กลับหน้าหลัก
>>  พระประวัติ
พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)


สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เลื่องลือพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ ทรงพระคุณพิเศษในด้านวิปัสสนาธุระจนมีพระฉายานามอันเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชนว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน" เพราะทรงสามารถแผ่พรหมวิหารธรรมให้ไก่ป่าเชื่องเป็นไก่บ้านได้

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู จุลศักราช ๑๐๙๕ พ.ศ. ๒๒๗๖ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ, สันนิษฐานกันว่าคงเป็นชาวกรุงเก่า, ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อครั้งกรุงธนบุรีเป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม (ในพระราชพงศาวดาร เรียกว่าคลองตะเคียน) ในแขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางบำเพ็ญสมถภาวนา ผู้คนนับถือมาก.

ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์กรุงรัตนโกสินทร์, เมื่อได้ทรงจัดการข้างฝ่ายอาณาจักรเป็นที่รียบร้อยแล้วก็ได้ทรงพระราชดำริจัดการข้างฝ่ายพุทธจักรเพื่อทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาซึ่งเสื่อมโทรมเศร้าหมองเพราะการจลาจลวุ่นวายในบ้านเมืองจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระราชาคณะในตำแหน่งต่างๆ ตามโบราณราชประเพณีและได้ทรงแสวงหาพระเถระผู้ทรงคุณพิเศษจากที่ต่างๆมาตั้งไว้ในตำแหน่งที่สมควร เพื่อช่วยรับภาระธุระทางพระพุทธศาสนาสืบไป และก็ในคราวนี้เองที่ได้ทรง "โปรดให้นิมนต์พระอาจารย์วัดท่าหอยคลองตะเคียน แขวงกรุงเก่ามาอยู่วัดพลับให้เป็นพระญาณสังวรเถร”พระอาจารย์วัดท่าหอยดังกล่าวนี้ก็คือสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้นเอง.สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้ทรงเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 

แต่ครั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย กรุงเก่า, ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึงได้โปรดให้นิมนต์มาอยู่ในกรุงเทพฯ และทรงตั้งเป็นราชาคณะที่ พระญาณสังวรเถร ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระฝ่ายอรัญวาสีนิยมความสงบวิเวก จึงได้โปรดให้มาอยู่วัดพลับ อันเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของธนบุรีครั้งนั้น คู่กับวัดรัชฎาธิษฐานและอยู่ไม่ไกลจากพระนคร,และเพื่อให้สมพระเกียรติที่เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้โปรดฯให้สร้างวัดพระราชทานใหม่ในที่ติดกับวัดพลับนั่นเอง, เมื่อสร้างพระอารามใหม่เสร็จแล้วก็ได้โปรดฯให้รวมวัดพลับเข้าไว้ในเขตของพระอารามใหม่นั้นด้วย แต่ยังคงใช่ชื่อว่าวัดพลับดังเดิม, ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ จึงได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดราชสิทธารามดังที่ปรากฏสืบมาจนบัดนี้,บริเวณอันเป็นวัดพลับเดิมนั้นอยู่ด้านตะวันตกของวัดราชสิทธารามปัจจุบันนี้.

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นอันมากของพระบรมราชวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ปรากฏนามพระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์ นับแต่คราวทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวรมาแต่ก่อน ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น ๒ องค์ เป็นคู่กันอยู่ที่ลานหน้าวัดราชสิทธาราม (อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระญาณสังวร), องค์หนึ่งขนานนามว่า"พระศิราศนเจดีย์" ทรงอุทิศในพระนามของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, อีกองค์หนึ่งมีนามว่า "พระศิรจุมภฏเจดีย์" เป็นพระบรมราชูทิศในพระนามของพระองค์เองยังปรากฏอยู่, ตรัสว่าเพราะได้เคยเป็นศิษย์สมเด็จพระญาณสังวรมาด้วยกันทั้ง ๒ พระองค์.

ในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ในปีเดียวกันกับสมเด็จพระสังฆราช(มี)ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชและนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช “ด้วยได้เห็นบัญชีนิมนต์พระสวดมนต์ในสวนขวามีนามสมเด็จพระญาณสังวรอยู่หน้าสมเด็จพระสังฆราช เห็นจะเป็นด้วยมีพรรษาอายุมากกว่า” สมเด็จพระญาณสังวรได้รับพระราชทานพัดงาสาน ซึ่งโปรดให้ทำวิจิตรกว่าพัดสำหรับพระราชาคณะสมถะสามัญ (คือ สวนที่โปรดให้สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นการเติมแต่งของเดิมที่สร้างขึ้นแล้ว ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เพื่อเป็นที่เสด็จประพาสในเวลาว่างพระราชกิจ และเสด็จทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเวลาเทศกาลนักขัตฤกษ์บ้าง, ที่เรียกว่า สวนขวา เพราะอยู่ฝ่ายขวาพระราชมนเทียร, ทุกวันนี้รื้อหมดแล้ว)

สำหรับวัดพลับ หรือวัดราชสิทธารามนั้น นับแต่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้มาอยู่ครองแต่ครั้งยังทรงเป็นที่ พระญาณสังวรเถรแล้ว ก็ได้กลายเป็นสำนักปฏิบัติทางวิปัสสนาธุระที่สำคัญดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ใน เรื่องประวัติวัดมหาธาตุ ว่า “ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ วัดอรัญวาสีที่สำคัญ ก็คือวัดสมอราย ๑ กับวัดราชสิทธาราม ๑” และพระเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้น คงเป็นที่เคารพนับถือทั้งในฝ่ายเจ้านายในพระบรมราชวงศ์และในหมู่ประชาชนทั่วไป จึงได้ทรงเป็นพระราช อุปัธยาจารย์และเป็นพระอาจารย์ของพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์หลายพระองศ์ ดังได้กล่าวมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าหลานเธอใน รัชกาลที่ ๑ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ก็ได้เสด็จมาประทับทรงบำเพ็ญเนกขัมมปฏิบัติ และทรงศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระญาณสังวรเถร ณ วัดราชสิทธารามนี้เป็นเวลา ๑ พรรษา โดยมีพระตำหนักสำหรับทรงบำเพ็ญสมาธิกรรมฐานโดยเฉพาะเรียกว่า พระตำหนักจันทน์ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชนกนาถ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ทรงสร้างถวาย ยังคงมีอยู่สืบมาจนบัดนี้. เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า มงกุฎฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ในรัชกาลที่ ๒ ก็ได้เสด็จไปประทับศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระญาณสังวรเถร ณ วัดราชสิทธารามเช่นกัน ดังที่พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ใน เรื่องวัดสมอราย

อันมีนามว่า ราชาธิวาส ว่า "ได้ทรงประทับศึกษาอาจาริยสมัยในสำนักวัดราชาธิวาส ทรงทราบเสร็จสิ้นจนสุดทางที่จะศึกษาต่อไปอีกได้ จึงได้เสด็จย้ายไปประทับอยู่ ณ วัดราชสิทธาราม คือวัดพลับ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญเชี่ยวชาญในการวิปัสสนาอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชในที่นั้น แต่หาได้ประทับประจำอยู่เสมอ ไม่เสด็จไปอยู่วัดพลับบ้าง กลับมาอยู่สมอรายบ้าง เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วจึงทรงสร้างพระศิรจุมภฏเจดีย์ไว้เป็นคู่กันกับพระศิราศนเจดีย์ ที่ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญว่าเคยเสด็จ ประทับศึกษา ณ สำนักอาจารย์เดียวกัน.”เกี่ยวกับราชประเพณีนิยมทรงศึกษาวิปัสสนาธุระของเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ที่ทรงผนวชนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระอธิบายไว้ว่า “อนุโลมตามราชประเพณีครั้งกรุงเก่า ดังเช่นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดประดู่นั้นเป็นตัวอย่างด้วยเป็นวัดอรัญวาสี อยู่ที่สงัดนอกพระนครเพราะการศึกษาธุระในพระศาสนามีเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายคันถธุระต้องเล่าเรียนพระปริยัติธรรมโดยมคธภาษา อันต้องใช้เวลาช้านานหลายปี ไม่ใช่วิสัยผู้ที่บวชอยู่ชั่วพรรษาเดียวจะเรียนให้ตลอดได้แต่วิปัสสนาธุระอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นการฝึกหัดใจในทางสมถภาวนา อาจเรียนได้ในเวลาไม่ช้านัก และถือกันอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าชำนิชำนาญในทางสมถภาวนาแล้ว อาจจะนำคุณวิเศษอันนั้นมาใช้ในการปลุกเศกเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ตลอดจนในวิชา พิไชยสงครามได้ในภายหลังด้วยเหตุนี้เจ้านายที่ทรงผนวชมาแต่ก่อนจึงมักเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดอรัญวาสี เพื่อทรงศึกษาภาวนาวิธี.” 

