ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจกันก่อนว่าพุทธศาสนานั้นคืออะไร
คำว่า "พุทธ" แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
คำว่า "ศาสนา" แปลว่าคำสอน
เมื่อนำมารวมกันเป็น "พุทธศาสนา" ก็แปลว่า คำสอนของท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม หรือ พระนามก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเรารู้กันในนาม เจ้าชายสิทธัตถะ นั่นแหละ ..อัลโซ่ !!!
เจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากที่ได้ออกบวชแล้ว ก็ต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียรฝึกหัดขัดเกลาพระองค์เองด้วยวิธีการต่างๆนานา ต้องอดข้าวอดน้ำ ต้อง ใช้ความอดทนอดกลั้นทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ หาหนทางที่จะได้บรรลุธรรมอยู่ตั้ง 6 ปี สุดท้ายมาใช้วิธีการฝึกจิตภาวนาจึงสำเร็จมรรคผล ได้ ตรัสรู้และดำรงตนเป็นพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีก 7 สัปดาห์ในการพิจารณาทบทวนสิ่งที่ได้ตรัสรู้ ที่เราเรียกว่า "พระธรรม" จนแน่ ชัดแจ่มแจ้งในจิตใจของท่านแล้ว จึงได้นำพระธรรมนั้นออกสั่งสอนประชาชน
พระธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธองค์นั้นมีมากมายตั้ง 84,000.- พระธรรมขันธ์ ซึ่งปัจจุบันเขาเอามารวบรวมบันทึกไว้เป็นหนังสือขนาดหนาๆ ตั้ง 45 เล่ม ที่เราเรียกกันว่า "พระไตรปิฏก" มิหน่ำซ้ำยังได้มีการแปลออกเป็นภาษาต่างๆทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 20 ภาษาแล้ว ในส่วนของภาษาไทย ปัจจุบันนี้เขาได้เอามาบันทึกไว้ในแผ่นซีดีเรียบร้อยและออกเผยแพร่ในอินเตอร์เนตอีกด้วย ใครอยากรู้อยากเห็นอยากอ่านอยากได้ก็เชิญเปิดดูได้ที่ www.phrathai.net หรือไม่ก็ไปที่วัดไปถามหลวงพ่อ หลวงตา หลวงน้าหลวงลุงท่านดูก็ได้ว่าพระไตรปิฎกนั้นอยู่ที่ไหน รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
ถึงแม้พระธรรมคำสอนจะมีอยู่มากมายก็ตามที ทุกพระสูตร ทุกพระธรรมคำสอนที่นำมาแสดงเมื่อสรุปแล้วจะเหลือหลักคำสอนอยู่เพียง 3 ข้อเท่านั้น เอง ที่จะขอให้พวกเราได้นำเอามาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน คือ
ให้ละการกระทำชั่วทั้งปวง
ให้กระทำแต่ความดีทุกประการ
หมั่นฝึกหัดรักษาจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
หลักทั้ง 3 ประการนี้แหละที่ท่านเอานำจำแนกแจกแจงประการต่างๆนานาให้เหมาะกับบุคคลในสถานที่ในโอกาสต่างๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ใน สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทุกครั้งที่พระองค์ท่านสอนธรรมจบลง ก็จะต้องมีผู้ฟังคำสอนอยู่ในสถานที่นั้นๆ ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระ อริยะบุคคลชั้นต่างๆมากบ้างน้อยบ้าง บุคคลที่การบรรลุมรรคผลนั้นไม่ได้เลือกเพศ ไม่เลือกชนขั้นวรรณะ ไม่เลือกวัย ไม่เลือกอาชีพการงาน ไม่เลือก ฐานะความมั่งมีหรือยากจน แต่อย่างใด ทุกๆคนที่ได้มาฟังคำสอน ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จมรรคผลเท่าๆกัน ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะสามารถน้อมจิตน้อมใจไป ตามกระแสแห่งพระธรรมคำสอนจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งรู้จริงตามพระธรรมคำสอนนั้น ชนิดที่ไม่เคลือบแคลงสงสัยใดๆเลย
