สมเด็จพระสังฆราช (สุก)
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่
๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เลื่องลือพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์
ทรงพระคุณพิเศษในด้านวิปัสสนาธุระจนมีพระฉายานามอันเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชนว่า
"พระสังฆราชไก่เถื่อน"
เพราะทรงสามารถแผ่พรหมวิหารธรรมให้ไก่ป่าเชื่องเป็นไก่บ้านได้
สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ประสูติเมื่อวันศุกร์
ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่
ปีฉลู จุลศักราช ๑๐๙๕ พ.ศ.
๒๒๗๖
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ,
สันนิษฐานกันว่าคงเป็นชาวกรุงเก่า,
ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า
เมื่อครั้งกรุงธนบุรีเป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย
ริมคลองคูจาม (ในพระราชพงศาวดาร
เรียกว่าคลองตะเคียน)
ในแขวงรอบกรุงเก่า
มีพระเกียรติคุณในทางบำเพ็ญสมถภาวนา
ผู้คนนับถือมาก.
ครั้น
พ.ศ. ๒๓๒๕
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์กรุงรัตนโกสินทร์,
เมื่อได้ทรงจัดการข้างฝ่ายอาณาจักรเป็นที่รียบร้อยแล้วก็ได้ทรงพระราชดำริจัดการข้างฝ่ายพุทธจักรเพื่อทำนุบำรุง
พระพุทธศาสนาซึ่งเสื่อมโทรมเศร้าหมองเพราะการจลาจลวุ่นวายในบ้านเมืองจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งพระราชาคณะในตำแหน่งต่างๆ
ตามโบราณราชประเพณีและได้ทรงแสวงหาพระเถระผู้ทรงคุณพิเศษจากที่ต่างๆมาตั้งไว้ในตำแหน่งที่สมควร
เพื่อช่วยรับภาระธุระทางพระพุทธศาสนาสืบไป
และก็ในคราวนี้เองที่ได้ทรง
"โปรดให้นิมนต์พระอาจารย์วัดท่าหอยคลองตะเคียน
แขวงกรุงเก่ามาอยู่วัดพลับให้เป็นพระญาณสังวรเถรพระอาจารย์วัดท่าหอยดังกล่าวนี้ก็คือสมเด็จพระสังฆราช
(สุก) นั้นเอง.สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ได้ทรงเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
แต่ครั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์สุก
วัดท่าหอย กรุงเก่า,
ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว
จึงได้โปรดให้นิมนต์มาอยู่ในกรุงเทพฯ
และทรงตั้งเป็นราชาคณะที่
พระญาณสังวรเถร
ดังกล่าวแล้ว
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระฝ่ายอรัญวาสีนิยมความสงบวิเวก
จึงได้โปรดให้มาอยู่วัดพลับ
อันเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของธนบุรีครั้งนั้น
คู่กับวัดรัชฎาธิษฐานและอยู่ไม่ไกลจากพระนคร,และเพื่อให้สมพระเกียรติที่เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน
จึงได้โปรดฯให้สร้างวัดพระราชทานใหม่ในที่ติดกับวัดพลับนั่นเอง,
เมื่อสร้างพระอารามใหม่เสร็จแล้วก็ได้โปรดฯให้รวมวัดพลับเข้าไว้ในเขตของพระอารามใหม่นั้นด้วย
แต่ยังคงใช่ชื่อว่าวัดพลับดังเดิม,
ต่อมาในรัชกาลที่ ๓
จึงได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า
วัดราชสิทธารามดังที่ปรากฏสืบมาจนบัดนี้,บริเวณอันเป็นวัดพลับเดิมนั้นอยู่ด้านตะวันตกของวัดราชสิทธารามปัจจุบันนี้.
สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นอันมากของพระบรมราชวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่
๑ และรัชกาลที่ ๒
ปรากฏนามพระญาณสังวรเถร
เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์
นับแต่คราวทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
แต่ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร
เป็นต้นมา
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็เป็นศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวรมาแต่ก่อน
ถึงรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดฯ
ให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น
๒ องค์
เป็นคู่กันอยู่ที่ลานหน้าวัดราชสิทธาราม
(อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระญาณสังวร),
องค์หนึ่งขนานนามว่า"พระศิราศนเจดีย์"
ทรงอุทิศในพระนามของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว,
อีกองค์หนึ่งมีนามว่า
"พระศิรจุมภฏเจดีย์"
เป็นพระบรมราชูทิศในพระนามของพระองค์เองยังปรากฏอยู่,
ตรัสว่าเพราะได้เคยเป็นศิษย์สมเด็จพระญาณสังวรมาด้วยกันทั้ง
๒ พระองค์.