นัยว่าการศึกษาวิปัสสนาธุระของสำนักวัดราชสิทธารามในสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงครองวัดอยู่นั้นเจริญรุ่งเรืองมากเพราะผู้ครองวัดทรงเชี่ยวชาญและมีกิตติคุณในด้านนี้เป็นที่เลื่องลือ. ครั้นสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชและเสด็จมาสถิต ณ วัดมหาธาตุแล้วการศึกษาวิปัสสนาธุระแม้จะยังมีอยู่ก็ไม่รุ่งเรืองเท่ากับสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ยังทรงครองวัดนั้นอยู่.

พ.ศ. ๒๓๖๒ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์, พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นสมเด็จพระสังฆราช แล้วโปรดให้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เดิมทรงพระราชดำริที่จะตั้งสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ถึงได้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ เดือน ๔ ปีเถาะ เอกศกนั้นแล้วแต่เมื่อปีมะโรง โทศก ข้างต้นปีเกิดอหิวาตกโรคมาก ยังไม่ทันจะได้ทรงตั้งสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช, ถึงเดือน ๑๑ มีโจทก์ฟ้องกล่าวอธิกรณ์สมเด็จพระพนรัตน์(อาจ)ว่าชอบหยอกเอินศิษย์หนุ่มด้วยกิริยาที่ไม่สมควรแก่สมณะ ชำระได้ความเป็นสัตย์อธิกรณ์ไม่ถึงเป็นปาราชิกจึงเป็นแต่ให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระราชาคณะ และ

เนรเทศไปจากพระอารามหลวง. ตำแหน่งพระสังฆราชนั้นทรงพระราชดำริว่าสมเด็จพระญาณสังวร(สุก)วัดราชสิทธารามเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่และได้เป็นพระอาจารย์ เป็นที่เคารพในพระราชวงศ์ จึงโปรดให้แห่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๑๒ ขึ้น ๔ ค่ำ ครั้งถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๑๘๒ พ.ศ. ๒๓๖๓ จึงทรงตั้งสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น พระชนมายุได้ ๘๘ พรรษาแล้ว ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ไม่ถึง ๒ ปี ก็สิ้นพระชนม์ เหตุที่ไม่ได้ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแต่ก่อน เพราะทรงเป็นพระราชาคณะฝ่ายสมถะ, แต่ประเพณีการเลือกสมเด็จพระสังฆราช คงถือเอาคันถธุระเป็นสำคัญ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระจึงไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชมาแต่ก่อน มาในครั้งนี้เห็นจะทรงพระราชดำริว่า พรรษาอายุท่านมากอยู่แล้ว มีพระราชประสงค์จะสถาปนาให้ถึงเกียรติยศที่สูงสุดให้สมกับที่ทรงเคารพนับถือ เข้าใจว่าเห็นจะถึงทรงวิงวอน ท่านจึงรับเป็นสมเด็จพระสังฆราช.

อนึ่ง ธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุนั้นได้มีขึ้นในรัชกาลที่ ๒ โดยได้โปรดให้แห่สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบุรณะ ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ

เป็นพระองค์แรก พระองค์ที่ ๒ คือสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แห่จากวัดราชสิทธารามมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ พระองค์ที่ ๓ คือสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แห่จากวัดสระเกศมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ พระองค์สุดท้ายคือ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) ซึ่งเป็น

สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๓), ในประกาศสถาปนาว่าสถิต ณ วัดมหาธาตุ แต่ไม่ได้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุตามประกาศ เพราะขณะนั้นวัดมหาธาตุกำลังปฏิสังขรณ์ทั่วพระอาราม สมเด็จพระสังฆราช (นาค) จึงสถิต ณ วัดราชบุรณะอันเป็นพระอารามเดิมจนสิ้นพระชนม์ แต่นั้นมาธรรมเนียมการแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ 
วัดมหาธาตุก็เป็นอันเลิกไป.

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ ๑ ปีกับ ๑๐ เดือน ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕ มีพระชนม์มายุได้ ๘๙ โดยปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพ เมื่อตั้งที่พระเมรุท้องสนามหลวง พระโกศองค์นี้ นอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระเกียรติยศสูงบางพระองค์ มีปรากฏว่าได้ทรงแต่พระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้พระองค์เดียว นับเป็นการถวายพระเกียรติอย่างสูงด้วยเหตุที่ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือ อย่างยิ่งนั้นเอง ส่วนการพระเมรุนั้นโปรดให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิงพระศพเมื่อเดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๓๖๕ นั้น ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพแล้วได้โปรดให้ปั้นพระรูปบรรจุพระอัฐิประดิษฐานไว้ในกุฏิกรรมฐานหลังหนึ่งบริเวณ
ด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการะบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้.

ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้ช่างหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ขนาดย่อมขึ้นอีก ประดิษฐานไว้ในหอพระนาก พร้อมกันกับรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม ซึ่งเป็นพระราช

กรรมวาจาจารย์ของพระองค์ ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๘๗ ได้โปรดให้หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) อีกองค์หนึ่งขนาดเท่าพระองค์จริง, พระราชดำริเดิม เข้าใจว่าคงจะทรงสร้างขึ้นสำหรับประดิษฐานไว้ ณ วัดมหาธาตุ อันเป็นที่สถิตของพระองค์เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช, แต่ยังไม่ทันได้เชิญไปประดิษฐาน เพราะการบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดมหาธาตุยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน, พระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) องค์ดังกล่าวนี้ จึงค้างอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อมาในรัชกาลที่ ๔พระบาทสมเด็จพระเจ้าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้แห่ไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุ ปรากฏตามหมายรับสั่งในรัชกาลที่ ๔ ว่า โปรดให้เชิญไปเมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน๔ ปีชวดจัตวาศก จ.ศ.๑๒๑๔ พ.ศ.๒๓๙๕ และโปรดให้สร้างแท่นจำหลักมีลวดลายเป็นรูปไก่เถื่อนเป็นที่รองรับพระรูปเพิ่มเติมขึ้นและยังคงสถิตอยู่ในพระวิหารวัดมหาธาตุมาจนบัดนี้.

ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวรนั้นนับว่าเป็นตำแหน่งพิเศษในยุคกรุงรัตนโกสินทร์เป็นตำแหน่งที่พระราชทานสถาปนา

แก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงตั้งพระอาจารย์สุกวัดท่าหอยซึ่งเป็นผู้ทรงคุณพิเศษในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่พระราชาคณะนั้น ก็ทรงตั้งในราชทินนามว่าพระญาณสังวรเถรอันเป็นราชทินนามที่แสดงถึงความเป็นผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ ครั้นมาในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดให้สถาปนาพระญาณสังวรเถร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ก็โปรดให้สถาปนาในราชทินนามว่า สมเด็จพระญาณสังวร ตามราชทินนามเดิมที่ได้รับพระราชทานแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชในเวลาต่อมา, ราชทินนามที่ สมเด็จญาณสังวร ก็ไม่ได้โปรดพระราชทานสถาปนาพระเถระรูปใดอีกเลยนับแต่รัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา กระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัชกาลที่ ๙ 

แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดให้สถาปนา พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน เจริญ คชวัตร) วัดบวรนิเวศวิหารในราชทินนามที่ สมเด็จพระญาณสังวร ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ นับเป็น

สมเด็จพระญาณสังวร รูปที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นับแต่ปีที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 

๒๓๖๕ ในรัชกาลที่ ๒ มาจนถึงปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน โปรดให้สถาปนา พระสาสนโสภณ (สุวฑฺฒโน) ขึ้นเป็น สมเด็จพระญาณสังวร เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ นั้น เป็นเวลา ๑๕๐ ปีพอดี ซึ่งเป็นเวลายาวนานถึง ๖ รัชกาลที่ว่างเว้นมิได้ทรงพระกรุณาโปรดให้สถาปนาพระเถระรูปใดในราชทินนามตำแหน่งนี้ เพราะฉะนั้นตำแหน่งที่สมเด็จพระญาณสังวรนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นตำแหน่งที่มีความหมายสำคัญในประวัติการณ์ของ คณะสงฆ์ไทยตำแหน่งหนึ่ง.

ย่อความจาก "ธรรมจักษุ"

นิตยสารทางพระพุทธศาสนารายเดือน

จัดทำโดย มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

 



๒. พระญาณวิสุทธิ์ (ชิต)

ท่าน พระญาณวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า ชิต เกิดเมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๒๘๒ ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา บ้านเดิมอยู่เมืองสิงหบุรี กล่าวกันว่า เมื่อเป็นฆราวาส ท่านเป็นนักรบชาวบ้าน ประมาณ ปี พุทธศักราช ๒๓๑๕ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี 