หลายคนก็คงจะอดคิดสงสัยว่าทำไมคนสมัยนั้น จึงบรรลุมรรคผลกันได้ง่ายดายกันเสียจริงๆ คนสมัยโน้นมีปัญญามากกว่าคนสมัยนี้หรืออย่างไร ความจริงปัญญาก็เท่าๆกันนั่นแหละ แต่เป็นเพราะคนในสมัยนั้นเขามีความเชื่อหมั่นในพระพุทธเจ้ามาก เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว เขาก็น้อมเอาพระธรรม นั้นมาพิจารณาและปฏิบัติตาม หากมีข้อสงสัยก็สอบถามจนเข้าใจแล้วก็นำมาปฏิบัติต่อไปอีก ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผลของการปฏิบัติก็ก้าวหน้าไป เรื่อยๆ ในที่สุดก็ต้องได้บรรลุมรรคผลอย่างง่ายๆดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งออกจะแตกต่างจากคนในยุคปัจจุบันที่ไม่ค่อยอยากรู้หลักพระธรรมจริงๆ หรือรู้กัน บ้างแต่ก็ไม่อยากจะปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามแต่ก็ต้องเลือกเอาข้อนี้ไม่เอาข้อนั้น และไม่ปฏิบัติต่อเนื่องกัน แถมยังหวังอยากจะเอาแต่ผลสำเร็จเร็วๆ อีกด้วย แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่าจ๊ะ
เอาละ.. อ่านๆมาถึงตรงนี้แล้วพอจะตอบคำถามข้างต้นได้หรือยัง ว่าศาสนาพุทธอยู่ที่ไหน?
คำตอบแบบที่หลายคนอาจจะต้องเป็นงง ก็คือพุทธศาสนานั้นอยู่ที่มนุษย์เราแต่ละคนๆนี่แหละ ลองคิดพิจารณาดู พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ การ ตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็ตรัสรู้ได้ที่จิตของมนุษย์ พระธรรมที่นำมาสอนก็สอนมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตามและผู้ที่ปฏิบัติตามก็จะได้สำเร็จมรรค ผลตามควรกับการปฏิบัติ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าความเป็นพุทธศาสนานั้น จะต้องมีการเรียนรู้(ปริยัติ) แล้วพยายามกระทำตามสิ่งที่ได้เรียนรู้มา(ปฏิบัติ) ในที่สุดก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น(ปฏิเวธ) ซึ่งก็มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะกระทำดังกล่าวนี้ได้ นี่แหละจึงได้บอกว่าพุทธศาสนาอยู่ที่มนุษย์
ส่วนวัดที่ประกอบด้วยโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิ เขามีไว้เป็นที่อยู่ที่อาศัยและที่ประกอบกิจกรรมต่างๆของพระสงฆ์ผู้ที่ตั้งใจว่าจะศึกษาและ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติหรือเครื่องน้อมนำจิตใจให้รำลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วต้องพยายามที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ของพระองค์ท่าน จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หนังสือพระไตรปิฎกก็ใช้เป็นเครื่องบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อเอาไว้ให้ได้ศึกษากัน แล้วต้องน้อมเอาไปประพฤติปฏิบัติด้วยจึงจะเป็นการ ศึกษาที่สมบูรณ์
ทั้งวัด พระพุทธรูปและพระไตรปิฎกและศาสนวัตถุอื่นๆที่มีอยู่มากมายนั้น เป็นเพียงส่วนประกอบอันสำคัญในการที่ให้มนุษย์ได้โน้มน้าวเอาหลัก พระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติให้ได้มรรคผล อันเป็นการสร้างพุทธศาสนาขึ้นที่ตัวเองทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงอยากจะให้ทุกๆท่านได้มีศาสนาและสร้างศาสนาพุทธคือมีปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธขึ้นที่ตัวของท่านเอง จึงจะนับได้ว่าท่านเป็นพุทธ ศาสนิกชน และได้นับถือศาสนาพุทธที่เป็นไปตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงๆ
"นกขมิ้น"
มองโลก..ด้วยแสงธรรม
โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลมีสถานที่ให้เรามอง มีอะไรต่อมิอะไรให้เราได้ดู ชนิดที่นับกันไม่ถ้วนเชียว แต่แสงของธรรมที่เราจะนำมาส่องให้เห็นทั่วทั้ง โลกนั้น จักอาจทำได้อยู่ฤา..