ในรัชกาลที่
๒
โปรดให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่
สมเด็จพระญาณสังวร
ในปีเดียวกันกับสมเด็จพระสังฆราช(มี)ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชและนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช
ด้วยได้เห็นบัญชีนิมนต์พระสวดมนต์ในสวนขวามีนามสมเด็จพระญาณสังวรอยู่หน้าสมเด็จพระสังฆราช
เห็นจะเป็นด้วยมีพรรษาอายุมากกว่า
สมเด็จพระญาณสังวรได้รับพระราชทานพัดงาสาน
ซึ่งโปรดให้ทำวิจิตรกว่าพัดสำหรับพระราชาคณะสมถะสามัญ
(คือ
สวนที่โปรดให้สร้างขึ้นในรัชกาลที่
๒
ซึ่งเป็นการเติมแต่งของเดิมที่สร้างขึ้นแล้ว
ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑
เพื่อเป็นที่เสด็จประพาสในเวลาว่างพระราชกิจ
และเสด็จทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเวลาเทศกาลนักขัตฤกษ์บ้าง,
ที่เรียกว่า สวนขวา
เพราะอยู่ฝ่ายขวาพระราชมนเทียร,
ทุกวันนี้รื้อหมดแล้ว)
สำหรับวัดพลับ
หรือวัดราชสิทธารามนั้น
นับแต่สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ได้มาอยู่ครองแต่ครั้งยังทรงเป็นที่
พระญาณสังวรเถรแล้ว
ก็ได้กลายเป็นสำนักปฏิบัติทางวิปัสสนาธุระที่สำคัญดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ใน
เรื่องประวัติวัดมหาธาตุ
ว่า ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้
วัดอรัญวาสีที่สำคัญ
ก็คือวัดสมอราย ๑
กับวัดราชสิทธาราม ๑
และพระเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระของสมเด็จพระสังฆราช
(สุก) นั้น
คงเป็นที่เคารพนับถือทั้งในฝ่ายเจ้านายในพระบรมราชวงศ์และในหมู่ประชาชนทั่วไป
จึงได้ทรงเป็นพระราช
อุปัธยาจารย์และเป็นพระอาจารย์ของพระมหากษัตริย์
และเจ้านายชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์หลายพระองศ์
ดังได้กล่าวมาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าหลานเธอใน
รัชกาลที่ ๑
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
ก็ได้เสด็จมาประทับทรงบำเพ็ญเนกขัมมปฏิบัติ
และทรงศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่
พระญาณสังวรเถร ณ
วัดราชสิทธารามนี้เป็นเวลา
๑ พรรษา
โดยมีพระตำหนักสำหรับทรงบำเพ็ญสมาธิกรรมฐานโดยเฉพาะเรียกว่า
พระตำหนักจันทน์
ซึ่งสมเด็จพระบรมราชนกนาถ
คือ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ได้ทรงสร้างถวาย
ยังคงมีอยู่สืบมาจนบัดนี้.