ท่าน อายุได้ ๓๓ ปีได้พบกับพระอาจารย์ สุก วัดท่าข่อย (ท่าหอย) ครั้งเมื่อพระอาจารย์ สุก กลับจาก รุกขมูลทางเหนือ ท่านศรัทธาในพระอาจารย์ สุก จึงตามท่านมาที่ วัดท่าข่อย ด้วย และขอบรรพชาอุปสมบท โดยมีพระอาจารย์ สุก วัดท่าข่อยเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ อุปสมบทแล้วได้เล่าเรียน พระกรรมฐาน กับ พระอาจารย์ สุก ประมาณ ๒ ปี ท่านก็จบสมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้เรียนอักขระขอม กับพระอาจารย์ สุก 

ต่อมาท่านได้ ออกรุขมูลธุดงค์เดี่ยว ขึ้นไปทางเหนือ กลับลงมา ผ่านมาทางเมืองพิชัย อุตรดิตถ์ ท่านได้เข้าไปเมืองลับแล ตามที่ พระอาจารย์สุก บอก ต่อมา ท่านก็ได้ ไม้เท้าไผ่ยอดตาล สำหรับใช้เบิกไพร มาด้วย ปี พุทธศักราช ๒๓๒๖ พระอาจารย์ ชิต ท่านได้ เป็นพระสงฆ์อนุจร ติดตาม พระอาจารย์ สุก มากรุงเทพฯ อยู่วัดพลับ ในปีนั้น พระอาจารย์ สุก ได้ตั้งท่าน ให้เป็น พระถานานุกรม ที่ พระปลัดชิต ของ พระญาณสังวรเถร เป็นภาระช่วยดูแล ทางด้านพระกรรมฐานที่ วัดพลับนี้ และ ทำหน้าที่เป็น พระอุปฐาก พระญาณสังวรเถร (สุก) ด้วย ท่านเป็นผู้มั่นคงด้วย อุปัชฌาย์วัตร และ อุปฐากวัตรปี พระพุทธศักราช ๒๓๓๗ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ฝ่ายวิปัสสนาที่ พระญาณวิสุทธิรับพระราชทานพัดงาสาน (ปีที่สถาปนา สมเด็จสังฆราช สุก องค์ที่ ๒)

ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ เข้าเป็นคณะกรรมการควบคุมการทำสังคายนา พระกรรมฐาน เมื่อวันอังคาร แรม ๘ ค่ำ เดือน ๒ ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕ รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามปลายเดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๓๖๕ เป็นแม่งาน หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม องค์ที่ ๒ ต่อจากสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาองค์ ที่ ๒ ของวัดพลับ ปรกติ ท่านชอบสถิตที่หอไตรของวัดเสมอ คนทั้งหลาย จึงเรียกขานนามท่านว่า ท่านเจ้าคุณหอไตร ปี พระพุทธศักราช ๒๓๖๘ ครองวัดราชสิทธิ์ อยู่ ๓ ปี ก็ มรณะภาพ ด้วยโรคชรา 

เมื่อ อายุได้ ๘๖ ปี พรรษา ๕๓ กล่าวว่า เมื่อมรณะภาพ ปีนั้น ท่าน ได้ออกรุกขมูลไปกับ พระอาจารย์คำ ที่เมืองกาญจนบุรี เพื่อไปมรณะภาพในถ้ำแห่งหนึ่ง เพื่อไม่ต้องการให้สรีระของท่าน เป็นภาระ ของผู้อื่น และ เป็นการตัดครั้งสุดท้ายท่าน พระญาณวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า ชิต เกิดเมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๒๘๒ ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา บ้านเดิมอยู่เมืองสิงหบุรี กล่าวกันว่า เมื่อเป็นฆราวาส ท่านเป็นนักรบชาวบ้าน ประมาณ ปี พุทธศักราช ๒๓๑๕ 

สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่าน อายุได้ ๓๓ ปีได้พบกับพระอาจารย์ สุก วัดท่าข่อย(ท่าหอย) ครั้งเมื่อพระอาจารย์ สุก กลับจาก รุกขมูลทางเหนือ ท่านศรัทธาในพระอาจารย์ สุก จึงตามท่านมาที่ วัดท่าข่อย ด้วย และขอบรรพชาอุปสมบท โดยมีพระอาจารย์ สุก วัดท่าข่อยเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ อุปสมบทแล้วได้เล่าเรียน พระกรรมฐาน กับ พระอาจารย์ สุก ประมาณ ๒ ปี ท่านก็จบสมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้เรียนอักขระขอม กับพระอาจารย์ สุก ต่อมาท่านได้ ออกรุขมูลธุดงค์เดี่ยว ขึ้นไปทางเหนือ กลับลงมา ผ่านมาทางเมืองพิชัย อุตรดิตถ์ ท่านได้เข้าไปเมืองลับแล ตามที่ พระอาจารย์สุก บอก ต่อมา ท่านก็ได้ ไม้เท้าไผ่ยอดตาล สำหรับใช้เบิกไพร มาด้วยปี พุทธศักราช ๒๓๒๖ 