อันนี้เป็นสิ่งแสดงว่า โลกและสรรพสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ มันมีขึ้นมาก็เพราะว่า มันมีตัวตนของเรา ที่เข้าไปรับรู้นี่เอง ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองหลับตา อุดหู แล้วคิดพิจารณากันอีกสักครั้งหรืออีกหลายๆครั้งก็ได้ เพราะไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์แต่ประการใด แต่ต้องระวัง เวลาทำต้องบอกคนใกล้ๆรู้ก่อน เดี๋ยว เขาจะว่าเราเป็นอะไรไป แล้วจะแย่
ดังนั้น การที่จะเอาแสงธรรมมาส่องให้เห็นทั้งโลกได้ ก็ต้องเอาแสงธรรมนั้นมาส่องที่ตัวเรานี่แหละจึงจะทำให้เราเห็นโลกทั้งโลกได้ และเห็นได้ดี เห็นได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงอีกด้วย
แสงธรรมที่ว่านี้ก็คือหลักพระธรรมอันเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พวกเราคนไทยได้ยินได้รู้จักกันมานานไม่น้อยกว่าสองพันปีมาแล้ว นั่นแหละ แต่เรายังไม่ค่อยได้เอาแสงธรรมอันนี้มาส่องที่ตัวเราเองสักเท่าใดนัก
ดูเราเกิดมาทำไม....
ไม่รู้สิ...เพราะตอนเกิดมาก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เพิ่งจะมารู้ว่าเรามีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ก็ตอนรู้เดียงสาบ้างแล้วเท่านั้นแหละ แ ละ เมื่อค่อยๆ โตขึ้นมา ก็ได้ฟังพ่อแม่ปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาทั้งหลายบอกอยู่เสมอๆให้ทำแต่ความดีแล้วชีวิตก็จะพบกับความสุขความเจริญ
ถ้าอย่างนั้น เรามาคิดมาพิจารณาที่จะกระทำความดีกันก่อนดีกว่า ว่าเราจะอะไร เราทำอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นการทำความดีจริงๆ เรื่องอย่างนี้ก็ ต้องอาศัยหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วล่ะ
พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการกระทำ ที่เรียกว่าการทำดีหรือการบุญ เอาไว้ให้ทุกคนได้ปฏิบัติกันมีอยู่ 10 อย่าง เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 ได้แก่
1 ทานามัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการให้ทาน
2 ศีลมัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล
3 ภาวนามัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญจิตภาวนา
4 อปจายนมัย(อะปะจายะนะมัย) บุญที่สำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลที่สมควร
5 เวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวนขวายช่วยเหลือรับใช้
6 ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการอุทิศส่วนบุญ แบ่งเฉลี่ยส่วนบุญ
7 ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยอนุโมทนาบุญ พลอยยินดีในการทำความดีของคนอื่น
8 ธัมมัสสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม ศึกษาหาความรู้ในทางธรรม
9 ธัมมเทศนามัย บุญที่สำเร็จด้วยสอนธรรม ให้ความรู้แก่บุคคลอื่น
10 ทิฏฐุชุกัมม์ บุญที่สำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรงต่อหลักพระธรรม
โดยมากแล้วเรามักจะเคยได้ยินว่าการทำบุญมี 3 อย่างคือ การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญจิตภาวนา ซึ่งเป็นการพูดเอาแบบโดยย่อเท่า นั้น โดยท่านได้จัดเอา ข้อ 4 กับข้อ 5 มารวมเป็นพวกศีลมัย เอาข้อ 6 กับข้อ 7 มารวมเป็นพวกทานมัย และเอาข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 มารวมเป็นพวก ภาวนามัย จึงเหลือเป็นทาน-ศีล-ภาวนา
|