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้า มงกุฎฯ
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
ในรัชกาลที่ ๒
ก็ได้เสด็จไปประทับศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่
พระญาณสังวรเถร ณ
วัดราชสิทธารามเช่นกัน
ดังที่พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ใน
เรื่องวัดสมอราย
อันมีนามว่า
ราชาธิวาส ว่า "ได้ทรงประทับศึกษาอาจาริยสมัยในสำนักวัดราชาธิวาส
ทรงทราบเสร็จสิ้นจนสุดทางที่จะศึกษาต่อไปอีกได้
จึงได้เสด็จย้ายไปประทับอยู่
ณ วัดราชสิทธาราม
คือวัดพลับ
ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญเชี่ยวชาญในการวิปัสสนาอีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงผนวชในที่นั้น
แต่หาได้ประทับประจำอยู่เสมอ
ไม่เสด็จไปอยู่วัดพลับบ้าง
กลับมาอยู่สมอรายบ้าง
เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วจึงทรงสร้างพระศิรจุมภฏเจดีย์ไว้เป็นคู่กันกับพระศิราศนเจดีย์
ที่ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญว่าเคยเสด็จ
ประทับศึกษา ณ
สำนักอาจารย์เดียวกัน.เกี่ยวกับราชประเพณีนิยมทรงศึกษาวิปัสสนาธุระของเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ที่ทรงผนวชนั้น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงมีพระอธิบายไว้ว่า
อนุโลมตามราชประเพณีครั้งกรุงเก่า
ดังเช่นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
ทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับอยู่
ณ
วัดประดู่นั้นเป็นตัวอย่างด้วยเป็นวัดอรัญวาสี
อยู่ที่สงัดนอกพระนครเพราะการศึกษาธุระในพระศาสนามีเป็น
๒ ฝ่าย
ฝ่ายคันถธุระต้องเล่าเรียนพระปริยัติธรรมโดยมคธภาษา
อันต้องใช้เวลาช้านานหลายปี
ไม่ใช่วิสัยผู้ที่บวชอยู่ชั่วพรรษาเดียวจะเรียนให้ตลอดได้แต่วิปัสสนาธุระอีกฝ่ายหนึ่งนั้น
เป็นการฝึกหัดใจในทางสมถภาวนา
อาจเรียนได้ในเวลาไม่ช้านัก
และถือกันอีกอย่างหนึ่งว่า
ถ้าชำนิชำนาญในทางสมถภาวนาแล้ว
อาจจะนำคุณวิเศษอันนั้นมาใช้ในการปลุกเศกเพื่อประโยชน์อย่างอื่น
ตลอดจนในวิชา
พิไชยสงครามได้ในภายหลังด้วยเหตุนี้เจ้านายที่ทรงผนวชมาแต่ก่อนจึงมักเสด็จไปประทับอยู่
ณ วัดอรัญวาสี
เพื่อทรงศึกษาภาวนาวิธี.
นัยว่าการศึกษาวิปัสสนาธุระของสำนักวัดราชสิทธารามในสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ทรงครองวัดอยู่นั้นเจริญรุ่งเรืองมากเพราะผู้ครองวัดทรงเชี่ยวชาญและมีกิตติคุณในด้านนี้เป็นที่เลื่องลือ.
ครั้นสมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชและเสด็จมาสถิต
ณ
วัดมหาธาตุแล้วการศึกษาวิปัสสนาธุระแม้จะยังมีอยู่ก็ไม่รุ่งเรืองเท่ากับสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ยังทรงครองวัดนั้นอยู่.
พ.ศ.
๒๓๖๒ สมเด็จพระสังฆราช
(มี) สิ้นพระชนม์,
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
จึงได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร
(สุก)
เป็นสมเด็จพระสังฆราช
แล้วโปรดให้แห่มาสถิต
ณ วัดมหาธาตุ
เดิมทรงพระราชดำริที่จะตั้งสมเด็จพระพนรัตน
(อาจ) วัดสระเกศ
เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ถึงได้แห่มาสถิต ณ
วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ
เดือน ๔ ปีเถาะ
เอกศกนั้นแล้วแต่เมื่อปีมะโรง
โทศก
ข้างต้นปีเกิดอหิวาตกโรคมาก
ยังไม่ทันจะได้ทรงตั้งสมเด็จพระพนรัตน
(อาจ)
เป็นสมเด็จพระสังฆราช,
ถึงเดือน ๑๑
มีโจทก์ฟ้องกล่าวอธิกรณ์สมเด็จพระพนรัตน์(อาจ)ว่าชอบหยอกเอินศิษย์หนุ่มด้วยกิริยาที่ไม่สมควรแก่สมณะ
ชำระได้ความเป็นสัตย์อธิกรณ์ไม่ถึงเป็นปาราชิกจึงเป็นแต่ให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระราชาคณะ
และ
เนรเทศไปจากพระอารามหลวง.