พระอาจารย์ ชิต ท่านได้ เป็นพระสงฆ์อนุจร ติดตาม พระอาจารย์ สุก มากรุงเทพฯ อยู่วัดพลับ ในปีนั้น พระอาจารย์ สุก ได้ตั้งท่าน ให้เป็น พระถานานุกรม ที่ พระปลัดชิต ของ พระญาณสังวรเถร เป็นภาระช่วยดูแล ทางด้านพระกรรมฐานที่ วัดพลับนี้ และ ทำหน้าที่เป็น พระอุปฐาก พระญาณสังวรเถร (สุก) ด้วย ท่านเป็นผู้มั่นคงด้วย อุปัชฌาย์วัตร และ อุปฐากวัตร ปี พระพุทธศักราช ๒๓๓๗ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ฝ่ายวิปัสสนาที่ พระญาณวิสุทธิรับพระราชทานพัดงาสาน (ปีที่สถาปนา สมเด็จสังฆราช สุก องค์ที่  ๒) ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๔ เข้าเป็นคณะกรรมการควบคุมการทำสังคายนา พระกรรมฐาน เมื่อวันอังคาร แรม ๘ ค่ำ เดือน ๒ปีพระพุทธศักราช ๒๓๖๕รักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามปลายเดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๓๖๕ เป็นแม่งาน หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนเป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม องค์ที่ ๒ ต่อจากสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาองค์ ที่ ๒ ของวัดพลับ ปรกติ ท่านชอบสถิตที่หอไตรของวัดเสมอ

คนทั้งหลาย จึงเรียกขานนามท่านว่า ท่านเจ้าคุณหอไตร ปี พระพุทธศักราช ๒๓๖๘ ครองวัดราชสิทธิ์ อยู่ ๓ ปี ก็ มรณะภาพ ด้วยโรคชรา เมื่อ อายุได้ ๘๖ ปี พรรษา ๕๓ กล่าวว่า เมื่อมรณะภาพ ปีนั้น ท่าน ได้ออกรุกขมูลไปกับ พระอาจารย์คำ ที่เมืองกาญจนบุรี เพื่อไปมรณะภาพในถ้ำแห่งหนึ่ง เพื่อไม่ต้องการให้สรีระของท่าน เป็นภาระ ของผู้อื่น และ เป็นการตัดครั้งสุดท้าย

 



๓. พระเทพโมลี (กลิ่น)

พระเทพโมลี มีนามเดิมว่า กลิ่น เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๔ ในรัชกาล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. ๒๓๒๘ มาจากวัดตองปุ กับคณะของ พระมหาศรี เพื่อมาเล่าเรียน พระกรรมฐานกับ พระญาณสังวรเถร ในชั้นแรก พระญาณสังวรเถร เห็นว่าท่านยังมีใจสับสนอยู่ จึงยังไม่ให้เรียนพระกรรมฐาน ให้ไปเขียน อักขระบาลี มูลกัจจายณ์ ก่อนเมื่อมีสมาธิดีแล้วจึงจะให้มาศึกษาพระกรรมฐาน 

ต่อมาท่านก็ได้ศึกษาพระกรรมฐาน กับ พระญาณสังวรเถร ท่านศึกษาอยู่ประมาณ ๒ ปี ท่าน ก็จบสมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน และ เที่ยวออกรุกขมูล ไปกับหมู่คณะสงฆ์ในวัดราชสิทธารามนี้ต่อมาท่านได้เอาประสพการณ์การเดินป่า มาแต่ง มหาเวศสันดรชาดก กัณฑ์ มหาพน ด้านการ ศึกษา พระบาลีนั้น เบื้องต้น ท่านได้เรียน กับ พระมหาศรี ที่วัดพลับ และ เรียนกับ พระวินัยรักขิต(ฮั่น) วัดพลับ และ ไปต่อ พระบาลีชั้นสูงที่ วัดสลัก(มหาธาตุ) กับ พระพนรัต (สุก) ต่อมาได้เป็นเปรียญ ในรัชกาลที่ ๑ ปี พุทธศักราช ๒๓๕๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเทศมหาชาติ ให้พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนสุนทรภูเบศร์ รับกัณฑ์ มหาพน ให้ มหากลิ่น วัดราชสิทธาราม สำแดง 

