห็นรูป-นาม
เห็นพระไตรลักษณ์ และเห็นมรรค ผล นิพพาน ส่วนคำว่า "กรรมฐาน" นั้น กรรม = การกระทำ
ฐาน = ที่ตั้ง
ดังนั้น กรรมฐานจึงแปลว่า ที่ตั้งแห่งการกระทำ
ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย เพื่อให้เกิดปัญญา ได้บรรลุคุณวิเศษ คือญาน มรรค ผล
นิพพาน วิปัสสนากรรมฐาน นี้มี วิปัสสนาภูมิ 6 เป็นอารมณ์คือ ขันธ์
5 ธาตุ 18 อายตนะ 12 อินทรีย์ 22 อริยสัจ 4 ปฏิจสมุปบาท 12 ซึ่งทั้งหมดนี้
ย่อให้สั้นในแนวปฏิบัติก็ได้แก่ รูปและนาม
การปฏิบัติให้เกิดปัญญาเห็นสัจธรรมตามความเป็นจริง จนสามารถละวางกิเลสได้ เรียกว่า
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นทางให้ผู้ปฏิบัติถึงความพ้นทุกข์อันเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา
เป็นการรู้เห็นจริงในเรื่องกายและจิต ซึ่งเรียกตามภาษาธรรมว่า รูป-นาม ว่ามีลักษณะที่แท้จริงคือ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวเรา ตัวเขา วิปัสสนาจึงต้องอาศัยสติ
พิจารณา รูป-นาม ตามความเป็นจริงดังกล่าว ต้องใช้สติกำหนดรู้ รูป-นาม ให้ทันอารมณ์
ปัจจุบัน จึงจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงได้ เป็นการทำลายความเห็นผิด คือวิปลาสธรรม
ทั้ง 4 อันได้แก่ ความเห็นผิดว่าตนสวยงาม ตนเที่ยง ตนเป็นสุข และเป็นตัวเป็นตน
ให้เกิดปัญญาเห็นถูกต้อง ว่ารูป-นาม ล้วนสกปรก ไม่สวยงาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
ปัญญาที่รู้ถึงความจริงนี้กธจะสามารถให้ละวางกิเลสได้
วิปัสสนา จึงเป็นการรู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริงตามธรรมชาติของ
รูป-นาม เป็นการรู้แจ้ง รู้วิเศษ สัตว์ธรรมดาย่อมไม่รู้ความจริงนี้ เพราะธรรมชาติจะปิดบังความจริง
โดยอุบายทั้ง 4 อันได้แก่ กามราคะ ปิดบังอสุภะ,อิริยาบถ
ปิดบังทุกขัง,สันตติปิดบังอนิจจังและฆนสัญญาปิดบังอนัตตาทำให้สัตว์โลกลุ่มหลงด้วยกิเลสตัณหาและอุปาทานจึงสร้างกรรมเกิดภพเกิดชาติเวียนว่ายในวัฏสงสารโดยไม่สิ้นสุด
จนกระทั่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบวิชาวิปัสสนากรรมฐาน จึงประกาศให้มวลชนปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
ปลดบ่วงคล้องจองจำกิเลสได้ ทรงประกาศว่าเป็นทางสายเอกเป็นทางสายเดียวที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งสัตว์โลกจึงจะทำให้ล่วงพ้นจากความทุกข์โศกพิไรรำพันเสียได้
ชีวิตจะประสบสันติสุขอย่างแท้จริง
การที่จะรู้สัจธรรมที่กล่าวมานี้ ถ้ารู้ด้วยการอ่าน การคิดจะไม่ชัดแจ้ง และไม่สามารถละวางกิเลสได้
ต้องรู้ด้วยการปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จึงจะรู้แจ้ง และจิตจะหลาบจำ เกิดวิชาทำลายความโง่
ด้วยภาวนามยปัญญา จิตจึงจะสามารถละวางกิเลส เข็ดบาป ไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป ผลของวิปัสสนากรรมฐาน
ก็คือ การบรรลุ ญาณ 16 และ วิสุทธิ
7 อันเป็นตัวตัดอนุสัย กิเลสให้หมดสิ้น ไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งจิตโดยสมบูรณ์
ที่เรียกว่า พระนิพพาน
ผู้ปฏิบัติกรรมฐานมี 2 ประเภทคือ
1. สมถนายิกะ คือ ผู้เจริญสมถะล้วนๆ ไปก่อนแล้วจึงจับวิปัสสนาภายหลัง
2. วิปัสสนายานิกะ คือ ผู้เจริญวิปัสสนาคลุกเคล้ากับสมถะไปตั้งแต่ต้น
ตามแบบสติปัฏฐาน 4
[ หน้าหลัก ]