ตำแหน่งพระสังฆราชนั้นทรงพระราชดำริว่าสมเด็จพระญาณสังวร(สุก)วัดราชสิทธารามเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่และได้เป็นพระอาจารย์
เป็นที่เคารพในพระราชวงศ์
จึงโปรดให้แห่สมเด็จพระญาณสังวร
(สุก) มาสถิต ณ
วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ
วันพฤหัสบดีเดือน ๑๒
ขึ้น ๔ ค่ำ ครั้งถึง ณ
วันพฤหัสบดี เดือน ๑
ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง โทศก
จุลศักราช ๑๑๘๒ พ.ศ. ๒๓๖๓
จึงทรงตั้งสมเด็จพระญาณสังวร
(สุก)
ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่
๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น
พระชนมายุได้ ๘๘
พรรษาแล้ว
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ไม่ถึง
๒ ปี ก็สิ้นพระชนม์
เหตุที่ไม่ได้ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแต่ก่อน
เพราะทรงเป็นพระราชาคณะฝ่ายสมถะ,
แต่ประเพณีการเลือกสมเด็จพระสังฆราช
คงถือเอาคันถธุระเป็นสำคัญ
สมเด็จพระสังฆราช (สุก)
ทรงเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระจึงไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแต่ก่อน
มาในครั้งนี้เห็นจะทรงพระราชดำริว่า
พรรษาอายุท่านมากอยู่แล้ว
มีพระราชประสงค์จะสถาปนาให้ถึงเกียรติยศที่สูงสุดให้สมกับที่ทรงเคารพนับถือ
เข้าใจว่าเห็นจะถึงทรงวิงวอน
ท่านจึงรับเป็นสมเด็จพระสังฆราช.
อนึ่ง
ธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต
ณ
วัดมหาธาตุนั้นได้มีขึ้นในรัชกาลที่
๒
โดยได้โปรดให้แห่สมเด็จพระสังฆราช
(มี) วัดราชบุรณะ
ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่
๓
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาสถิต
ณ วัดมหาธาตุ
เป็นพระองค์แรก
พระองค์ที่ ๒
คือสมเด็จพระสังฆราช (สุก)
ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่
๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
แห่จากวัดราชสิทธารามมาสถิต
ณ วัดมหาธาตุ
พระองค์ที่ ๓
คือสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)
ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่
๕
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
แห่จากวัดสระเกศมาสถิต
ณ วัดมหาธาตุ
พระองค์สุดท้ายคือ
สมเด็จพระสังฆราช (นาค)
ซึ่งเป็น
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่
๖
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่
๓),
ในประกาศสถาปนาว่าสถิต
ณ วัดมหาธาตุ
แต่ไม่ได้แห่มาสถิต ณ
วัดมหาธาตุตามประกาศ
เพราะขณะนั้นวัดมหาธาตุกำลังปฏิสังขรณ์ทั่วพระอาราม
สมเด็จพระสังฆราช (นาค)
จึงสถิต ณ
วัดราชบุรณะอันเป็นพระอารามเดิมจนสิ้นพระชนม์
แต่นั้นมาธรรมเนียมการแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต
ณ
วัดมหาธาตุก็เป็นอันเลิกไป.
สมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่
๑ ปีกับ ๑๐ เดือน
ก็สิ้นพระชนม์
เมื่อวันพฤหัสบดี
เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ
ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕
มีพระชนม์มายุได้ ๘๙
โดยปี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพ
เมื่อตั้งที่พระเมรุท้องสนามหลวง
พระโกศองค์นี้
นอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระเกียรติยศสูงบางพระองค์
มีปรากฏว่าได้ทรงแต่พระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้พระองค์เดียว
นับเป็นการถวายพระเกียรติอย่างสูงด้วยเหตุที่ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือ
อย่างยิ่งนั้นเอง
ส่วนการพระเมรุนั้นโปรดให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง
พระราชทานเพลิงพระศพเมื่อเดือน
๑๒ พ.ศ. ๒๓๖๕ นั้น
ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพแล้วได้โปรดให้ปั้นพระรูปบรรจุพระอัฐิประดิษฐานไว้ในกุฏิกรรมฐานหลังหนึ่งบริเวณ
ด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม
เพื่อเป็นที่ทรงสักการะบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ
สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้.