ปีพุทธศักราช ๒๓๕๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่ง มหาชาติ คำหลวง ของพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าหลังจากเสียกรุงแล้วมาชาติคำหลวง ได้สูญหายไป ๖ กัณฑ์ คือ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัธทรี สักบรรพฉกษัตริย์ ปรากฏว่า มหากลิ่น แต่งเทศมหาชาติคำฉันท์ ทานกัณฑ์ มหาพน ท่าน แต่งเชิงพรรนาโวหาร ดีเยี่ยม จะหาผู้ใด แต่งดีกว่านั้น ยากเต็มที ท่านแต่ง ใช้ถ้อยคำ และ ศัพท์แสง เข้ากับภาษา ครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้อย่างเหมาะเจาะ หน้าพิศวง ทั้งในเชิงกวี ก็ไพเราะไม่น้อย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นกวีเอก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นิพนธ์ มหาชาติไว้ ๑๐ กัณฑ์ ไม่ทรงแต่งอยู่ ๓ กัณฑ์ คือ มัธทรี ชูชก มหาพน 

ส่วนไม่แต่งกัณฑ์มหาพนนั้น รับสั่งว่า ถึงจะแต่งก็สู่ของ พระเทพโมลี กลิ่น ไม่ได้ ของพระเทพโมลี กลิ่น มีลักษณะดีพร้อม ทั้งเนื้อความ คำ เชิงกวี และ ความรู้ในด้านค้นคว้า เช่น อ้างราชสีห์ มี ๔ จำพวก ชนิดไหนมีลักษณะอย่างไร กินอาหารอย่างไร อากัปกิริยา เป็น เช่นไร หรือ ต้นไม้ชนิดใด มีรส และ คุณวิเศษ อย่างไร อันเป็น ประโยชน์ แก่ผู้ใช้สมุนไพร สำนวนพรรนาที่เรียกว่า แหล่เขา สระ นาไม้ และ สัตว์ ก็ไพเราะทราบซึ้งยิ่งนัก จึงทำให้นึกเห็นภาพ เป็นความจริงเกิดขึ้นในใจ พ.ศ. ๒๓๕๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระราชาคณะ ที่ พระรัตนมุนี ปีที่ตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ 

ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเจ้าอยู่หัว โปรดปรานวิชากลาบกลอนมาก และ ก็เลื่อมใสในท่าน พระรัตนมุนี (กลิ่น) เมื่อคราวปฏิสังขรณ์ วัดพระเขตุพน โปรดให้รวม นักปราชนญ์ราชบัณฑิต ประชุมแต่ง โคลง ฉันท์ กลาบกลอน จารึกใส่แผ่นศิลาประดิษฐานไว้ที่ วัดพระเชตุพนฯ โดย อาราธนา พระรัตนมุนี(กลิ่น) แต่ง โครงฤาษีดัดตน โคลงบาทกุญชร โคลงกลบท บรรดาวรรณจิตรที่ท่านแต่ง ล้วนไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างยิ่ง จัดเป็นเอก ทั้งเชิงกระบวนกลอน กระบวนความ 

ต่อมาท่านได้เลื่อน สมณศักดิ์ เป็นที่ พระเทพโมลี มีราชทินนามดังนี้ให้ พระรัตนมุนี เป็น พระเทพโมลี ศรีปิฏกธรามหาธรรมกถึก คณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดราชสิทธิ์ รับพระราชทานนิจพัจ ๔ ตำลึง ควรตั้งถานานุรูป ได้ ๔ คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆวิชิต ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฏีกา ๑พ.ศ. ๒๓๖๘ พระญาณวิสุทธิ์(ชิต) เจ้าคุณหอไตร มรณภาพ พ.ศ. ๒๓๖๙ พระญาณวิสุทธิ์ (เจ้า) รักษาการเจ้าอาวาส ๑ ปี พ.ศ. ๒๓๗๐ พระเทพโมลี(กลิ่น) เป็นเจ้าอาวาส วัดราชสิทธาราม 

สมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส พระบรมวงศานุวงศ์ เลื่อมใส ในเชิงกวีของท่านมาก มาสมัคร เป็นลูกศิษย์ฝึก โคลงฉันท์ กลาบกลอน กับท่าน ช่วยกันทนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรือง จนท่านเป็นที่รู้จักกว้างขวางในราชวงศ์ (รู้จักมาตั้งแต่ รัชกาลที่ ๓ ทรงผนวช) เจ้านาย และ ข้าราชการผู้ใหญ่เป็นอย่างดี พ.ศ. ๒๓๗๓ ท่านครองวัด ๒ ปี ครึ่ง ก็มรณะภาพ เมื่ออายุ ๗๙ พรรษา ๕๘



๔. พระปิฏกโกศลเถร (แก้ว)

พระปิฏกโกศลเถร มีนามเดิมว่า แก้ว เกิด พ.ศ. ๒๒๘๗ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ อุปสมบทที่ วัดท่าข่อย โดยมี พระอาจารย์ สุก(พระญาณสังวรเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ขาว พระอาจารย์ ชิต วัดท่าข่อย เป็นพระคู่สวด บวชแล้ว เล่าเรียนพระกรรมฐาน กับ พระอุปัชฌาย์ ศึกษา พระบาลี กับ พระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์ ฮั่น ต่อมา เข้ามา ศึกษาพระบาลีที่ กรุงธนบุรี เมื่อกรุงธนบุรีเกิดวุ่นวาย ท่านก็ธุดงค์หนีเข้าป่า 

ท่านมาอยู่วัดพลับเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ มาช่วย พระญาณสังวรเถร ด้านวิปัสสนาธุระ และ ได้มาเล่าเรียน เพิ่มเติม พระกรรมฐาน กับ พระญาณสังวรเถร (สุก) 
พ.ศ. ๒๓๕๙ เป็นพระครูวินัยธร ถานานุกรม สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) 
พ.ศ. ๒๓๖๓ เป็น พระราชาคณะ ที่ พระปิฏกโกศลเถร ปีที่สถาปนา สมเด็จพระญาณสังวรเถร เป็น สมเด็จพระสังฆราช 
พ.ศ. ๒๓๖๔ เป็นคณะกรรมการเข้าควบคุมการสอบจิต ทำสังคายนา พระกรรมฐานในสมัยรัชกาลที่ ๒ 
พ.ศ. ๒๓๗๓ เป็นเจ้าอาวาส วัดราชสิทธาราม พ.ศ. ๒๓๗๔ เป็นเจ้าอาวาสได้ ๑ ปี ก็มรณะภาพด้วยโรคชรา เมื่ออายุ ได้ ๘๗ ปี พรรษา ๖๖




๕. พระญาณโกศลเถร (รุ่ง)

พระญาณโกศลเถร มีนามเดิมว่า รุ่ง เป็นชาวอยุธยา มารดา บิดา ย้ายมาอยู่กรุงธนบุรี เกิด เมื่อปี ๒๓๑๖ในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๓๗ ได้ อุปสมบท ที่วัดราชสิทธาราม โดยมี พระญาณสังวรเถร (สุก) เป็นอุปัชฌาจารย์ พระญาณวิสุทธิ์ (ชิต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระใบฏีกา กัน เป็นพระอนุศาวนาจารย์ บวชแล้ว ศึกษา พระกรรมฐานกับ พระญาณวิสุทธิ์(ชิต) กับพระใบฏีกากัน ศึกษาพระปริยัติ ไทย-บาลี กับ พระวินัยรักขิต(ฮั่น)

พ.ศ. ๒๓๔๓ พรรษาที่ ๖ เที่ยวออกรุกขมูล ไปในที่ต่างๆ กับคณะของพระภิกษุ วัดราชสิทธาราม ท่าน ได้ไม้เท้าเถาอริยะ

สำหรับใช้เบิกไพร ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ท่านออกธุดงค์ทุกปี

พ.ศ. ๒๓๔๕ พรรษา ๘ เป็นพระปลัด ของ พระญาณวิสุทธิ์(ชิต)และเป็นพระอาจารย์ บอก พระกรรมฐานในปีนั้นด้วย

พ.ศ. ๒๓๖๕ เป็น พระครูศีลวิสุทธิ์ พระครูวิปัสสนา

พ.ศ. ๒๓๗๕ รักษาการณ์ เจ้าอาวาส เป็นเวลา ๑๑ ปี

พ.ศ. ๒๓๘๖ เป็นพระราชาคณะ ฝ่ายวิปัสสนา ที่ พระญาณโกศลเถร เป็นเจ้าอาวาส

วัดราชสิทธาราม (สมัย สถาปนา สมเด็จพระสังฆราช นาค วัดราษบูรณะ)

พ.ศ.๒๓๙๕ มรณะภาพด้วยโรคชรา อายุ ๗๙ พรรษา ๕๘ ครองวัดราชสิทธิ์ ๙ ปี

 

 

อ่านต่อ >>


 >>

<<

<<<-->>>