ต่อมาในรัชกาลที่
๓
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดให้ช่างหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช
(สุก) ขนาดย่อมขึ้นอีก
ประดิษฐานไว้ในหอพระนาก
พร้อมกันกับรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(ขุน) วัดโมลีโลกยาราม
ซึ่งเป็นพระราช
กรรมวาจาจารย์ของพระองค์
ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๘๗
ได้โปรดให้หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช
(สุก)
อีกองค์หนึ่งขนาดเท่าพระองค์จริง,
พระราชดำริเดิม
เข้าใจว่าคงจะทรงสร้างขึ้นสำหรับประดิษฐานไว้
ณ วัดมหาธาตุ
อันเป็นที่สถิตของพระองค์เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช,
แต่ยังไม่ทันได้เชิญไปประดิษฐาน
เพราะการบูรณะปฏิสังขรณ์
วัดมหาธาตุยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์
พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน,
พระรูปสมเด็จพระสังฆราช
(สุก) องค์ดังกล่าวนี้
จึงค้างอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ต่อมาในรัชกาลที่
๔พระบาทสมเด็จพระเจ้าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้แห่ไปประดิษฐาน
ณ วัดมหาธาตุ
ปรากฏตามหมายรับสั่งในรัชกาลที่
๔ ว่า
โปรดให้เชิญไปเมื่อวันแรม
๒ ค่ำ เดือน๔
ปีชวดจัตวาศก จ.ศ.๑๒๑๔ พ.ศ.๒๓๙๕
และโปรดให้สร้างแท่นจำหลักมีลวดลายเป็นรูปไก่เถื่อนเป็นที่รองรับพระรูปเพิ่มเติมขึ้นและยังคงสถิตอยู่ในพระวิหารวัดมหาธาตุมาจนบัดนี้.
ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวรนั้นนับว่าเป็นตำแหน่งพิเศษในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เป็นตำแหน่งที่พระราชทานสถาปนา
แก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ
ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงตั้งพระอาจารย์สุกวัดท่าหอยซึ่งเป็นผู้ทรงคุณพิเศษในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่พระราชาคณะนั้น
ก็ทรงตั้งในราชทินนามว่าพระญาณสังวรเถรอันเป็นราชทินนามที่แสดงถึงความเป็นผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ
ครั้นมาในรัชกาลที่ ๒
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ทรงโปรดให้สถาปนาพระญาณสังวรเถร
ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ
ก็โปรดให้สถาปนาในราชทินนามว่า
สมเด็จพระญาณสังวร
ตามราชทินนามเดิมที่ได้รับพระราชทานแต่ครั้งรัชกาลที่
๑
ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร
(สุก)
ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชในเวลาต่อมา,
ราชทินนามที่
สมเด็จญาณสังวร
ก็ไม่ได้โปรดพระราชทานสถาปนาพระเถระรูปใดอีกเลยนับแต่รัชกาลที่
๒ เป็นต้นมา
กระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน
ซึ่งเป็นรัชกาลที่ ๙
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงได้โปรดให้สถาปนา
พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน
เจริญ คชวัตร)
วัดบวรนิเวศวิหารในราชทินนามที่
สมเด็จพระญาณสังวร
ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา
๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ นับเป็น
สมเด็จพระญาณสังวร
รูปที่ ๒
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
นับแต่ปีที่สมเด็จพระสังฆราช
(สุก ญาณสังวร)
สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.
๒๓๖๕
ในรัชกาลที่ ๒
มาจนถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลปัจจุบัน
โปรดให้สถาปนา
พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน)
ขึ้นเป็น
สมเด็จพระญาณสังวร
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ นั้น
เป็นเวลา ๑๕๐ ปีพอดี
ซึ่งเป็นเวลายาวนานถึง
๖
รัชกาลที่ว่างเว้นมิได้ทรงพระกรุณาโปรดให้สถาปนาพระเถระรูปใดในราชทินนามตำแหน่งนี้
เพราะฉะนั้นตำแหน่งที่สมเด็จพระญาณสังวรนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นตำแหน่งที่มีความหมายสำคัญในประวัติการณ์ของ
คณะสงฆ์ไทยตำแหน่งหนึ่ง.
ย่อความจาก
"ธรรมจักษุ"
นิตยสารทางพระพุทธศาสนารายเดือน
จัดทำโดย
มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
|